ปรัชญาการปกครองของพระองค์นั้นได้ต้นแบบมาจากพระบิดาของพระองค์เอง ที่ครั้งหนึ่งเคยเปรียบเปรยว่า ตำแหน่งพระมหากษัตริย์เป็นดั่ง 'เทพองค์น้อยในโลกใบนี้' (Little gods on earth)
กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ทรงไม่อยู่ภายใต้อำนาจใดทั้งสิ้นภายในโลก เนื่องจากได้รับพระราชอำนาจโดยตรงจากพระเจ้าตามหลักเทวสิทธิราชย์ (Divine Right of Kings) อันซึ่งเป็นหลักการความเชื่อตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy)
พระองค์ได้จัดตั้งศาลขึ้นมา 2 ศาล ได้แก่ Court of High Commission และ Court of Star Chamber (หรือที่รู้จักในนาม ศาลโถงดาว) เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำจัดผู้เห็นต่าง
เซอร์ โทมัส แฟร์แฟ็กส์ ผู้นำสูงสุดของกลุ่ม New Model Army คือหนึ่งในคนที่ไม่เห็นด้วย หลังจากเหตุการณ์นั้นเขาได้ถอนตัวจากกลุ่มไปเลยเพราะไม่สามารถยอมรับได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นการเปิดทางให้ โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ขึ้นมาเป็นผู้นำกลุ่มแทน
พวกอังกฤษเองก็รับรู้ถึงภัยคุกคามของพระองค์ที่ได้ร่วมมือกับสกอตแลนด์ จึงได้ส่ง New Model Army นำโดย โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ มาต่อกร
ถึงแม้พระเจ้าชาลส์ที่ 2 จะรวมรวมกองกำลังทหารได้จำนวนหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้า New Model Army ที่เป็นดั่ง'พญามัจจุราชในสนามรบ'แล้วย่อมไร้ความหมาย กองกำลังของพระองค์จึงได้โดนตีแตกยับและพ่ายแพ้ไปในที่สุด
ลูกชายของครอมเวลล์ 'ริชาร์ด' เข้ามาสืบทอดตำแหน่งต่อจากผู้เป็นพ่อที่ได้เสียชีวิตไป แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานก็โดน New Model Army สั่งปลดหัวทิ่มกลางอากาศ เนื่องจากไม่สามารถบริหารอาณาจักรได้ดีพอ (ผนงรจตกม นั่นเอง)
รัฐสภารัมพ์ได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถึงกระนั้น ได้เกิดความร้าวฉานขึ้นระหว่าง New Model Army และรัฐสภารัมพ์เอง รัฐสภารัมพ์จึงได้ถูกสั่งยุบไปอีกรอบ (เวรกำอีกแล้วววว)
หนึ่งในผู้นำคนสำคัญของ New Model Army ได้จัดตั้งรัฐสภาขึ้นมาใหม่โดยวิธีการเลือกตั้ง
โดยก่อนที่จะกล่าวเปิดงาน จะมิพิธีที่เรียกกันว่า Black Rod เป็นการปิดประตูใส่หน้าผู้แทนกษัตริย์ ผู้แทนกษัตริย์เองก็จะต้องใช้คทาประจำตัวเคาะประตูเพื่อร้องขอให้เจ้าหน้าที่รัฐสภาเปิดประตูให้ "เปิดให้ข่อยแหน่!"