31 พ.ค. 2021 เวลา 20:18 • ประวัติศาสตร์
เปิดตำนานโมเสส ผู้แหวกทะเลแดง
ชื่อของโมเสสนั้นคงเป็นชื่อที่ใครหลายคนคุ้นหูกันมาก ถึงแม้จะไม่ได้เป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงของศาสนาคริสต์ อิสลามหรือยูดาห์ก็ตาม อีกทั้งวีรกรรมอันน่าทึ่งของเขานั้น ยังได้รับการกล่าวขานมาจวบจนปัจจุบัน เขาเป็นใครและเรื่องราวอันเป็นตำนานของเขานั้นเป็นอย่างไร ในบทความนี้ ผมจะมาเล่าให้ทุกท่านได้ฟังครับ
ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องของโมเสสนั้น เราจะต้องทำความรู้จักกับชนชาติที่มีชื่อว่า "ชาวฮีบรู" และความเป็นมาเป็นไปของพวกเขาซักเล็กน้อยก่อนครับ
ชาวฮีบรู(ฮีบ-รู) คือกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง ที่ในอดีตมีถิ่นอาศัยอยู่ในบริเวณที่เรียกกันว่าคานาอัน ซึ่งในปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ปาเลสไตน์และเลบานอน มีการแบ่งออกเป็นเผ่าต่างๆแยกย่อยกันไป และเป็นบรรพบุรุษของชาวยิวที่เรารู้จักกันอยู่ในปัจจุบัน ส่วนในทางศาสนาเชื่อกันว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากจาคอบหรืออิสราเอล ฉะนั้นจะเรียกว่าชาวฮีบรู ชาวยิว หรือชาวอิสราเอล ก็ได้เช่นกัน เพราะหมายถึงชนชาติเดียวกันครับ ซึ่งพวกเขาก็ได้ใช้ชีวิตในดินแดนนั้นเรื่อยมา จนในยุคหนึ่งได้เกิดภัยพิบัติที่ทำให้พื้นที่คานาอันมีแต่ความแร้นแค้นและอดอยาก พวกเขาจึงตัดสินใจอพยพไปอยู่ที่อียิปต์ โดยต้องใช้ชีวิตเป็นพลเมืองชั้นสองและถูกกดขี่อยู่ที่นั่นหลายร้อยปี ซึ่งเรื่องราวที่จะเล่านั้นเกิดขึ้นต่อจากนี้ครับ
(หมายเหตุ* คำว่าอิสราเอลนั้น เป็นอีกชื่อหนึ่งของจาคอบ ที่เชื่อกันว่าพระเจ้าเป็นผู้ตั้งให้เขา ด้วยเหตุนี้จึงสามารถเรียกชาวฮีบรูที่เชื่อกันว่าเป็นลูกหลานของจาคอบว่าชาวอิสราเอลได้อีกด้วย)
1
ภายหลังการมาลงหลักปักฐานในอียิปต์เป็นเวลานาน ชีวิตของชาวฮีบรูก็ไม่ได้ดีขึ้นซักเท่าไหร่ เนื่องจากต้องถูกชาวอียิปต์กดขี่อย่างหนัก แต่กระนั้นชาวฮีบรูก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดมากนัก นอกจากต้องยอมก้มหน้ารับชะตากรรมอันเลวร้ายต่อไป
ถึงแม้ตอนนี้จะสามารถควบคุมและปกครองชาวฮีบรูได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็ยังมีเรื่องที่ฟาโรห์แห่งอียิปต์กำลังเป็นกังวล นั่นคือจำนวนประชากรชาวฮีบรู ที่นับวันมีแต่จะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆจนเป็นที่น่าหวั่นใจว่า ด้วยจำนวนที่มากขนาดนั้น ในอนาคตมันอาจจะอยู่เหนือการควบคุม และกลายเป็นปัญหาใหญ่ต่อแผ่นดินอียิปต์
ฟาโรห์จึงมีบัญชาให้นำตัวเด็กทารกเพศชายชาวฮีบรูที่เกิดใหม่ ไปโยนทิ้งลงแม่น้ำไนล์เสียให้หมด เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้จำนวนประชากรเพิ่มสูงมากไปกว่านี้ สร้างความสูญเสียแก่ชาวฮีบรูเป็นอย่างมาก
