Bono พูดถึงอัลบั้มนี้ว่าได้แรงบันดาลใจจากความชื่นชอบในแนวดนตรีที่เป็นรากเหง้า(Roots Music) ของฝั่งอเมริกา ตอนอยู่ที่นิวยอร์คเขาใช้เวลาร่วมกับ Keith Richards และ Mick Jagger จากคณะ The Rolling Stones ที่เล่นเพลงบลูส์และคันทรี่ให้เขาฟัง Bono รู้สึกเขินอายกับความรู้ในแนวดนตรีอันน้อยนิดของเขา เพลงส่วนใหญ่ของ U2 ได้รับอิทธิพลจากดนตรีพังค์ร็อคที่วงฟังกันมาตั้งแต่วัยรุ่นในช่วงกลางยุค 70s เขารู้สึกว่า U2 นั้นเป็นวงที่ไม่รูปแบบตายตัวและน่าสนใจถ้าจะลองทำอะไรใหม่ๆ ซึ่งทำให้เขาได้แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงที่มีอิทธิพลของดนตรีแนวบลูส์อย่างเพลง "Silver and Gold" มือกีต้าร์ Keith Richards นั้นแนะนำให้ Bono ย้อนกลับไปฟังเพลงร็อคเก่าๆอย่างตั้งใจเพื่อพัฒนาทักษะในการเขียนเพลง Bono เล่าว่า "ผมเคยคิดว่าการนั่งลงและเขียนเนื้อเพลงบนกระดาษนั้นเป็นเรื่องล้าสมัย ทุกทีผมจะได้ไอเดียเนื้อเพลงตอนตะโกนผ่านไมโครโฟนขณะที่แจมกับวง สำหรับอัลบั้ม The Joshua Tree ผมรู้สึกว่ามันถึงเวลาที่ต้องเขียนเพลงที่มีความหมายจากประสบการณ์ของตัวเอง"
1
U2 อยากใช้สัดส่วนของเพลงแบบในอัลบั้ม The Unforgettable Fire แต่ลดการทดลองที่สะเปะสะปะ พวกเขาอยากได้ซาวด์ที่หนักแน่นโดยใช้โครงสร้างเพลงแบบปรกติ และสร้างเสียงเหล่านั้นโดยใช้อุปกรณ์พื้นฐานของเพลงร็อคคือกีต้าร์, เบส และกลอง The Edge (มือกีต้าร์) นั้นชื่นชอบในบรรยากาศแบบยุโรปของอัลบั้ม The Unforgettable Fire ในตอนแรกนั้นเขาไม่สนใจคำชักชวนของ Bono ที่เริ่มสนใจดนตรีของฝั่งอเมริกา แต่แล้วก็เปลี่ยนความคิดเมื่อเขาได้ฟังเพลงบลูส์และคันทรี่ของศิลปินอย่าง Howlin' Wolf, Robert Johnson, Hank Williams, และ Lefty Frizzell ทางวิทยุท้องถิ่นในอเมริการะหว่างทัวร์สนับสนุนอัลบั้มที่แล้ว แม้จะยังไม่ได้สรุปเรื่องแนวทางสำหรับอัลบั้มใหม่ แต่สมาชิกวงก็ตกลงที่จะไม่เดินตามกระแส Synth Pop และ New Wave ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนั้น และอยากทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
ในเดือน พ.ย. 1985 U2 เริ่มเขียนเพลงสำหรับอัลบั้มใหม่ที่บ้านของมือกลอง Larry Mullen Jr. พวกเขาอัดเดโมที่ภายหลังพัฒนาไปเป็นเพลง "With or Without You", "Red Hill Mining Town", และ "Trip Through Your Wires" รวมไปถึงเพลงที่ตั้งชื่อว่า "Womanfish" มือกีต้าร์ The Edge บอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากเย็นกับความรู้สึกว่า "ไม่รู้จะไปทางไหนดี" แม้ Bono จะกำหนดธีมคร่าวๆว่าเป็นดนตรีแบบอเมริกัน แต่หลังจากการอัดเสียงร่วมกับโปรดิวเซอร์ Paul Barrett ที่สตูดิโอ STS ในดับลิน พวกเขาก็เริ่มเห็นพัฒนาการของเพลงอย่าง "With or Without You" และเป็นการถือกำเนิดของเพลง "Bullet the Blue Sky"
