Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Itsmesarn
•
ติดตาม
30 พ.ค. 2021 เวลา 11:33 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Ghost Lab (2021) : เพราะปัญหาส่วนใหญ่ของไอเดียที่ดีมาก ๆ มักจะมาในรูปแบบของ Execution ที่หาทางลงให้ตัวเองในช่วงท้ายไม่ได้ (และเรื่องนี้ก็เช่นกัน)
ตอน GDH โปรโมทไอเดียหนังเรื่องนี้ เราค่อนข้างคาดหวังมาก เพราะอนึ่งเราเป็นคนที่ไม่กลัว และไม่เชื่อเรื่องผีเลย แม้ส่วนตัวจะเคยโดนปรากฏการณ์ Poltergeist กับตัวเองแบบเต็ม ๆ แต่เราก็พยายามหาเหตุผลซัพพอร์ต เพื่อที่จะไม่เชื่ออยู่ดี และเมื่อมันจะมีหนังไทย ในแนวทดลองพิสูจน์ผี ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์มา มันจึงค่อนข้างที่จะว้าว และน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง
Ghost Lab (2021)
ช่วงครึ่งแรกของเรื่องคือการหยิบไอเดียที่มีเกี่ยวกับการอยากพิสูจน์ผีมาใช้ได้อย่างคุ้มค่า และน่าสนใจมาก บวกกับการใช้รูปแบบของการตั้งสมมติฐานต่าง ๆ ที่อาจจะไม่ได้สมจริงขนาดนั้น แต่ก็สมจริงพอที่จะทำให้เราคล้อยตาม และอยากติดตามไปกับแนวความคิดของทั้ง 2 ตัวละครเอกได้ ซึ่งแน่นอนว่าพวกพาร์ทอื่น เช่นพาร์ทปูมหลังตัวละคร พาร์ทดราม่า และความสมเหตุสมผลในความคิดของตัวละคร มันค่อนข้างทำได้ดีมากเช่นกัน มันจึงทำให้ในส่วนของครึ่งแรกของหนัง มันว้าวมาก ๆ และรู้สึกได้ถึงความสดใหม่ รวมไปถึงความน่าสนใจที่แบบทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกนาทีที่เรื่องดำเนินไป และในทุกครั้งที่เหล่าตัวเอกสามารถคิดสมมติฐานอะไรใหม่ขึ้นมาได้
มีไอเดียการตั้งสมมติฐานที่น่าสนใจ
แต่เมื่อผ่านครึ่งแรกของหนังไป จนหนังเข้าสู่ Mid Point และดำเนินเรื่องไปต่อจากจุดนั้น มันกลับตาลปัตรไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเอาจริงเราก็มองว่ามันยังอยู่ในสิ่งเดิมแหละในเรื่องการทดลอง และการหาข้อพิสูจน์ แต่ประเด็นหลักนั้นมันดันหลุดไป แล้ว Sub-Plot มันก็ดันไปเล่นกับพาร์ทรองที่ปูมาไม่ได้หนักเหมือนพาร์ทแรก มันดูเป็นการไปโฟกัสกับเรื่องที่ค่อนข้างจะส่วนตัวของตัวละครมากจนเกินไป จนเรามองว่ามันเริ่มไม่สร้างสรรค์ และสิ่งที่ทำมาได้ดีมันเริ่มถูกลดทอนลงไปแทน ทำให้ช่วงสุดท้าย มันดูเหมือนกับว่าจริง ๆ แล้วเขาหาทางลงให้กับเรื่องราวในช่วงแรกที่ปูมาไม่ได้ เลยต้องทำออกมาในทางนี้ ซึ่งหากเป็นแบบนี้จริงในเรื่องของปัญหาการหาทางลงให้กับเรื่อง เราก็เข้าใจได้ เพราะเรื่องราวแบบนี้ มันค่อนข้างใหม่ และยังไม่มีการพิสูจน์ได้จริง แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าจะให้มันออกมาเป็นทางนี้ โดยส่วนตัว เรามองว่ามันก็คือการ Play Safe ตามสไตล์หนัง GDH ที่ชอบทำตลอดมาในหนังเรื่องหลัง ๆ นั่นแหละ ซึ่งเอาจริงถ้าเป็นความตั้งใจ เราก็มองว่ามันค่อนข้างน่าผิดหวัง เหมือนกับหนัง GDH อีกหลาย ๆ เรื่องที่เพิ่งผ่านมา
