อีกหนึ่งสิ่งที่อาจจะทำให้หลายคนผิดหวังคือเป็นตอนเดียวในซีรี่ย์ที่เรารู้สึกว่าแนนโน๊ะไม่ได้ลงมือแก้แค้นอะไรใครในนี้ นั่นหมายความว่า แนนโน๊ะในตอนนี้ทำหน้าที่เป็นเหมือนพิธีกร เหมือนในซีซั่นแรกในตอน Lost & Found (เด็กขโมยของ) แต่ในตอนนั้นกลับสะท้อนของตัวละครที่แนนโน๊ะพยายามมากกว่า แต่ในเรื่องนี้แนนโน๊ะเป็นเพียงตัวแทนของเด็กที่ตั้งคำถาม เข้ามาประกอบในฉากเป็นตัวรัน script ฉากที่คอยให้ information เด็กๆในโรงเรียน คุณครู รวมถึงนำตัวละครแนนโน๊ะเป็นแกนหลักในการแสดงออกบางฉากมากเกินไปแต่กลับหลุดประเด็นและ Theme ของซีรี่ย์ไปในท้ายที่สุด
4. Discussion
ประเด็นจากซีรี่ย์ตอนนี้เป็นแรงขับเคลื่อน #โรงเรียนชื่อดังย่านอโศก ถึงค่านิยมและแนวทางปฏิบัติที่เด็กรุ่นใหม่มองว่าล้าหลัง และชวนตั้งคำถามว่าสิ่งที่ดีงามในแบบที่คนกลุ่มนั้นมอง มันดีต่อตัวเด็กในชีวิตจริงมากแค่ไหน สิ่งสำคัญที่ซีรี่ย์จะสื่อออกไปคือการที่เราได้เริ่มมองว่ายุคสมัยที่เทคโนโลยีเข้ามา หรือความรู้ความเข้าใจของเด็กในปัจจุบันนั้นมันรวดเร็วเกินกว่าที่จะมาห้ามกันได้อีกต่อไป หรือวิธีที่เคยทำกันมาไม่สามารถได้ผลเหมือนกันกับเด็กทุกคน ผมมีประโยคหนึ่งที่ชอบมากของ นักสร้างภาพยนตร์รัสเซียสมัยสหภาพโซเวียต , Andrei Tarkovsky กล่าวคือ “ A book read by a thousand different people is a thousand different books.” คนอ่านหนังสือเล่มเดียว แต่ตีความได้ต่างกันมากมาย ขึ้นกับประสบการณ์ชีวิต ความคิดความรู้ของแต่ละคน มันแน่นอนว่าการตีความของเด็กสมัยนี้ก็ไม่ได้ผิด แต่เป็นผู้ใหญ่เองที่พร่ำบอกว่ามันไม่เหมือนที่คาดหวังไว้ หรือพร่ำบอกเสมอว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนเพราะประสบการณ์ในอดีต แน่นอนการพัฒนาความคิดความเข้าใจมันต้องในได้รับการพิสูจน์ทั้งในแง่ของ Theoretical validity and reliability และ Practical way เหมือนกับงานวิจัย งานพัฒนาการต่างๆ การหยุดอยู่กับที่และปักใจเชื่ออะไรแบบเดิมๆไม่ใช่ทางออกที่ดีเสมอไป มันเป็นเพียงการที่คุณเองไม่อยากจะปรับตัวกับมัน จนในท้ายที่สุดก็จะบอกว่าเด็กก้าวร้าว ทั้งๆที่ไม่เคยแม้แต่จะฟังความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา และกดทับด้วยอำนาจ อาทิ ประณามการตั้งคำถามของเด็กๆ และลดทอนสิทธิ ความมั่นใจในตัวเด็กลงไปทีละเล็กทีละน้อย เสมือนว่ากลืนกินไปในระบบให้ได้