28 พ.ค. 2021 เวลา 16:54 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
- รีวิว Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี และฉีกกฎการรีวิวของข้าพเจ้าด้วยเช่นกัล -
ในบทความนี้เราอยากพูดถึงประเด็นต่างๆที่เราสนใจต่อยอดจากตัวภาพยนตร์ ทำให้ในพาร์ทแรกเราเขียนเรื่องย่อไว้ ถ้าผู้อ่านชมภาพยนตร์มาเรียบร้อยแล้ว หรือต้องการหลบspoil สามารถข้ามไปอ่านพาร์ทรีวิวได้เลยค่ะ
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา แอดมินได้ดูหนังเรื่อง Ghost Lab ผ่านทาง Netflix ซึ่งเป็นหนัง Sci-fi ไทยไอเดียดีที่แอดมินประทับใจมากเรื่องหนึ่ง
เรื่องราวคร่าวๆในหนังเรื่องนี้ว่าด้วยนายแพทย์สองคนที่มีความสนใจในเรื่องผี และโลกหลังความตาย โดยที่มาของความสนใจนั้นย้อนไปเมื่อตอนที่หมอคนหนึ่งยังเด็ก เขาได้เห็นวิญญาณของพ่อปรากฎตัวขึ้นหลังจากที่เสียชีวิตได้ไม่นาน ทำให้เขาเก็บความสงสัยเรื่องโลกหลังความตายไว้จนกระทั่งวันที่หมอทั้งสองได้เห็นวิญญาณพร้อมๆกันในโรงพยาบาลที่พวกเขาทำงานอยู่ ความสงสัยในวัยเด็กจึงกระจ่างขึ้นอีกขั้น
หลังจากนั้นพวกเขาได้ร่วมมือกันทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่าวิญญาณและโลกหลังความตายนั้นมีอยู่จริง จนกระทั่งเกิดเรื่องราวต่างๆตามมามากมาย
⚠️Spoil Alert: หลังจากนี้จะมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์
จากความสงสัยและหลักฐานที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หมอทั้งสองคนมีความคิดที่จะเข้าไปในโลกหลังความตายเอง โดยหมอวีอาสาเป็นคนก้าวข้ามความตายไป เนื่องจากความหวังที่อยากไปพบกับแม่ สุดท้ายแล้วหมอวีไม่สามารถลงมือได้ ทำให้หมอกล้า ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการทดลองทั้งหมดได้เดินทางไปสู่โลกหลังความตายแทน
หลังจากนั้นหมอวีก็ได้ทำการสื่อสารกับวิญญาณของหมอกล้า โดยใช้แนวคิดเรื่อง’ห่วง’และ’ความแค้น’ของวิญญาณ ซึ่งการกระทำหลายอย่างของหมอวีนั้นได้ผล วิญญาณของหมอกล้าได้กลับมาสื่อสารให้หมอวีหยุดการทดลอง เนื่องจากการกระทำของหมอวีเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของตัวหมอกล้าเอง รวมถึงคนรอบข้างของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ
-Ghost Lab ในมุมมองของแอดมิน-
โดยส่วนตัวแอดมินคิดว่าทาง GDH นำเรื่องวิทยาศาสตร์มาเชื่อมโยงกับสิ่งลี้ลับที่ถูกมองว่าเหนือธรรมชาติได้ค่อนข้างน่าสนใจ แอดประทับใจที่ผู้กำกับถ่ายทอดเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้อยู่ในขอบเขตของวิธีการทางวิทยาศาสตร์
ตั้งแต่การสังเกตพฤติกรรมของผี การกำหนดสมมติฐานโดยอาศัยข้อมูลที่มี การดีไซน์วิธีการทดลองอย่างเป็นระบบเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน ไปจนถึงการหาผีร่วมทดลอง เพื่อให้ผีมาปรากฎตัวต่อหน้าสาธารณชน แสดงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าผีมีตัวตนอยู่จริง ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการทดลองวิทยาศาสตร์
ด้านวิธีการทดลองนั้นยังเป็นจุดหักเหที่สำคัญของเหตุการณ์พาร์ทหลัง ซึ่งทำให้แอดมินประทับใจอีกครั้ง เนื่องจากหนังไม่มองข้ามเรื่องของความเชื่อเรื่องการไปสู่ภพภูมิที่ดี โลกหลังความตาย หรือความเป็นห่วงของวิญญาณในแบบที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันมา
หนัง Sci-fi ต่างประเทศหลายๆเรื่องได้ทำลายภาพจำเหล่านี้ลงอย่างไม่มีชิ้นดี แต่Ghost Lab เป็นหนังวิทยาศาสตร์ที่พูดถึงมุมมองความเชื่อได้แบบรักษาน้ำใจ พยายามไม่โจมตีความเชื่อ ในพาร์ทหลังนั้นแทบจะลดประเด็นการทดลองวิทยาศาสตร์ไปให้น้ำหนักที่emotionsและความเชื่อเลยด้วยซ้ำ
โดยส่วนตัวแล้วเราชอบการพบกันครึ่งทางแบบนี้ เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มักจะโจมตีความเชื่อ แต่เรากลับมองว่าการเชื่อในบางสิ่ง หรือการทำให้บางสิ่งเหนือการควบคุมของธรรมชาตินั้นยังส่งผลต่อจิตใจของมนุษย์ การที่เรายังสามารถเชื่อว่าผีมีจริง และโลกหลังความตายมีจริงเพื่อรักษาสภาพการดำรงอยู่ของคนที่เรารักนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล ซึ่งGhost Lab แสดงให้เห็นมุมมองนี้ได้(และไม่ค่อยพบความอ่อนโยนนี้ในหนังSci - fi สักเท่าไหร่)
อีกสิ่งที่ทำให้แอดมินชอบหนังเรื่องนี้คือการสอดแทรกประเด็นเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย ตัวหนังเองอาจจะไม่ได้ตั้งใจพรีเซนต์ประเด็นนี้มากนัก แต่สารที่แอดมินได้รับคือหนังไม่นำการฆ่าตัวตายมาเชื่อมโยงกับความเศร้า หรือการไม่สามารถควบคุมตนเองได้ แต่สามารถเสนอให้เป็นการตัดสินใจแน่วแน่ของคนกลุ่มหนึ่งที่”ยอมตายเพื่อวิทยาศาสตร์” และใช้ความตายเป็นส่วนหนึ่งของการทดลอง ซึ่งการใช้ร่างกายของตัวเองเพื่อทดลองนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงๆมาก่อน
ถึงแม้สุดท้ายแล้วหนังเสนอให้ตัวละครมองว่าการสละชีวิตเพื่อทดลองเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และการฆ่าตัวตายยังส่งผลเสียต่อผู้คนรอบข้างอยู่ แต่ Ghost Lab นำประเด็นที่อ่อนไหวมาใช้ได้อย่างสมเหตุสมผลและน่าประทับใจในระดับหนึ่ง
สุดท้าย หนังเรื่องนี้ทำให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับขอบเขตจริยธรรมของการทดลองวิทยาศาสตร์ ตัวหนังพาเราออกไปไกลจากขอบเขตที่เรารับรู้หรือเรียนมา
จนระหว่างที่ดูหนัง เราพยายามลุ้นว่าการทดลองนี้จะสิ้นสุดที่ตรงไหน จะสามารถพาเราก้าวข้ามจริยธรรมทางการทดลองได้หรือไม่ สิ่งใดจะชนะระหว่างความอยากรู้อยากเห็นและความถูกต้อง ซึ่งน่าจะเป็นความคิดที่เคยเกิดขึ้นในใจของคนสายวิทยาศาสตร์หลายครั้ง รวมถึงตัวแอดมินเอง
จุดสังเกตที่แอดมินมีต่อหนังเรื่องนี้ก็คือพลังเหนือธรรมชาติของวิญญาณที่ใส่มาจน(อาจจะ)มากเกินไป จนทำให้ตัวหนังที่ปูแนวคิดเรื่องการทดลองมาค่อนข้างดีเสียบรรยากาศ และเราที่เป็นคนดูถูกดึงดูดไปกับเรื่องJump scare และความตื่นเต้นมากจนประเด็นทางวิทยาศาสตร์และความเชื่อมีน้ำหนักเบาไปบ้าง
เมื่อรวมกับความรวบรัดตัดตอนของหนัง ทำให้เรารู้สึกว่าหนังยังไม่สามารถคลี่คลายสมมติฐานหลักที่ตั้งไว้ได้ เนื่องจากครึ่งหลังของเรื่องเน้นประเด็นเกี่ยวกับความรู้สึก และตัวหมอกล้าที่ยอมสละชีวิตเพื่อการทดลอง(เหมือนจะ)ทิ้งการทดลองไปแบบไม่มีที่มาที่ไป ซึ่งผิดจากวิสัยเดิมที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะทดลองจนสำเร็จ
หมอกล้าได้บอกย้ำกับหมอวีว่าการทดลองนี้ทำให้หลายคนรวมถึงตัวเขาเองเจ็บปวด แต่ตัวหนังไม่ได้แสดงให้เห็นความเจ็บปวดมากเท่าที่ควร ซึ่งเราว่าถ้าหนังสามารถบาลานซ์ประเด็นของวิทยาศาสตร์และประเด็นความรู้สึกได้ จะลื่นไหลมากกว่านี้
ในพาร์ทสุดท้าย หมอกล้าพยายามหยุดหมอวีด้วยการพยายามฆ่า และตัดจบด้วยการที่หมอทั้งสองคนได้คุยกันในโลกหลังความตาย ทำให้หมอวีได้กลับมาใช้ชีวิตต่อ ซึ่งเราว่ามันไม่สมเหตุสมผล เพราะพลังเหนือธรรมชาติที่ผีแสดงออกมามันมากเกินกว่าทางทีมแพทย์ทั้งหมดจะมองว่าคนคนเดียวจะสามารถทำได้ ซึ่งถ้าหนังตั้งใจจะจบแบบที่ทุกอย่างสามารถดำเนินต่อไป เราว่าควรปรับเรื่องพลังเหนือธรรมชาติ หรือไม่ก็ทำฉากจบให้เซอเรียลไปเลยอาจจะประทับใจกว่า
แอดมินคิดว่าหนังเรื่องGhost Lab ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่น่าจดจำของหนัง Sci - fi ไทย แม้ว่าจะยังติดภาพจำเดิมๆของหนังผี หรือติดความแฟนตาซีและjump scareไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วทำออกมาได้น่าประทับใจเลยทีเดียว💕
ถ้าสนใจหนังที่เกี่ยวกับการทดลองเรื่องวิญญาณและโลกหลังความตาย หนังเรื่อง Flatliner, Lazarus Effect และบ่มีวันจาก(The Long Walk) น่าจะทำให้ผู้อ่านประทับใจไม่มากก็น้อย
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะคะ :)
โฆษณา