30 พ.ค. 2021 เวลา 00:01 • ไลฟ์สไตล์
“บลูเบอร์รี่” - ไม่ใช่ทำได้แต่ชีสเค้ก
“ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำ ๆ” ของคุณรุ่งเพชร แหลมสิงห์ เข้ากับบรรยากาศเมื่อย่างสู่เดือนมิถุนายนเสียจริง ๆ เพราะปีนี้ดูเหมือนฝนฟ้าจะมาเร็ว ให้ความชุ่มฉ่ำตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่ถ้าเป็นสหรัฐอเมริกาแล้วละก้อ เดือนมิถุนายนเป็นการเริ่มฤดูกาลเก็บเกี่ยว “บลูเบอร์รี่”
1
ขอบคุณภาพประกอบจาก avantgardevegan.com
บลูเบอรี่ (Blueberry) เป็นพืชเมืองหนาว ต้นไม่สูงนัก ปลูกกันมากแถวภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ผลมีสีน้ำเงินม่วงที่ออกจะดูแปลกกว่าผลไม้อื่น ๆ บลูเบอรี่มีวิตามิน C และ K สูงมาก และยังมีแร่ธาตุอีกหลายชนิดเช่น โปแตสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และอื่น ๆ
ธาตุอีกหลายชนิดเช่น โปแตสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และอื่น ๆ
พูดถึงบลูเบอร์รี่ คนส่วนมากก็ต้องนึกถึงบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก เพราะดูเหมือนจะเป็นชีสเค้กที่ผู้คนนิยมมากโดยเฉพาะในบ้านเรา เรื่องของชีสเค้กเราเคยว่ากันไปถึงความเป็นมาและชนิดต่าง ๆ ของชีสเค้กแล้วตอนที่เราพูดถึงเรื่อง “ชีสเค้กหน้าไหม้” หรือ Basque cheesecake บลูเบอร์รี่ชีสเค้กก็เป็นชีสเค้กผลไม้ชนิดหนึ่ง ให้รสหวาน มัน และเปรี้ยวนิด ๆ กินได้ไม่รู้เบื่อ
ไปดูเรื่องของชีสเค้กได้ที่
แต่วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับขนมและอาหารที่ใช้บลูเบอร์รี่เป็นส่วนประกอบให้มากยิ่งกว่าบลูเบอร์รี่ชีสเค้กที่เราคุ้นเคย อย่างแรกก็คือ blueberry muffin
พูดถึงมัฟฟิน ก็ต้องเข้าใจก่อนว่า จะมีมัฟฟินอยู่ 2 ชนิดที่แตกต่างกันคือ English muffin กับ American muffin ซึ่งทั้งสองชนิดมีลักษณะแตกต่างกันมาก
1
English muffin มีลักษณะเป็นแผ่นรูปกลม เนื้อคล้ายขนมปังเหนียว ใช้ทาเนย-แยมกินแบบขนมปัง ส่วน American muffin นั้นจะเป็นขนมรูปถ้วยเหมือนกับคัพเค็ก เนื้อก็คล้ายเค้ก
ขอบคุณภาพประกอบจาก muffintimes.wordpress.com
บลูเบอร์รี่มัฟฟินนั้นย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยชาวอเมริกันอพยพมาจากทวีปยุโรปใหม่ ๆ พวกที่อพยพมานี้คุ้นเคยกับผลไม้ที่มีชื่อว่า bilberries เป็นอย่างดี แต่พออพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ ก็พบว่าที่ทวีปอเมริกาไม่มี bilberries มีแต่ผลไม้ท้องถิ่นชื่อบลูเบอร์รี่ ก็เลยต้องทำมัฟฟินใส่บลูเบอร์รี่แทน
กินเข้าไปแล้วก็พบว่าลูกบลูเบอร์รี่นี้ก็อร่อยไม่เบา บลูเบอร์รี่มัฟฟินก็เลยเป็นของอร่อยจากโลกใหม่ เพราะว่าเป็นผลไม้ที่ในสมัยก่อนมีแต่ในทวีปอเมริกา
บลูเบอร์รี่มัฟฟินนิยมกินเป็นอาหารเช้า ในร้านขายขนมปังที่ขายตอนเช้าก็จะมีมัฟฟินขายอยู่ด้วยเสมอ คนก็จะทานมัฟฟินกับเครื่องดื่มร้อน ๆ แต่ถ้าจะให้อร่อยยิ่งขึ้นละก้อ ลองเอามัฟฟินมาผ่าครึ่งแล้วทาเนย หรือครีมชีส หรือเนยถั่วลิสงดูสิครับ จะช่วยเพิ่มความอร่อยให้กับมัฟฟินในตอนเช้าของคุณขึ้นอีกเยอะ ถ้าเป็นบลูเบอร์รี่มัฟฟินด้วยแล้วก็จะมีรสหวานอมเปรี้ยวของบลูเบอร์รี่เพิ่มเข้ามาอีก
บลูเบอร์รี่นั้นทานเป็นอาหารคาวก็ได้ ท่านผู้อ่านเคยรับประทาน “Duck Confit” ไหมครับ? Duck Confit เป็นอาหารฝรั่งเศส เป็นเป็ดที่แช่มาในน้ำมันเป็ดทอด
Duck Confit มีชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า “Confit de Canard” คำว่า confit (อ่านว่า กง-ฟี่)หมายถึงการถนอมอาหาร ส่วน canard นั้นหมายถึงเป็ด
Duck Confit เป็นของที่ทำมานับร้อยปี เป็นการถนอมอาหารโดยใช้น้ำมันจากตัวเป็ดเอง คนสมัยก่อนทำเก็บไว้กินในฤดูหนาวสมัยที่ยังไม่มีตู้เย็น มาสมัยนี้ เราจะเห็นเขาทำขายเป็นขวดโหลหรือขวดแก้วมีเป็ดแช่อยู่ในน้ำมันที่แข็งตัว บางทีก็อัดมาในกระป๋องแบน ๆ เวลาจะรับประทาน ก็เอามาทอดโดยใช้น้ำมันที่อยู่ในขวดนั่นแหละ ทอดให้หนังเป็ดและผิวนอกกรอบเหลือง ส่วนด้านในยังนุ่มอยู่
1
ขอบคุณภาพประกอบจาก rte.ie
เวลาจะกินก็ต้องมีซอส ไม่ใช่ให้กินเป็ดทอดเปล่า ๆ ซอสที่ว่านั้นก็มีหลายสูตร แต่สูตรที่ได้รับความนิยมกันมากก็คือ “บลูเบอรี่ซอส” ก็เป็นการเอาผลไม้มาทำเป็นอาหารคาว
วิธีการทำก็มีหลายสูตรคล้าย ๆ กัน แต่ Gourmet Story ชอบสูตรของคุณ Ariane Daguin เจ้าของไวน์ D’Artagnan วิธีทำตามสูตรนี้ก็คือให้รินไวน์ 1 แก้วให้กับเชฟเสียก่อน 555 (ที่ชอบสูตรนี้ก็ตรงนี้แหละครับ) แล้วค่อยรินอีก 2 แก้วใส่กระทะ เคี่ยวให้งวดจนปริมาณไวน์ลดไปครึ่งหนึ่ง แล้วใส่น้ำซอส demi-glace กับผลบลูเบอรี่สด เคี่ยวจนปริมาณไวน์ลดไปอีกครึ่งหนึ่ง
1
เติมเกลือและพริกไทยเล็กน้อย แล้วเอาเครื่องปั่นมือถือ(immersion blender) มาปั่นซอสหยาบ ๆ จนได้เป็นเหมือนผลไม้ปั่น(puree) ชิมรสดูอีกที ถ้าเปรี้ยวหรือหวานไปก็ให้ใส่น้ำตาลหรือน้ำส้ม balsamic พอได้ที่ก็เอาผลบลูเบอร์รี่สดเป็นลูก ๆ ใส่ลงไปอีกนิดหน่อย เป็นอันเสร็จพิธี
เอาซอสนั้นราดลงไปบนเนื้อเป็ดที่ทอดเอาไว้ ก็จะได้รสชาติของเนื้อเป็ดทอดหอม ๆ ผสมกับความหวานอมเปรี้ยวของบลูเบอร์รี่อุ่น ๆ ต้องบอกว่ามันเข้ากั๊น เข้ากันจริง ๆ ครับ
ลองทำซอสบลูเบอรี่ไว้ใช้สิครับ วิธีทำก็แสนง่ายแค่เอาบลูเบอร์รี่เคี่ยวกับน้ำและน้ำตาล ใส่แป้งนิดหน่อยให้เหนียว ๆ เท่านั้นเอง ถ้าจะให้ง่ายกว่านั้นก็ไปซื้อที่เขาทำสำเร็จรูปเป็นกระป๋องไว้ใส่ขนมมาก็ได้
ขอบคุณภาพประกอบจาก bhg.com
คราวนี้พอคุณมีซอสบลูเบอรี่แล้วจะทำอะไรก็ได้ กินกับแพนเค้กในเช้าวันหยุด หรือไปซื้อเนื้อไก่งวงที่เขาขายเป็นแผ่น ๆ(ไม่ต้องไปซื้อทั้งตัวนะครับ) ทานกับซอสบลูเบอรี่ รับรองว่าเข้ากัน หรือใช้ทาขนมปังเปล่า ๆ เป็นของว่างแก้หิว หรือจะใส่ไอศกรีมกินเป็นขนมยามบ่ายก็ได้เหมือนกัน
เห็นไหมครับมีซอสขวดเดียวได้ประโยชน์หลายสถาน ได้ทั้งความอร่อยกับวิตามินและแร่ธาตุจากบลูเบอร์รี่
เรื่องตอนที่แล้ว “ส้มตำ” - อร่อยระดับ100 ล้าน ไปอ่านได้ที่
Gourmet Story - เรื่องราวเกี่ยวกับอาหารที่เป็นเกร็ดความรู้ เล่าสู่กันฟัง เพิ่มความอร่อยของอาหารที่เรารับประทาน ติดตามได้ที่
โฆษณา