การหาทางลงให้กับเรื่องที่ไม่รู้ว่าหาไม่เจอ หรือ Play Safe ไปเอง
แต่การ Play Safe ก็ไม่ใช่ว่าแย่เสมอไป... โอเค เราอาจจะไม่ได้ชอบพาร์ทที่เขา Play Safe ในช่วงท้าย (ซึ่งอาจเพราะตั้งใจ หรือหาทางลงไม่ได้จริง ๆ) แต่ก็ต้องยอมรับว่าในพาร์ทนั้น เขาทำออกมาได้ดี มีความลุ้นระทึก และน่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะการจับพาร์ทของความถลำลึกของตัวละคร และปมดราม่าต่าง ๆ ที่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับการแสดงของนักแสดงด้วยแหละ ที่ทำออกมาได้น่าสนใจ และมีความเชื่อถือได้อยู่ (อาจจะมีแอบหักคะแนนบ้างนิดหน่อยในการแสดงแบบเล่นใหญ่เกินเบอร์ แต่จริง ๆ ก็ไม่ได้ติดอะไร 5555) แต่พอพูดมาแบบนี้มันก็อดเสียดายไม่ได้จริง ๆ กับช่วงแรกของหนังที่ปูมาเป็นอีกแบบ แต่ดันมีบทสรุป หรือทางลงของเรื่องเป็นอีกแบบที่ดูแล้วมันขาดความต่อเนื่องทางไอเดียไปโดยปริยาย
อีกหนึ่งข้อดี คือฝีการแสดงของทั้ง 2 ที่เข้าขั้นน่าเชื่อถือ แม้จะดูใหญ่เกินเบอร์ไปบ้าง
พอพูดว่าเป็นหนังผี หลายคนอาจจะคาดหวังในเรื่องของความน่ากลัว ว่ามันจะต้องน่ากลัว หรือสยอง ซึ่งส่วนตัวตั้งแต่การโปรโมทแล้ว เราไม่อยากให้มองว่ามันเป็นหนังผีนะ ความสนุกของมันไม่ใชการที่หนังเป็นหนังสยองขวัญ แต่ความสนุกมันคือการติดตามเรื่องราว และความน่าสนใจของทฤษฎีต่าง ๆ ซึ่งหากใครที่คาดหวังเรื่องของความน่ากลัว เราอยากให้ลองปรับความคิดดูก่อน เพราะหนังไม่ได้มาเวย์นี้อยู่แล้ว แต่จริง ๆ มันก็พอมีฉากสยองขวัญให้เราบ้างพอหอมปากหอมคอ แต่สำหรับใครที่เป็นคอหนังผี หรือดูหนังผีบ่อยแบบเรา ก็อาจจะพอเดาจังหวะในฉากสยองขวัญต่าง ๆ ได้อยู่ดี (แต่ก็นั่นแหละ มันไม่ได้จะเป็นหนังผีขนาดนั้นแต่แรกอยู่แล้ว)
ใครคาดหวังว่าจะเป็นหนังแนวน่ากลัว บอกเลยว่าคุณตีโจทย์ผิดเองตั้งแต่แรก
โดยรวมภาพยนตร์เรื่องใหม่ของ GDH อย่าง Ghost Lab เรื่องนี้ อาจจะมีไอเดียที่น่าสนใจในการนำเสนอแบบใหม่ ๆ รวมถึงมีการเปิดเรื่อง และการดำเนินเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ แต่สุดท้ายเราแอบเสียดายที่เขาเลือกทางที่จะดำเนินเรื่องไปถึง Mid Point และบทสรุปที่เกิดขึ้นกับตัวหนังให้เป็นแบบนี้ เพราะเรามองว่าไอเดียมันค่อนข้างแหวกมาสุดขนาดนี้แล้ว มันก็น่าจะเหยียบคันเร่งไปให้สุดในสิ่งที่ได้นำมาใช้ตั้งแต่แรก และปล่อยให้มันเป็นที่พูดถึงไปเลย ไม่แน่มันอาจจะดี หรือแย่กว่านี้ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นความกล้าในการออกจากโซนเดิม ๆ ที่ตัวเองชอบทำอยู่เป็นประจำเสียมากกว่า
ภาพยนตร์ที่ช่วงครึ่งเรื่องแรก และหลังต่างให้ความรู้สึกที่ประทับใจ สวนทางกันอย่างชัดเจน
ปล. ด้านล่างหลังจากนี้อาจจะเป็นเวย์ในการแก้ปัญหาทางลงที่เราคิดขึ้นได้หลังดูจบว่าอยากจะให้มันไปแบบไหนซึ่งอาจจะไม่ถึงขั้นสปอย แต่ไม่แน่ว่าถ้าอ่านตามไปอาจจะพอเดาเนื้อหาเรื่องราวได้นิดหน่อย ใครจะข้ามก็สามารถจบการอ่านไว้ที่ตรงนี้ได้เลยเน้อ
