23 พ.ค. 2021 เวลา 07:25 • ไลฟ์สไตล์
ขาย"หน้า" .. เอา"ผ้า" รอด..
ในช่วงโควิดนี้.. ทุกคน ยังคงต้องทำหน้าที่ของตนไปเรื่อยๆ เพื่อหวังว่าจะสามารถยืนหยัด ต่อสู้กับโรคร้ายและรายจ่ายในครัวเรือนต่อไปได้
การขายผ้าเพื่อเอาหน้ารอดในวิกฤตนี้ หากทำได้ทำ อย่าไปแคร์อะไรกันนักเลย
แม้ในอดีตจะมองว่าการขายผ้าของเหล่าบรรดาขุนน้ำนางใน จะเป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรี
เพราะการจะได้ผ้ามาครอบครองกันแต่ละผืน.. มีตังค์อย่างเดียวซื้อไม่ได้ เพราะสมัยก่อนข้าราชการจะไม่ได้ตอบแทนเป็นเงิน แต่เป็นผ้าผืนสวยๆที่ทางพระมหากษัตริย์จะพึงมอบให้
การขายผ้า.. เพื่อเอาตัวรอดจึงเป็นการกระทำที่ไม่บังควร แต่เชื่อกูเหอะ.. ร้อยทั้งร้อยก็คงขายแดกกันหมด..
ไม่แปลกที่วิกฤตต้มยำกุ้ง.. จะมีคนมั่งคนมี.. จะหอบเสื้อผ้าชั้นนำมากองขายกันที่ท้ายรถ ในราคาถูกแสนถูก
แต่เชื่อเถอะ.. ถึงแม้นจะถูกแค่ไหน คนเยี่ยงเราก็ยังจะไปจับต้องของเขาไม่ได้เหมือนเดิม
ใช่ว่าไม่มีรสนิยม... แต่รสนิยมนั้น.. งัยมันก็คงไม่เหมาะกับคนอย่างเราอยู่ดี หน้าแบบกูนี่นะ ใส่ของแท้เขาก็หาว่าปลอมอยู่ดี
งั้นจะยากอะไร.. ก็ใส่แม่งปลอมทั้งดุ้นไปสะก็หมดเรื่องจริงเปล่า
ยอมที่จะขายหน้า เพื่อเอาตัวรอดดีฝ่า...
ในวิกฤตโควิดนี้.... ก็มีคนแบบนี้อีกแหละ ที่ขนเอาเสื้อผ้าแพงๆมากองขาย ก็พอสร้างรายได้คืนกลับมากันบ้าง
นี่แค่คนซื้อของแพงยังเดือดร้อนขนาดนี้ แล้วเจ้าของโรงงานมันจะมีผลกระทบขนาดไหน
เรื่องนี้มีคนที่หัวใส.. คิดก่อนสมองอันกลวงๆอย่างเราไว้หลายปี
จากที่เคยเห็นเจ้าของโรงงานมาเทขายติดป้ายsale 50-80% ตามห้าง หรือตามศูนย์outletต่างๆ
นอกจากแบรนด์ตนจะดูไม่ดีแล้ว คนที่เคยศรัทธาในอิมเมจ ก็ค่อยๆเสื่อมไปตาม เพราะกลายเป็นสินค้าที่แบกะดิน ที่คนระดับไหนก็หาซื้อมาเป็นเจ้าของได้
การขายผ้าเอาหน้ารอดแบบในอดีต.. ก็ยังคงมีให้เห็น แต่เชื่อมะ.. มีคนหัวใส ที่จัดตั้งบริษัทเพื่อจะมาแบกรับความอับอายต่อสต๊อกของที่ขายไม่ออกจากแบรนด์ดัง
คือเขาจะรับซื้อสินค้านั้นไว้ที่บริษัท... แล้วทำการแกะป้ายสินค้าเดิมออก แล้วจับใส่ยี้ห้อของตนเองลง
โดยเจ้าของแบรนด์ดัง ไม่ต้องลดแบรนด์อิมเมจตนเองลง และของในสต๊อกไม่เสียหาย
ส่วนบริษัทที่รับซื้อ ก็ได้มาในราคาที่โรงงานเคยเซลล์ๆไปในแต่ละปี ดีไม่ดีอาจได้ถูกฝ่าที่ป้ายติดไว้
ทั้งนี้ทั้ง2บริษัท จะต้องทำการปกปิดข้อมูลนี้ไว้...