กล่าวถึงหญิงชาวฮีบรู เผ่าเลวีคนหนึ่งนามว่าโจเชเบท(Jochebed) นางนั้นเป็นภรรยาและอยู่กินกับสามีนามว่าอัมรัน มีลูกสาวนามว่ามีเรียมและลูกชายนามว่าอาโรน อีกทั้งนางยังได้คลอดลูกชายคนหนึ่งออกมาและให้การเลี้ยงดูเขาอยู่นานถึง 3 เดือน แต่ช่างโชคร้ายที่เด็กคนนี้นั้นเกิดในช่วงที่ฟาโรห์มีความต้องการจะลดจำนวนชาวฮีบรูลง ดังนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่ง โจเชเบทจึงไม่อาจเก็บซ่อนเด็กคนนี้ไว้ได้อีก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจทนเห็นลูกของตนถูกฆ่าได้เช่นกัน จึงตัดสินใจเอาเด็กชายตัวน้อยใส่ไว้ในตระกร้า และซ่อนเอาไว้ในดงต้นกกริมแม่น้ำไนล์ ให้ชะตากรรมของเด็กคนนี้ ขึ้นอยู่กับความเมตตาของพระเจ้า โดยมีมีเรียมผู้เป็นลูกสาว คอยแอบเฝ้าดูอยู่ไกลๆว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับน้องชายของเธอหรือไม่
ช่างเป็นเวลาอันเหมาะเจาะพอดี ที่ในขณะนั้นราชธิดาของฟาโรห์แห่งอียิปต์ ได้เสด็จลงสรงน้ำที่แม่น้ำไนล์ จนได้พบกับตระกร้าใบหนึ่ง ที่ภายในมีเด็กทารกชาวฮีบรูกำลังร้องไห้ ด้วยความเอ็นดูพระนางจึงได้เอาเด็กคนนี้ขึ้นมาจากตระกร้า ฝ่ายมีเรียมพี่สาวเห็นเหตุการณ์จึงเข้าไปทูลถามพระราชธิดาว่า "จะให้หม่อมฉันไปหาแม่นมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้พระนางไหม" พระราชธิดาจึงตรัสว่า "ไปหาเถิด" มีเรียมจึงกลับไปตามโจเชเบทผู้เป็นแม่มา และเมื่อมาถึง พระราชธิดาได้ตรัสสั่งโจเชเบทว่า "รับเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้ให้เรา แล้วเราจะให้ค่าจ้าง" นางจึงได้รับทารกกลับไปเลี้ยงดู และเมื่อเด็กชายเติบโตขึ้น โจเชเบทก็ได้นำเขากลับมาถวายแก่พระราชธิดาของฟาโรห์ โดยพระนางก็ได้รับเด็กคนนี้ไว้เป็นพระราชบุตรของตน พร้อมประทานนามให้ว่า "โมเสส" ที่แปลว่า "ฉุดขึ้นมา" โดยตรัสว่า "เพราะเราได้ฉุดขึ้นมาจากน้ำ"
โมเสสเติบโตขึ้นมาในราชสำนักอียิปต์ ได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดีจนเเติบใหญ่ วันหนึ่งเขาได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนพี่น้องชาวฮิบรูของเขา จนได้เห็นภาพชีวิตและความยากลำบากต่างๆของชาวฮีบรูซึ่งเป็นคนสายเลือดเดียวกัน ไปจนกระทั่งเขาได้เห็นชาวอียิปต์คนหนึ่งกำลังทุบตีชาวฮีบรูอยู่ ด้วยความทนไม่ได้โมเสสจึงได้ลงมือสังหารชาวอียิปต์คนนั้น ซึ่งนี่เหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
การที่ชาวฮีบรูฆ่าชาวอียิปต์นั้น ถือได้ว่าเป็นความผิดมหันต์ เมื่อฟาโรห์ทรงทราบเรื่อง จึงมีความพยายามที่จะประหารชีวิตโมเสส แต่โมเสสนั้นไหวตัวได้ทัน จึงหลบหนีลี้ภัยไปยังดินแดนที่ชื่อมีเดียน และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นพักใหญ่ ๆ โดยระหว่างที่อยู่ที่มีเดียน โมเสสได้ทำอาชีพเป็นคนเลี้ยงแกะ มีภรรยาเป็นสตรีชาวคูชิชื่อว่า ซิปโปราห์ พร้อมกับลูกอีก 2 คนนามว่า เกอร์โชม และอีไลเซอร์