ความสำเร็จของอัลบั้ม The Unforgettable Fire จากการทำงานกับ Brian Eno และ Daniel Lanois สองโปรดิวเซอร์ ทำให้ U2 อยากร่วมงานกับพวกเขาอีกครั้ง Larry Mullen Jr. (มือกลอง) นั้นตื่นเต้นเป็นพิเศษ เขารู้สึกว่าทั้งคู่โดยเฉพาะ Lanois นั้นเป็นโปรดิวเซอร์คนแรกที่ให้ความสำคัญกับพาร์ทริทึ่มเซคชั่น Mark "Flood" Ellis ถูกเลือกให้มารับหน้าที่เอนจิเนียร์สำหรับเซสชั่นนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้ร่วมงานกับ U2 ทางวงนั้นชื่นชอบงานที่เขาทำร่วมกับ Nick Cave และ เพื่อนของ Bono อย่าง Gavin Friday ก็แนะนำ Flood หลังจากที่เคยได้ร่วมงานสมัย Friday อยู่กับวง Virgin Prunes โดย U2 บอกกับ Flood ว่าพวกเขาต้องการซาวด์ที่ "เปิดโล่ง มีเสียงบรรยากาศ และให้ความรู้สึกถึงสภาพแวดล้อมที่สมจริง" ซึ่งในตอนนั้น Flood คิดว่ามันเป็นคำขอที่ไม่ปรกติซักเท่าไหร่
จากความตั้งใจที่จะปล่อยอัลบั้มในปลายปี 1986 U2 เริ่มเซ็ตอัพสตูดิโอในเดือน ม.ค. ปีเดียวกัน ที่ Danesmoate House บ้านสไตล์จอร์เจีย ในย่าน Rathfarnham กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งอยู่ในบริเวณตีนเขา Wicklow มือกีต้าร์ The Edge นั้นออกตระเวนหาสถานที่กับภรรยาร่วมเดือนก่อนจะตัดสินใจเช่าบ้านหลังนี้ให้กับวง แผนของเขาคือการหาแรงบันดาลจากสถานที่บันทึกเสียงใหม่ๆเพื่อให้บรรยากาศรอบตัวซึมซับเข้าไปในบทเพลง เหมือนกับตอนที่พวกเขาทำอัลบั้ม The Unforgettable Fire ที่ปราสาท Slane Castle ในปี 1984
ก่อนที่ U2 จะเริ่มการทำงานที่บ้าน Danesmoate พวกเขาใช้เวลากับการอัดเสียงและคัดเลือกเดโมที่มีความเป็นไปได้ในการจะเอามาทำต่อ U2 เริ่มแต่งเพลงด้วยวิธีปรกติอย่างที่เคยทำ คือหาวัตถุดิบจากเทปที่อัดตอนซาวด์เช็ค จากสมุดแต่งเนื้อเพลงของ Bono หรือสิ่งที่อัดตอนเล่นแจมกัน ในเซสชั่นนี้ทำให้เห็นพัฒนาการในการแต่งเพลงของวงที่เพิ่มมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ Bono และ The Edge จะเป็นคนนำไอเดียเพลงคร่าวๆมาให้ Mullen และ Adam Clayton ฟังเพื่อคิดงานต่อ U2 เริ่มต้นการทำงานที่บ้าน Danesmoate กับ Brian Eno, Flood และเอนจิเนียร์ Dave Meegan เพื่ออัดเสียงการเล่นแจมกันของพวกเขา Meena พูดถึง Eno ว่า "ปรกติเขาจะมาถึงเป็นคนแรกในตอนเช้า และเริ่มเล่นซีเควนซ์จากซินธ์ DX7 ของเขา อาจจะเป็นไลน์เชลโล่หรืออะไรซักอย่างเพื่อสร้างบรรยากาศเมื่อวงและทีมงานเดินทางมาถึง