ส่วนในกลุ่มเป้าหมาย..ของคนที่จะมาซื้อสินค้าที่แปลงยี้ห้อนี้ คือคนที่รู้เรื่องดี ว่าจริงๆมันเคยเป็นแบรนด์ดังมาก่อน ใส่ไปไหนคนก็จับไม่ได้ว่าเก๊ หากไม่ไปถลกดูที่คอ
ส่วนอีกกลุ่มคือคนที่ชอบงานก๊อปเกรดA โดยไม่ใส่ใจในป้ายสลักที่หลังจักเท่าไร
คนหัวใสที่ว่า ก็คือกลุ่มคนที่มองธุรกิจขาด.. รู้ว่าในสถานการณ์เยี่ยงนี้ควรทำรึไม่ควรทำอะไร อันนี้ต้องยอมรับในมันสมองของชาวญี่ปุ่นมากๆ ที่รู้จัก จับเอาความอายของคน2คน มาเชื่อมโยงเข้ากับธุรกิจจนได้ดี
คนไทยขึ้นชื่อว่า โครตเป็นคนขี้อาย.. ใส่แท้ตกรุ่นก็อาย เจอคนใส่ซ้ำก็อาย มันต้องลิมิเต็ดอิดิชั่นสถานเดียว ที่กูใส่แล้วจะไม่อายใคร
โดนพิษภัยจากวิกฤตขนาดนี้ บางคนก็ยังไม่เลิกที่จะอาย...ยังคงจมไม่ลงเหมือนเก่า ขืนเป็นแบบนี้ ประเทศจะยิ่งแย่กันไปใหญ่
นี่ทำให้เห็นว่า.. คนในยุคปัจจุบันยังคงเป็นเหยื่อของวัตถุนิยมไม่เสื่อมคลาย
อยากจะเล่าท้าวความเดิม กลับไปในรัชสมัยรัชกาลที่4 ในคราที่แต่งตั้ง"ขรัวโต" ขึ้นเป็นพระผู้ใหญ่
จนใครๆก็มองว่าสมเด็จโต ท่าคงรวยใหญ่กับยศที่ได้รับ เพราะมีค่าตำแหน่งกิน แถมยังได้รับกิจนิมนต์มาในราคาแบบลิมิเต็ดอิดิชั่นอีกด้วย
จนร.4ท่าน สั่งให้วัดที่ติดริมแม่น้ำ ทำการตกแต่งเรือขึ้นเพื่อมาประกวด ว่าเรือไหนจะสวยกว่ากัน
ลำแรกก็สวย ลำที่2ก็สวย จนมาถึงเรือลำหนึ่ง เห็นมีแต่เณรพายหัวและหางผ่านพระเนตรร.4ไป
เมื่อทรงตรัสถามอย่างมีอารมณ์ ว่านี่เรือของวัดใด เมื่อทราบคำตอบว่ามาจากวัดระฆัง ท่านก็เอ่ยแบบเบาๆแล้วเดินกลับเข้าห้องไปว่า "เขาไม่เล่นด้วยกับเรา"
เรื้องนี้.. สมเด็จโตมีคำตอบ.. โดยให้เหตุผลว่่า เราเป็นเพียงวัดจนๆ จะมีเงินไหนเล่าจะไปซื้อของมาตบแต่งแข่งกับวัดอื่นได้
สิ่งที่วัดเห็นว่ามีค่ามากที่สุดก็คือผ้าไตรจีจร... เราก็เอาไปแขวนไว้ที่เสาเรือแล้ว นี่จะเอาอะไรกันอีก
เงินที่ได้รับจากกิจนิมนต์ คนติดตามท่านก็จะรู้ ว่ามันยังไม่เคยเดินทางไปถึงวัดสักที เพราะท่านก็ควักบริจาคไปตลอดทางจนหมด
... ท่านจึงเลือกขายหน้า... เพื่อจะให้ผ้าไตรรอด... นี่คือการเตือนสติให้แก่เหล่าบรรดาวัดต่างๆ... ที่อุตสาห์จัดเต็มเพื่อมาประชันขันแข่ง ทั้งที่วัดหรือสงฆ์ควรทำตนให้อยู่ในความพอดี
 
แหมได้ฟังเช่นนี้.. ยิ่งทำให้รู้สึกไม่เสียชาติเกิด ที่เกิดมาริมรั่วใต้ต้นมหาโพธิ์ขอบชายวัดระฆัง เสียเลยจริงๆ
ถึงตรงนี้ ก็คงต้องขอตัว เพื่ออนุญาติ.. ขอกลับไปขายจั๊บก่อนนะครับ
มัวห่วง.. แต่นั่งจะพิมพ์.. เดี๋ยวจะพาครอบครัวไปไม่รอด....
มันจะพาลอับอายขายขี้หน้า ชาวบ้านร้านตลาดกันไปใหญ่.....
โฆษณา