*********
โอเคสำหรับทางที่เราคิดไว้ว่ามันควรจะไปสุดไม่ Play Safe ควรจะเป็นยังไง บอกตรง ๆ เราคงไม่รู้เหมือนกัน แต่ด้วยความที่เราเล่นกับสิ่งที่เราไม่รู้นี่แหละ มันจึงเป็นช่องว่างของจินตนาการที่มันจะไปได้สุดกว่านี้มาก ซึ่งถ้าเราจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เราขอยกง่าย ๆ เลยอย่างเรื่อง Interstellar ที่โอเค เรื่องนี้เล่นอยู่บนสมมติฐานที่น่าสนใจ และยังไม่มีการค้นพบแบบ 100% เหมือนกัน แต่สิ่งที่ Christopher Nolan ทำมันไม่ใช่การ Play Safe เขารู้ตัวว่ามีหลายอย่างที่โลกยังไม่รู้ หรือค้นพบ แล้วเขาก็เอาช่องว่างตรงนั้น มาใส่จินตนาการของตัวเองเข้าไปให้มันเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์ ต่อเนื่อง และต้องร้องว้าวจนถึงที่สุด... นี่แหละคือตัวอย่างของการที่มีไอเดียที่ดีมาก และนำมาพัฒนาต่อได้แบบน่าสนใจ พร้อมกับการหา Execution ให้กับทางลงของเรื่องราวได้แบบยอดเยี่ยม และไม่ Play Safe ซึ่งพอมามอง Ghost Lab เอาจริงมันมีอะไรที่เล่นในรูปแบบนั้นได้ และสามารถต่อยอดไปได้ในแบบนั้นเลย (จริง ๆ ต่อยอดไปได้ยิ่งกว่านั้นอีก) แต่ก็นั่นแหละ พอมันไม่ยอมไปถึงขั้นนั้น มันเลยทำให้เหมือนกับไอเดียที่ใส่มา มันเล่นไปได้ไม่สุดเท่าที่ควร
หนังมันจะไปสุดได้ ถ้าใส่จินตนาการไปในส่วนที่ไม่รู้ให้สุดกว่านี้
กลับมาตอบคำถามของเรา โอเคถ้าปรับใหม่ได้ เราจะตัดครึ่งหลังของหนังออกไปเลย ให้มันจบอยู่ที่ครึ่งแรก (หรือ Mid Point เดิมของหนังนี่แหละ) หรืออาจจะให้ฉากสำคัญในช่วงครึ่งแรกนั้นเป็น Climax ไปเลย ก่อนที่จะสรุปเรื่องราวทั้งหมด โดยเราจะเน้นโฟกัสไปที่ครึ่งเรื่องแรก และขยายเรื่องของสมมติฐานให้กับเรื่องราวเพิ่มเติมมากขึ้น ปรับ Mid Point ของเรื่องใหม่ และแน่นอนว่าหลังจาก Mid Point ใหม่ที่ถูกปรับนั้น เราจะให้มันดำเนินต่อไปโดยเล่นกับจินตนาการที่เราอยากจะใส่เพิ่มเติมเข้าไปอีก แบบเดียวกับใน Interstellar ที่เล่นกับเรื่องของความไม่รู้มาผนวกเข้ากับจินตนาการ ก่อนที่จะให้มันมาพบกับจุด Climax เป็นบทสรุปแบบในจุด Mid Point เดิมของหนังที่ได้บอกเล่าไป แล้วค่อยทำการจบเรื่องราวทั้งหมดไว้แค่นั้น ซึ่งนี่เป็น Way คร่าว ๆ ที่เราคิดว่าสามารถทำให้มันน่าสนใจ และไม่ติดการ Play Safe หรือติดในเรื่องการหาทางลงให้กับเรื่องที่ปูมาไม่ได้แบบนี้
ปล 2. สำหรับใครที่งงว่า Mid Point คืออะไร Climax คืออะไร เราขอลองแนบลิงค์นี้ไว้ให้ไปอ่านเพิ่มเติมเน้อ จากนั้นลองไปดูหนัง แล้วจะเข้าใจทันทีว่าจุด Mid Point ของเรื่องที่เราหมายถึง มันคือจุดไหน (เดี๋ยวลองแปะรูปเพิ่มเติมไว้ให้ด้วยล่ะกัน)
Link:
https://www.studiobinder.com/blog/three-act-structure/
กฎของ Three-Act Structure แบบเข้าใจง่าย ๆ เผื่อใครงงกับศัพท์ที่เราใช้นะ
#imsarnreview #Ghostlab
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย