6 ก.พ. 2023 เวลา 09:19 • ประวัติศาสตร์

รู้ป่ะว่า....ใครคือผู้ชายกางร่มคนแรก ในประวัติศาสตร์

เห็นหัวข้อแล้วหลายคนคงอยากจะหัวเราะให้ลืมที่อยู่ออฟฟิศกันไปเลย มันแปลกตรงไหนที่ใครจะกางหรือหุบร่ม
ปัจจุบันมันคงไม่แปลกอะไร ต่อให้ผมยืนกางร่มสีชมพูมีลูกไม้ประดับรอบคัน เดินตามฟุตบาทกลางถนนสีลม ก็คงไม่มีใครว่าอะไร
แต่รู้หรือไม่ กว่าที่ร่มจะได้รับการยอมรับให้เป็นเรื่องปกติธรรมดาเหมือนในทุกวันนี้ ต้องผ่านมรสุมชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งเรื่องของความเชื่อ สัญลักษณ์และชนชั้น
“ร่ม” คาดว่ามีจุดกำเนิดเมื่อราวๆ 3,400 ปีที่แล้ว บนแผ่นดินเมโสโปเตเมีย หรือแถวๆประเทศอิรักในปัจจุบัน นั่นก็เป็นการบ่งบอกได้ว่า “ร่ม” น่าจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ “บังแดด” ไม่ใช่บัง “ฝน” เพราะพื้นที่แถบนั้นเป็นทะเลทรายที่แทบจะไม่มีเม็ดฝนตกลงมาเลย และหากสืบค้นรากศัพท์ของคำว่า “Umbrella” แล้วนั้นจะมาจากคำว่า “Umbra” ของภาษลาตินที่แปลว่า “แสงแดด” เป๊ะเลย
เมื่อกาลเวลาเดินทางมาถึงประมาณ 1,200 ปี ก่อนคริสตกาล ชาวอียิปต์ได้ยกให้ร่มเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และมีความสำคัญในแง่ของศาสนา เปรียบร่มเสมือนส่วนหนึ่งขององค์เทพธิดาที่ชื่อ “นัต” ที่คอยโอบอุ้มโลกใบนี้ไว้ ดังนั้นร่มจะต้องกางขึ้นเหนือศีรษะของผู้สูงศักดิ์เท่านั้น และการที่ได้รับเชิญให้ยืนภายใต้ร่มของกษัตริย์ถือเป็นเกียรติสูงสุดเลยทีเดียว ดังนั้นร่มในสมัยนั้นจะถูกทำขึ้นมาจากวัสดุชั้นดีเช่นเดียวกับพัด เช่น ใบเฟินขนนกและต้นกก
และเมื่อกาลเวลาผ่านไปเข้าสู่ยุคโรมันเรืองอำนาจ ได้มีการพัฒนาร่มโดยใช้น้ำมันทาลงบนร่มกระดาษเพื่อให้สามารถกันน้ำได้ (ชาวโรมันนี่เค้าเก่งกับเรื่องการจัดการน้ำจริงๆ)
โรงละครครึ่งวงกลมของโรมัน
ได้มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ของโรมันไว้ว่า ครั้งหนึ่งที่โรงละครครึ่งวงกลมกลางแจ้ง อยู่ดีๆก็มีฝนตกปรอยๆลงมา ทำให้คุณผู้หญิงที่นั่งอยู่หลายร้อยคนนั้นได้พร้อมใจกางร่มกันพรึบพรับเต็มพื้นที่ สร้างความรำคาญและไม่พอใจให้แก่คุณผู้ชายทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันบังการแสดงไปเสียหมด จากเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดเป็นเรื่องหมางใจของพวกผู้ชายตลอดมา เพราะมองว่าร่มกลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญไปเสียแล้วไม่ได้จำเป็นอะไรขนาดนั้น
จักรพรรดิ โดมิเทียน
จนเข้าสู่ ค.ศ. 1 จักรพรรดิที่ชื่อว่า “โดมิเทียน” ก็ได้มีการประกาศคำสั่งออกมาเพื่อตัดความรำคาญว่า “อนุญาตให้ใช้ร่มกันฝนได้ในที่สาธารณะ” ทำให้พวกคุณผู้ชายถึงกับไปไม่เป็นมองว่าจักรพรรดิดันไปเข้าข้างผู้หญิงซะงั้น
และแล้ว! เวลาก็เดินทางมาสู่ช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 18 ร่มก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกใช้งานเฉพาะผู้หญิงเท่านั้นเช่นกัน ถึงขนาดที่ว่า “หากผู้หญิงเห็นว่า ผู้ชายคนใดถือร่มติดตัว ให้ลงความเห็นว่าผู้ชายคนนั้นคือคนที่อ่อนแอ น่าอับอาย ไม่น่าให้อภัย” เย้ยยย ฉะนั้นผู้ชายจะสวมเพียงหมวกและยอมเปียกไปทั้งตัว แต่จะมีอีกวิธีที่ไม่ให้ตัวเปียกฝนคือการโดยสารรถม้า
แต่แล้ว!!! "โจนาส แฮนเวย์" คือบุรุษผู้กล้าชาวอังกฤษที่ท้าทายความคิดเดิมๆ ลุกขึ้นหยิบร่มขึ้นมากางแล้วเดินออกไปนอกบ้านเดินหน้าตาเฉย
โจนาส แฮนเวย์ บุรุษผู้กางร่มคนแรกในประวัติศาสตร์
ไม่ว่าแดดจะออกหรือฝนจะตกฉันก็จะกาง มีไรป๊าวว สร้างความน่ารำคาญตาให้คนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่สนไม่แคร์อะไรทั้งสิ้นทำอย่างนั้นอยู่เรื่อยมา
จนคนนินทาว่าเป็นกระเทยบ้าง วัยรุ่นข้างทางตะโกนโห่ล้อเมื่อเขาเดินผ่านบ้าง หรือไม่ก็บางทีก็โดนพวกขับรถม้าแกล้งโดยการเหยียบน้ำบนพื้นถนนให้กระเด็นใส่โจนาสบ้าง ไปจนถึงขั้นจะขับรถชนให้ตายเลยก็มี เพราะกลัวว่าหากการใช้ร่มเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้ชายแล้ว ธุรกิจพวกเขาจะถูกกระทบโดยตรง
แต่โจนาสไม่เคยท้อยังคงพกร่มติดตัวเสมอตลอด 30 ปีหลังของชีวิต ในไม่ช้าทุกคนก็เริ่มคิดได้แล้วว่าการซื้อร่มเพียงครั้งเดียวมันประหยัดกว่าการเรียกรถม้าทุกครั้งที่ฝนตก โดยเฉพาะในเมืองลอนดอนที่ฝนตกตลอดทั้งปี มันคงประหยัดได้อย่างมหาศาลเลยเชียวหละ
และแล้วก่อนหน้าที่ โจนาส จะถึงแก่กรรมเมื่อปี ค.ศ.1786 ก็สามารถลบล้างสิ่งที่ถูกยึดติดกันมานานนับพันปีลงได้ สุภาพบุรุษเมืองอังกฤษทุกคนให้การยอมรับร่มและพกติดตัวกันจนเป็นเรื่องปกติและขยายแนวความคิดนี้ไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าเพียงแค่เรื่อง “ร่ม” มันจะสามารถมีเรื่องเล่าได้ถึงขนาดนี้
โฆษณา