หนึ่งในเพลงแรกที่เริ่มทำกันคือ "Heartland" ซึ่งทำมาตั้งแต่ช่วงอัลบั้ม The Unforgettable Fire แต่ภายหลังมันถูกรวมอยู่ในอัลบั้ม Rattle and Hum(1988) ส่วนเพลง "With or Without You" และ "I Still Haven't Found What I'm Looking For" นั้นถูกเรียบเรียงเสร็จก่อนจะเข้าสู่เซสชั่นที่บ้าน Danesmoate ทำให้ทางวงสะดวกที่จะทดลองเรื่องซาวด์ต่างๆ โปรดิวเซอร์ทั้ง Eno และ Lanois นั้นตั้งใจจะทำงานแบบสลับกัน คนนึง 1-2 สัปดาห์แล้วตามด้วยอีกคนนึง ทั้งคู่นั้นสนับสนุนเรื่องที่วงสนใจในเพลงเก่าๆโดยเฉพาะ Roots Music ของอเมริกา รวมไปถึงอิทธิพลจากงานร่วมสมัยอย่างการวางเลเยอร์กีต้าร์ของ The Smiths และ My Bloody Valentine
ในระหว่างการบันทึกเสียงนั้น U2 พักเบรคสองครั้งเพื่อออกไปเล่นคอนเสิร์ตการกุศล Self Aid ที่กรุงดับลินในวันที่ 17 พ.ค. 1986 และ ออกทัวร์ Conspiracy of Hope สำหรับองค์กร Amnesty International ในเดือน มิ.ย. ทำให้พวกเขาเว้นวรรคจากการบันทึกเสียงนานถึง 2 เดือน แต่แทนที่จะเป็นการขัดจังหวะ การทัวร์ครั้งนี้กระตุ้นให้วงเกิดไอเดียใหม่ๆและเห็นเป้าหมายชัดเจนในสิ่งที่อยากจะพูด Clayton มือเบสบอกว่าทางวงได้เนื้อหาคร่าวๆเกี่ยวกับความเลือดเย็นและความละโมบของอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี Ronald Reagan ในระหว่างซาวด์เช็คนั้นทางวงยังได้ทดลองซาวด์ใหม่ๆจากเพลงที่เพิ่งแต่งด้วย เอนจิเนียร์ Meegan บอกว่าการที่ U2 ได้ร่วมเล่นกับศิลปินอื่นตอนทัวร์นั้นส่งผลต่อซาวด์ของวง "การได้ดูศิลปินที่เป็นฮีโร่เล่นสดนั้น สร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก"
ในวันที่ 3 ก.ค. ทางวงต้องพบกับเรื่องเศร้าเมื่อ Greg Carroll โรดดี้ประจำวงและผู้ช่วยส่วนตัวของ Bono เสียชีวิตจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์คว่ำด้วยวัยเพียง 26 ปี ซึ่งส่งผลกระทบทางจิตใจกับทางวงและทีมงานเป็นอย่างมาก U2 เดินทางไปยังประเทศนิวซีแลนด์เพื่อร่วมพิธีศพ เหตุการณ์นี้เป็นแรงบันดาลใจในเพลง "One Tree Hill" หลังกลับจากงานศพ Bono และภรรยาได้เดินทางไปยังประเทศนิคารากัวและเอลซาวาดอร์ เขาได้เห็นความทุกข์ยากของชาวชนบทที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองและการเข้าแทรกแซงของทหารอเมริกา ซึ่งเป็นที่มาของเพลง "Bullet the Blue Sky" และ "Mothers of the Disappeared
