ย้อนกลับไปถึงผลงานของบรมครูแห่งศาสตร์หนังซอมบี้ George A. Romero ผู้กำกับชื่อดังผู้ฝากผลงานขึ้นหิ้งอย่าง Dawn of the Dead (1978) หนังอินดี้ไม่จำกัดเรทเรื่องนี้ถูกปล่อยฉายและการเป็นตัวแทนแห่งภาพยนตร์ซอมบี้ยุคโมเดิร์นที่ดิบเถื่อนโหดและดูน่าสะพรึงตามสิ่งที่ผู้ชมต้องการ จากไอเดียที่เกิดในห้างสรรพสินค้า จากคำพูดติดตลกในวันนั้นทำให้นี้คือบทภาพยนตร์ขั้นต้นที่พาภาพยนตร์รวมถึงผู้พาผู้กำกับไปสู่จุดที่ได้รับความนิยม
ด้วยต้นแบบดังกล่าวผู้กำกับแห่งยุคอย่าง Zack Snyder ที่ในตอนนั้นยังเป็นผู้กำกับหน้าใหม่นำเรื่องนี้กลับมารีเมคบนจนเงินอีกครั้งในปี 2004 ที่ทวีความดุดันและพลุ่งพล่านกว่าเดิมตามลายเซ็นต์ของแซ็ค จนถูกยกให้กลายเป็นภาพยนตร์ซอมบี้ที่ดีในยุคนั้น ปลุกกระแสซอมบี้ให้ลุกขึ้นมาร่วมทศวรรษที่มีภาพยนตร์แนวซอมบี้หลากหลายสัญชาติตบท้ายออกมาโชว์พลังบนจอเงิน จากความสำเร็จที่ท่วมท้นโปรเจคต์ Army of the Dead กลายเป็นภาคต่อสำคัญที่ถูกเสนอไปในปีนั้น แต่ท้ายที่สุดก็ถูกปฏิเสธไปครั้งแล้วครั้งเล่าจากหลายสาเหตุ ทั้งความยาวของหนังและเรทของหนัง จนก้าวผ่านยุค Streaming โอกาสที่ว่านั้นก็มาถึงมือของแซ็คอีกครั้งโดย Netflix (Scott Tuber) หัวเรือผู้เคยทำงานเคียงข้างแซ็ค และพร้อมจะสนับสนุนเปิดโอกาสให้แซ็คได้สานต่อสิ่งที่ค้างคาในอดีตอย่างเต็มจัดเต็มกว่าที่เคย
โอกาสครั้งนี้ที่ได้รับจึงกลายเป็นการสานต่อโปรเจกต์จักรวาลซอมบี้ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะกลายเป็น Prologue แรกของจักรวาลซอมบี้ของแซ็ค โดยการพัฒนาตัวละครซอมบี้ให้เป็น Alpha Zombie ที่มีวิวัฒนาการกว่าทุกเรื่องที่เคยเป็นมาเพื่อที่จะต้องการสร้างความแปลกใหม่ไปอีกระดับ อาทิ การสื่อสารในรูปแบบของตัวเอง มีชนชั้นวรรณะ มีความรู้สึกโกรธแค้นเสียใจ ซึ่งมีความคล้ายโครงเรื่องการพัฒนาของ Planet of the Apes (Franklin J. Schaffner, 1986) ที่พยายามพัฒนาตัวละครวานรให้ฉลาดไปอีกขั้น การ Out-of-Comfort Zone ของแซ็คคือการนำ Genre Zombie ไปผนวกกับหนังจารกรรม Heist Film ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความคล้ายกับ Suicide Squad (David Ayers, 2016) ในแง่ของลำดับการดำเนินเรื่อง นอกจากนั้นยังได้ทีมเขียนบทภาพยนตร์ที่เคยเขียนเรื่อง Edge of Tomorrow (Doug Liman, 2014) และ John Wick Chapter 3 (Chad Stahelski, 2019) ที่มีกลิ่นอายบางฉากในหนังปรากฏเป็นซีนต่างๆอย่างมีเอกลักษณ์ของมันอยู่