21 พ.ค. 2021 เวลา 08:02 • คริปโทเคอร์เรนซี
การวิเคราะห์ แนวโน้ม (Trend Analysis)
Dow Theory (ทฤษฎีดาว) Dow Theory คิดค้นโดย ชาร์ลส์ เอช. ดาว (Charles H. Dow) 1851-1902 คิดค้นมานานแล้วเเต่ยังเป็นพื้นฐานในการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ เช่น Elliott Wave อีกทั้งระบบเทรดอีกมากมาย จนได้รับฉายยาว่าเป็นบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค จริงๆหลักการของ Dow เป็นอะไรที่เข้าใจได้ง่าย ใช้เวลาไม่นานในการทำความเข้าใจ เเต่ที่อยากคือการนำไปใช้ ต่อยอดกับระบบเทรดของเรามากกว่า และปัจจุบันก็มีข้อโต้แยงกับหลักการของ Dow Theory โอเคเราพร้อมแล้ว มาต่อกันกับหลักการของ Dow Theory 1. The Averages Discount Everything ราคาสะท้อนทุกอย่างแล้ว ผมขอขยายความนิดนึงคือ ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดมันย่อม เเสดงเป็นราคาในกราฟให้ดูอยู่แล้วเป็นแนวคิดที่ ไม่ต้องไปสนใจปัยจัยทางด้านพื้นฐานเลยไม่ว่าจะเป็นข่าว หรือเรื่องราวอะไรก็แล้วแต่ หลายคนที่เทรดอยู่ในตลาดนี้มานานก็มักจะ ไม่ดูกราฟอย่างเดียวแน่นอน เพราะเรามักจะคิดว่าหากมีอะไรจะช่วยให้เราได้เปรียบเราจะใช้มัน แต่ผมคิดว่าหลักการ คือให้เราโฟกัสไปที่ราคาบนกราฟที่เราจะวิเคราะห์ เพราะบางทีที่มีหลักการตัดสินใจที่ขัดแย้งกันทำให้เกิดปัญหา เช่น ถ้าคุณเป็นมือใหม่ไม่มีแผนการเทรดที่ชัดเจนหรือไม่มีระบบ หากคุณวิเคราะห์ปัจจัยทางพื้นฐานมาแล้วว่า เดียวมันจะขึ้น แต่พอมาดูกราฟมันให้สัญญาณลง จะทำให้คุณสับสน และเข้าซื้อหรือขายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่ดีจึงให้โฟกัสไปเป็นอย่างๆ เพื่อไม่ให้เสียระบบของเรา
2. The market is Comprised of Three Trends
เป็นการเเบ่งแนวโน้มไม่ว่าจะขึ้นหรือจะลง จะเเบ่งออกเป็น 3 แบบ ได้แก่
1. แนวโน้มใหญ่ คือกราฟจะเป็นเทรนด์ขาขึ้นหรือขาลง เป็นเวลานานเป็นปีหรือหลายปี
2. เเนวโน้มกลาง อาจจะกินระยะเวลาหลัก เดือน
3. เเนวโน้มสั้น จะกินระยะเวลาหลัก วัน ถึง สัปดาห์
3.Major Trend has Three Phases
Accumulation ระยะสะสม เป็นระยะที่ราคาลงมาต่ำเพราะจบแนวโน้มขาลง จะมีความกลัวในตลาดสูง เพราะไม่มีใครกล้าซื้อ แต่มีคนที่เห็นโอกาสจะทะยอยเก็บสะสม
Public Participation ระยะกระจาย ช่วงนี้ คนลงทุนทั่วไปจะเริ่มเห็นว่าราคาเริ่มขึ้นและมีปัจจัยทางเทคนิคต่างๆเป็นบวก จึงทำให้คนลงทุนทั่วไปเริ่มกลับกันเข้ามาซื้อ
Distribution ระยะปล่อยของ ระยะนี้จะเป็นการขายทำกำไรแบบจิงจัง จะมี volume เยอะมีคนขายทำกำไรไป และทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับวงการนี้เข้ามาซื้อขายเพราะเห็นคนที่เข้าก่อนหน้าได้กำไร
4. Volume Must Confirm the Trend
ปริมาณการซื้อขายกับราคา
แนวคิดนี้จะให้ดูปริมาณซื้อขายเข้ามา เพื่อยืนยันแนวโน้มของเทรนด์ ถ้าราคาจะเปลี่ยนแปลงยอมต้องมีการซื้อขายมีมากขึ้นตาม
5.Trend Remains in Effect Until Clear Reversal Occurs
ในบรรดา5ข้อผมชอบข้อนี้ สุดแล้ว แนวคิดนี้กล่าวว่า เทรนด์จะเป็นเทรนด์นั้นต่อไปจนกว่ามันจะเกิดเทรนด์ใหม่
สรุปคือราคาที่เป็นเทรนด์ขาขึ้น ก็จะขึ้นต่อไปจนกว่ามันจะเป็นเทรนด์ลง นั้นเอง
วิธีดูแนวโน้ม
1.Up Trend
แนวโน้มขาขึ้น จะมีราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยวัดจากจุดต่ำสุดใหม่L3 จะต้องสูงกว่า จุดต่ำสุดเก่าL2 แบบนี้ถึงจะเรียกว่า Up Trend
2. Down Trend
เเนวโน้มขาลง จะมีราคาที่ลดลงเรื่อยๆ โดยวัดจาก จุดสูงสุดใหม่H3ต่ำกว่า จุดสูงสุดเก่าH2 แบบนี้จะเรียกว่า Down Trend
3. Sideway Trend
แนวโน้มออกข้างหรือ sideway เป็นแนวโน้มที่มีการแกว่งตัวแบบไร้ทิศทางที่ชัดเจนมีการขึ้นลงที่แคบๆ และไม่ทำจุดสูงสุดหรือตำสุดต่อเหนื่องกัน
สรุป ประโชยน์ที่จะได้จากทฤษฎีนี้
1. เพื่อจะได้แยกออกว่าตอนนี้ ราคามีเเนวโน้มไปทิศทางไหน
2. เพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการเทรดให้เหมาะสมกับสถานการณ์
3. เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับเทคนิคอื่นๆได้อีกต่อไป
โฆษณา