เวลาล่วงเลยไปนานหลายปี จนกระทั่งฟาโรห์พระองค์เก่าสวรรคต และฟาโรห์พระองค์ใหม่ผู้เป็นลูก ได้ขึ้นครองบัลลังก์แห่งอียิปต์แทน แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนผ่านสู่รัชสมัยใหม่แล้ว ชาวฮีบรูก็ยังคงต้องทุกข์ทรมาณจากการถูกกดขี่ลงเป็นทาส แรงงานชาวฮีบรูถูกบังคับให้ใช้แรงงานอย่างหนัก เพื่อสร้างวิหาร ปราสาทราชวัง และความรุ่งโรจน์ให้แก่อาณาจักรอียิปต์
1
ชาวฮีบรูต่างภาวนาขอความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า ให้ช่วยเหลือและปลดปล่อยพวกเขาจาก ความทรมาณในครั้งนี้ และดูเหมือนว่าพระเจ้าจะได้ยินคำขอเหล่านั้น พระองค์ได้ไปปรากฎตัวต่อหน้าโมเสสและแจ้งถึงภารกิจการพาผู้คนของพระองค์เดินทางกลับบ้าน ไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้านั้นตั้งใจจะมอบมันให้แก่ชาวฮีบรู พระองค์ได้ให้โมเสสกระทำ 3 อย่าง เพื่อเป็นการรับหน้าที่นี้ ได้แก่
1) ทรงให้โมเสสโยนไม้เท้าลงบนพื้น โดยไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู และเมื่อโมเสสจับหางงู งูนั้นก็กลายเป็นไม้เท้าดังเดิม
2) ทรงให้โมเสสสอดมือไว้ที่อก เมื่อชักมือออกมา มือนั้นก็กลายเป็นโรคเรื้อน และเมื่อสอดมือไว้ที่อกอีกครั้ง มือนั้นก็เป็นปกติ
3) ทรงให้โมเสสตักน้ำมา และเทลงบนพื้น น้ำนั้นก็กลายเป็นเลือดบนดินนั้น
เนื่องจากโมเสส เป็นคนที่ไม่มีความสามารถในด้านการพูดเท่าไหร่นัก เกรงว่าเมื่อมีการเจรจาพาทีอาจเกิดปัญหา จึงได้ขอพระผู้เป็นเจ้าว่า ขอให้พี่ชายของเขาคืออาโรน มาช่วยในการนี้ด้วย ซึ่งพระองค์ก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร
โมเสสได้บอกลาครอบครัว และเดินทางกลับแผ่นดินอียิปต์อีกครั้ง เขาได้เข้าเฝ้าฟาโรห์เพื่อเจรจาให้ฟาโรห์ปล่อยชาวฮีบรูให้เป็นอิสระ และให้พวกเขาได้เดินทางกลับบ้านเกิด แต่มีหรือที่ฟาโรห์จะทรงยอม การเจรจาในครั้งนั้นจึงล้มเหลว
เมื่อฟาโรห์แห่งอียิปต์ดื้อดึงไม่ยอมฟัง พระเจ้าจึงได้บันดาลให้เกิดภัยพิบัติ 10 ประการแก่แผ่นดินอียิปต์ เพื่อลงโทษและสั่งสอนชาวอียิปต์ทั้งหลาย โดยทุกครั้งหลังจากที่เกิดภัยพิบัติ 1 อย่าง โมเสสจะเข้าเฝ้าเพื่อขอให้ฟาโรห์ยอมปล่อยชาวฮีบรูไป ซึ่งทั้งภัยพิบัติทั้ง 10 ประการที่ประเจ้าส่งมานั้น ได้แก่
1) ภัยพิบัติจากโลหิต (Water turned to blood) แม่น้ำไนล์ที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดสำคัญของอาณาจักรอียิปต์กลายเป็นสีเลือด ปลาลอยขึ้นมาตาย น้ำไม่สามารถนำไปใช้ดื่มกิน และทำอะไรได้เลย
2) ภัยพิบัติจากกบ (Plague of frogs) หลังจากภัยแรกผ่านไปได้ 7 วัน ก็เกิดฝูงกบจากแม่น้ำไนล์ต่างพากันกระโดดขึ้นมาจนเต็มแผ่นดิน พวกมันเข้าไปในทุกที่ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนหรือแม้แต่พระราชวัง
3) ภัยพิบัติจากริ้น (Plague of lice or gnats) แมลงตัวเล็กๆที่เรียกว่าริ้นจำนวนมหาศาล ต่างพากันมารบกวนชาวอียิปต์ ก็ให้เกิดอาการแพ้และโรคผิวหนังต่างๆ
4) ภัยพิบัติจากเหลือบ (Plague of flies) ฝูงเหลือบซึ่งเป็นแมลงดูดเลือด ได้มากัดและดูดเลือดของชาวอียิปต์ จนก่อให้เกิดโรคระบาด
5) ภัยพิบัติที่เกิดกับฝูงสัตว์ (Plague of livestock) เกิดโรคระบาดร้ายแรงในสัตว์เลี้ยงของชาวอียิปต์ ม้า ลา แพะ แกะ วัว และสัตว์ต่างๆพากันล้มตายจนหมดสิ้น