ในวันที่ 1 ส.ค. 1986 สมาชิกวงกลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่กรุงดับลินเพื่อเริ่มบันทึกเสียงต่อ ที่บ้าน Melbeach ของ The Edge ที่อยู่ริมทะเลในเมือง Monkstown โดย Lanois บอกว่า "ซาวด์ที่นี่ไม่ค่อยร็อคแอนด์โรลเท่าไหร่แต่เราก็ทำให้มันใช้งานจนได้ มีปัญหาที่ต้องแก้หลายอย่างจากการเก็บเสียงเครื่องดนตรีโดยต้องใช้แผ่นซับเสียงอคูสติคแปะไว้ทั่วบ้าน" The Edge บอกว่าบรรยากาศมันอาจจะมืดสลัวไปหน่อยแต่ก็มีคุณภาพดีพอที่จะเก็บพลังงานที่เกิดขึ้นเอาไว้ได้" เพลง "Mothers of the Disappeared" และ "Bullet the Blue Sky" นั้นเริ่มต้นทำกันที่นี่ Lanois บอกว่าการบันทึกเสียงส่วนใหญ่ในอัลบั้มนั้นอัดกันที่บ้าน Melbeach และยังเสนอให้มิกซ์เสียงกันที่นี่ด้วย
การทำงานยังเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ U2 เริ่มหาวิธีบันทึกเสียงเพลง "Where the Streets Have No Name" ซึ่งเริ่มมาจากเดโมของ The Edge ที่เขาทำด้วยตัวเอง ซึ่งทางวงนั้นมีปัญหากับเรื่องคอร์ดและการเปลี่ยน Time Signature ของเพลง(ช่วงอินโทรและเอ้าท์โทรจะเป็นจังหวะ 6/8 ท่อนอื่นจะเปลี่ยนเป็นจังหวะ 4/4) จนต้องใช้วิธีอัดเจาะเพื่อแก้ไข โดย Eno บอกว่าเวลาเกือบ 40 % ของการทำอัลบั้มถูกใช้ไปกับเพลงนี้ ในตอนอัดเสียงนั้น Lanois ต้องเขียนชอล์คกำกับบนกระดานเพื่อให้วงเล่นให้ได้ในช่วงเปลี่ยนจังหวะ ในตอนแรก Eno นั้นตั้งใจจะหลอกล่อให้วงอัดกันใหม่โดยการสร้างถานการณ์ว่าเกิดอุบัติเหตุเทปที่อัดไว้ถูกลบ แต่ถูกเอนจิเนียร์ Pat McCarthy นั้นห้ามเอาไว้ก่อน อีกสิ่งหนึ่งในอัลบั้มที่ได้รับความเห็นว่าต้องถูกแก้ไขคือเนื้อเพลงของ Bono ในตอนแรกเขาเตรียมเนื้อเพลงไว้ครบแล้วสำหรับเพลงในอัลบั้มแต่สมาชิกวงคนอื่นรู้สึกว่ายังมันยังไม่ค่อยดีพอ รวมถึงทีมโปรดัคชั่นที่เสนอว่าเนื้อเพลงนั้นเมื่อร้องออกมาแล้วฟังดูไม่เข้ากับพาร์ทดนตรีเท่าไหร่ Meegan บอกว่าเนื้อเพลงที่ Bono แก้ไขแล้วนั้นสมบูรณ์แบบและงดงาม เขาเชื่อว่าการถูกวิจารณ์ทำให้เกิดแรงกระตุ้นในการทำงานที่ดีกว่าออกมา
จากช่วงเวลาแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่พรั่งพรูในเดือน ต.ค. ทำให้พวกเขามีไอเดียเพลงใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย Bono เสนอให้วงทำอัลบั้มคู่ The Edge อธิบายว่า "เรามีเพลงมากพอจะทำได้สองอัลบั้ม ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากจะทำเพลงไหนให้เสร็จ อัลบั้มนึงเป็นเพลงบลูส์แบบที่ Bono พูดถึง อีกอัลบั้มจะมีความเป็นยูโรเปี้ยนมากกว่าแบบที่ผมนำเสนอ" Eno นั้นให้คำเตือนกับวงถึงการแสวงหาวัตถุดิบใหม่เรื่อยๆ เขาบอกกับ The Edge ว่า "ผมรู้ว่าไอเดียใหม่ๆเหล่านี้ดีพอที่จะเอามาทำอัลบั้ม แต่เราควรจะมีขอบเขตไว้ซักหน่อย ถ้าเราใช้เวลากับมันทั้งหมดเราคงต้องติดอยู่ที่นี่กันอีก 3 เดือน" U2 เก็บเพลงใหม่เหล่านั้นลงลิ้นชักเพื่อป้องกันไม่ให้เลยกำหนดเด้ดไลน์ของการปล่อยอัลบั้ม พวกเขาเริ่มบันทึกเสียงอย่างเข้มข้นตลอดเดือน พ.