#3แนวทางการลงทุนในตลาดหุ้น
.
วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจแนวทางการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 สายหลัก ดังนี้
.
1. #สายพื้นฐาน (Value or Fundamental Investor) - แนวคิดนี้เปรียบการลงทุนในหุ้นคือการทำธุรกิจ
.
ดังนั้นการซื้อหุ้นคือการเข้าไปเป็นส่วนนึงหรือเป็นเจ้าของในธุรกิจนั่นเอง
.
โดยสายพื้นฐานจะเข้าไปลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี เช่น บริษัทมีรายได้และกำไรเติบโต มีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจสูง มีสินค้าที่สามารถลอกเลียนแบบได้ยาก เป็นต้น
.
เลือกซื้อหุ้นคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม
.
นักลงทุนที่เป็นต้นแบบของสายพื้นฐาน คือ วอร์เรน บัฟเฟต เป็นบุคคลที่รวยที่สุดของโลกจากการลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้ทำธุรกิจ
.
ข้อดีของนักลงทุนสายพื้นฐาน คือ ไม่ต้องเฝ้าจอหุ้น ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการวิเคราะห์บริษัท และสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่สูงมาก เรียกได้ว่า กำไรเป็นเด้ง ๆ กันเลยทีเดียว นอกจากนี้ค่า Commission ในการเทรดอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
.
ข้อจำกัดและข้อเสียของสายพื้นฐานคือ...
.
บางครั้งหุ้นที่ซื้อราคาไม่ไปไหน ต้นทุนจมและปวดใจเมื่อมองพอร์ตเพื่อนที่ลงทุนปรับตัวขึ้น นอกจากนี้คนที่เป็นนักลงทุนสายพื้นฐานจะต้องมีความลึกและความเข้าใจธุรกิจสูงมาก
.
2. #สายกราฟ (Technical investors) -
.
แนวคิดนี้จะเน้นไปที่การวิเคราะห์โครงสร้างราคาของกราฟ วิเคราะห์จุดซื้อ-จุดขาย ไม่ได้มีความรักในกิจการเหมือนกับสายพื้นฐาน
.
บุคคลที่เป็นต้นแบบคือ แลร์รี่ วิลเลี่ยมส์ ผู้ชนะการแข่งขัน Trade Future โดยสามารถสร้างผลตอบแทน 10,000% ภายใน 1 ปี
.
ข้อดีของสายกราฟ คือ ความง่ายในการวิเคราะห์ ไม่ว่าธุรกิจอะไรก็ออกมาเป็นหน้าตากราฟหุ้นเหมือนกัน ใช้เวลาวิเคราะห์กราฟหุ้นไม่เกิน 5 นาที
.
ข้อเสียของสายกราฟ จะต้องใช้เวลาในการเฝ้าจอสูงมาก รวมถึงค่า Commission ในการเทรดจะสูงเพราะซื้อขายบ่อยนั่นเอง
.
นอกจากนี้บางครั้งถ้าเลือกกราฟหุ้นโดยไม่สนใจพื้นฐาน ถ้าไปเจอธุรกิจที่แย่ และกิจการต้องปิดตัวไป ทำให้ต้องขาดทุนในหุ้นตัวนั้นเป็นจำนวนมาก ถ้าหุ้นไม่ได้กลับมาซื้อขายในตลาด
.
3. #สายไฮบริด (Hybrid Investor) -
.
นักลงทุนสายนี้จะเลือกใช้ทั้งกราฟและพื้นฐานในการตัดสินใจ
.
แนวคิดด้านพื้นฐาน จะเอาไว้เลือกหุ้นที่ดีและมีโอกาสเติบโต เน้นไปที่รายได้และกำไรสุทธิ
.
แต่ก็ไม่ได้อินแบบที่ว่ารู้สึกเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น
.
และใช้กราฟในการจังหวะในการซื้อขาย
.
นักลงทุนต้นแบบของสายไฮบริด คือ มาร์ค มิเนอร์วินี่ ผู้ที่สามารถทำผลตอบแทนได้เฉลี่ยปีละ 220%ต่อปี ในช่วงปี 1994-2000 กำไรรวมทบต้นมากถึง 33,500%
.
ข้อดีของสายไฮบริดเป็นการนำข้อดีของทั้งสองสายมาใช้ร่วมกัน เพื่อทำให้เกิดผลประโยชน์มากสุด
.
ข้อเสียบางครั้งแล้วเราก็จะไปเจอหุ้นซิ่งที่ไม่มีพื้นฐานรองรับ ทำให้นักลงทุนประเภทนี้จะพลาดหุ้นพวกนี้ไป
.
3สาย3แนวทางไม่มีถูกและผิดขึ้นกับว่าจริตของเราเหมาะกับแบบไหน
.
อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้วใครใช้แนวทางไหนพิมพ์บอกใน Comment ให้แอดมินรู้บ้างครับ
.
ขอบคุณครับ
.
#STOCKJiBJiB