6) ภัยพิบัติจากฝี (Plague of boils) เกิดโรคฝีระบาดขึ้นในหมู่ชาวอียิปต์ ทำให้เกิดความสูญเสียเป็นอย่างมาก
7) ภัยพิบัติจากลูกเห็บ (Plague of hail) ลูกเห็บไฟจำนวนมหาศาลได้ตกลงมาจากฟ้า สร้างความเสียหายแก่สิ่งต่างๆอย่างมาก รวมถึงพืชผลทางการเกษตรอีกด้วย
8) ภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตน (Plague of locust) ฝูงตั๊กแตนจำนวนมหาศาล ได้บินมากัดกินพืชผลของชายอียิปต์ที่ยังหลงเหลือจนหมดสิ้น
9) ภัยพิบัติจากความมืด (Plague of darkness) พระเจ้าได้บันดาลให้ท้องฟ้าเหนืออาณาจักรอียิปต์มืดมิดเป็นเวลา 3 วัน ไม่มีแสงสว่างทำให้ไม่สามารถออกไปประกอบการงานต่างๆได้
10) มรณกรรมของบุตรหัวปี (Plague of the firstborn) พระเจ้าได้ให้ชาวฮีบรูทาเลือดแกะเอาไว้ที่ประตูบ้านของตน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าบ้านหลังนั้นจะปลอดภัย และในที่สุด พระองค์ก็ได้ทำการพรากดวงวิญญาณลูกคนโตของชาวอียิปต์ทุกคนไป สร้างความทุกข์ระทมให้กับชายอียิปต์ทั้งอาณาจักร นั่นรวมไปถึงองค์ฟาโรห์ที่ต้องสูญเสียพระราชโอรสไปในเหตุการณ์นี้ด้วยเช่นกัน
2
หลังจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งหมด ในที่สุดองค์ฟาโรห์ก็จำยอมต้องปล่อยชาวฮีบรูไปอย่างเสียไม่ได้ สร้างความปิติยินดีแก่ชาวฮีบรูทั้งหลายมาก ที่จะได้เป็นอิสระหลังจากต้องตกเป็นเบี้ยล่างของชาวอียิปต์มานานกว่า 400 ปี และโมเสสก็ได้นำพาชาวฮีบรูเดินทางจากแผ่นดินอียิปต์
หลังจากที่ชาวฮีบรูได้เดินทางออกไป ทางด้านองค์ฟาโรห์ที่รู้สึกเจ็บปวดและโกรธแค้นชาวฮีบรูเป็นอย่างมาก ได้สั่งการระดมกองทัพไอยคุปต์ของพระองค์ ทั้งทหารม้า รถศึกเต็มอัตรา และยกพลออกจากเมือง หมายจะตามไปสังหารชาวฮีบรูที่กำลังเดินกลับบ้านเสียให้หมดสิ้น
การเดินทัพตามมาของฟาโรห์ ทำให้โมเสสต้องเร่งนำชาวฮีบรูอพยพแข่งกับเวลา ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจรอดพ้นคมหอกและคมดาบของชาวอียิปต์ไปได้ จนในที่สุดเขาก็นำชาวฮีบรูมาจนถึงชายฝั่งทะเลแดง ซึ่งอีกฝั่งคือดินแดนคานาอันบ้านเกิดของพวกเขา
อีกฝั่งคือบ้านเกิดที่จะต้องกลับไป แต่มีท้องทะเลกว้างใหญ่ขวางอยู่ อีกทั้งยังมีกองทัพขนาดใหญ่กำลังไล่ตามมา ถึงตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์ของโมเสสและชาวฮีบรูนั้นกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่พระเจ้าได้ให้โมเสสชูไม้เท้าขึ้น และทันใดนั้นเองท้องทะเลก็ได้แยกออกจากกันอย่างน่าอัศจรรย์ เกิดเป็นช่องทางเดินขนาดใหญ่ และทำให้ชาวฮีบรูสามารถเดินข้ามไปยังอีกฝั่งของทะเลได้สำเร็จ
ฝ่ายกองทัพอียิปต์ที่ไล่ตามมาจนทันนั้น ได้เห็นท้องทะเลที่แหวกออกพร้อมกับชาวฮีบรูที่ข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้แล้ว องค์ฟาโรห์ยังคงไม่ลดละความพยายาม พระองค์ได้สั่งการให้กองทัพของพระองค์บุกลงไปตามรอยแยกนั้น เพื่อมุ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งที่มีชาวฮีบรูอยู่ให้จงได้ แต่สุดท้ายแล้วโชคชะตาก็ไม่เข้าข้างฟาโรห์แห่งอียิปต์ เพราะเมื่อกองทัพของพระองค์เคลื่อนทัพมาได้ประมาณครึ่งทาง มวลน้ำมหาศาลที่ตอนแรกแยกออกจากกัน ก็ได้เคลื่อนตัวปิดเข้าหากันดังเดิม ทำลายกองทัพอียิปต์จนหมดสิ้น