ย.โดยจะทำ Rough Mix(มิกซ์หยาบๆ) ทันทีหลังจากอัดเสียงเสร็จ ซึ่ง Lanois บอกว่าเหมือน "การถ่ายรูปเก็บไว้ตลอดทางเพราะบางทีเราอาจจะหลงทางกันไปไกล" The Edge เล่าว่าการเรียบเรียงและการอัดเสียงนั้นจะทำไปทีละเพลงเพื่อให้มีแนวทางที่ชัดเจนที่สุด พวกเขายอมที่จะ "เสียสละความต่อเนื่องเพื่อให้ได้มาซึ่งเพลงที่มีบทสรุป"
ในสัปดาห์สุดท้ายนั้นการทำงานเป็นไปอย่างบ้าคลั่งและเร่งรีบเพื่อให้งานเสร็จ สมาชิกวงและทีมงานเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เนื่องจากการทำงานล่าช้ากว่าที่กำหนด Eno และ Flood นั้นจึงมีส่วนร่วมน้อยมากในช่วงมิกซ์เพราะพวกเขามีงานอย่างอื่นต่อ จึงทำให้เกิดปัญหาทีมงานไม่พอ ในปลายเดือน ธ.ค. U2 ติดต่อให้ Steve Lillywhite โปรดิวเซอร์ที่เคยร่วมงานกันในสามอัลบั้มแรก มาช่วยทำการมิกซ์เสียงเพลงที่จะตัดเป็นซิงเกิ้ล จากทั้งหมด 30 เพลงที่บันทึกเสียงเสร็จมีเพียง 11 เพลงเท่านั้นที่ถูกเลือกลงในอัลบั้ม Lillywhite นั้นมิกซ์ 4 เพลงร่วมกับเอนจิเนียร์ Mark Wallis บนบอร์ด SSL ที่สตูดิโอ Windmill Lane ในขณะเดียวกัน Lanois, McCarthy และ Meegan ก็ช่วยกันมิกซ์อีก 7 เพลงที่บ้าน Melbeach บนบอร์ด AMEK 2500
ในคืนก่อนวันที่ 15 ม.ค. 1987 ซึ่งเป็นเด้ดไลน์ที่ต้นสังกัด Island Records กำหนดให้อัลบั้มต้องเสร็จ ทางวงกับทีมงานมิกซ์เพลงในอัลบั้มจนเสร็จที่ Melbeach ภรรยาของ Lillywhite ที่ชื่อ Kirsty MacColl รับอาสาเป็นคนช่วยเรียงเพลงในอัลบั้ม โดยทางวงบอกกับเธอว่า ให้เริ่มต้นด้วยเพลง "Where the Streets Have No Name" และปิดท้ายด้วยเพลง "Mothers of the Disappeared" ส่วนที่เหลือแล้วแต่เธอเลย Bono เล่าถึงการมีส่วนร่วมของ MacColl ว่า "ในตอนแรกนั้นสิ่งที่ผมคาดหวังก็คือมันคงดีกว่าที่จะเอาเพลงมาโยนรวมๆกันในอัลบั้ม แต่มันไม่เป็นแบบนั้นกับ The Joshua Tree เธอเข้ามาจัดการกับมันด้วยวิธีแบบอัลบั้มในสมัยก่อนคือ มีการเริ่มต้น มีตรงกลาง และมีตอนจบ โดยเลือกจากความชอบของเธอเองในแต่ละเพลง" ในตอนตี 2 อีก 7 ชั่วโมงก่อนที่อัลบั้มจะถูกส่งไปมาสเตอริ่งตามกำหนด The Edge พยายามอ้อนวอนให้ Lillywhite อนุญาตให้เขาอัดเสียงร้องประสานเพิ่มเข้าไปในเพลง "Where the Streets Have No Name" แต่ก็ถูกปฏิเสธ ในตอนเช้า Meegan และ Lillywhite นำเทปที่บันทึกอัลบั้ม The Joshua Treeขึ้นเครื่องบินไปที่ออฟฟิศของ Islands Records ใน Hammersmith กรุงลอนดอน