การถูกทำลายลงของกองทัพอียิปต์ ทำให้ชาวฮีบรูนั้นรอดพ้นจากการถูกตามล่าได้สำเร็จ และเดินทางต่อ เพื่อกลับไปยังดินแดนคานาอัน ด้วยความมีชาวฮีบรูเดินทางติดตามโมเสสมาเป็นจำนวนมาก ก็คงหนีไม่พ้นการเกิดปัญหาต่างๆตามมา ทั้งการขาดแคลนน้ำ อาหาร การทะเลาะวิวาทต่างๆในหมู่ชาวฮีบรู และอื่นๆ ซึ่งโมเสสก็ได้แก้ไขปัญหาต่างๆอย่างมีภาวะผู้นำ
วันหนึ่ง ณ บริเวณยอดเขาซีนาย โมเสสได้ปลีกตัวขึ้นไปอยู่บนยอดเขาแต่เพียงผู้เดียวนานถึง
40 วัน 40 คืน ช่วงเวลานี้เองที่พระเจ้า ได้เสด็จมาหาโมเสสและมอบสิ่งที่เรียกว่าบัญญัติ 10 ประการ อันเปรียบเสมือนกฎและหลักธรรมในการดำเนินชีวิตให้แก่โมเสสและชาวฮีบรู โดยแกะสลักเอาไว้บนแผ่นหินสองแผ่น ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 10 ข้อ อันได้แก่
1) จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าพระองค์เดียวของท่าน
2) อย่าออกพระนามพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ
3) อย่าลืมฉลองวันพระเจ้าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์
4) จงนับถือบิดามารดา
5) อย่าฆ่าคน
6) อย่าผิดประเวณี
7) อย่าลักขโมย
8) อย่าพูดเท็จใส่ร้ายผู้อื่น
9) อย่าปลงใจผิดประเวณี
10) อย่ามักได้ทรัพย์สินของผู้อื่น
ซึ่งบัญญัติทั้ง 10 ข้อนี้ก็ได้กลายเป็นกฎและหลักคำสอนที่สำคัญในศาสนาคริสต์และยูดาห์ในเวลาต่อมา
2
เรื่องราวดูเหมือนจะจบลงอย่างมีความสุข แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ ชาวฮีบรูยังคงต้องเดินทาง
อีกไกลแสนไกล และต้องระหกระเหินเร่ร่อนอยู่ในทะเลทรายอีกเป็นเวลากว่า 40 ปี อีกทั้งยังมีชาวฮีบรูบางส่วน ที่ไม่สามารถเข้าไปในดินแดนคานาอันได้ เนื่องจากในช่วงหนึ่งของการเดินทางได้กระทำตนไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า ใครจะคิดว่าในจำนวนนั้นจะมีโมเสสและอาโรนพี่ชายรวมอยู่ด้วยเช่นกัน
โมเสสได้เป็นผู้นำชาวฮีบรูตลอดระยะเวลาการเดินทางที่ยาวนาน จวบจนวาระสุดท้าย
ของเขา เขาเสียชีวิตไปเมื่ออายุได้ 120 ปี ศพของเขาถูกฝังเอาไว้ในดินแดนก่อนถึงคานาอัน เนื่องด้วยไม่สามารถให้เข้าไปในดินแดนแห่งพันธสัญญานี้ได้ แต่ในที่สุดแล้วชาวฮีบรูที่เหลือก็เดินทางเข้าสู่คานาอันได้สำเร็จ และลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่นสืบต่อไป
จบไปแล้วนะครับ สำหรับเรื่องราวของโมเสส เรื่องราวของเขามีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน ชื่อเรื่องว่า Exodus: Gods And Kings (2014) ถ้าใครสนใจสามารถไปหาดูกันได้เช่นกันครับบ(ภาพยนตร์อาจมีการดัดแปลงเนื้อหาและรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ต่างๆเพื่อความบันเทิง)
โฆษณา