2 มิ.ย. 2021 เวลา 02:54 • การตลาด
การอัปโหลดคลิปขึ้นบน YouTube แล้วนั้น จะเช็คว่าคลิปคุณภาพหรือไม่ เราจะใช้แค่อารมณ์ และความรู้สึกในการตัดสินใจว่าวีดิโอตัวนั้นว่าดี หรือไม่ดี ไม่ได้นะคะ!
จำเป็นต้องรู้ค่าความสำเร็จมาตราฐานที่วัดได้จากคุณภาพวิดีโอ อย่างค่า CTR ด้วยค่ะ วันนี้แอดมินจึงจะพามาทำความรู้จักและเรียนรู้ค่านี้ไปพร้อมๆ กันค่ะ เพราะอีกหนึ่งวิธีที่จะวัดคุณภาพของวิดีโอคอนเทนต์ว่าประสบผลสำเร็จหรือไม่
ครีเอเตอร์ทุกคน ต้องเคยเจอกับปัญหายอดวิวน้อย ทำยังไงยอดวิวก็ไม่ขึ้นเลย ซึ่งในเบื้องต้นเราสามารถตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้จากค่า CTR ตัวนี้แหละค่ะ
ค่า CTR หรือ Click Through Rate หมายถึง “อัตราการคลิกผ่าน” ซึ่งเป็นการวัดจำนวนครั้งที่ผู้ชมคลิกดูวิดีโอ หลังจากเห็นการแสดงผลบนหน้า YouTube มันบ่งบอกว่าผู้เข้าชมวิดีโอมีจำนวนการคลิกบ่อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับจำนวนที่มีคนเห็นวิดีโอนั้นบนหน้า YouTube
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ถ้ามี 1000 คน ที่เห็นวิดีโอของเราบนหน้า YouTube แล้วมีคลิกเกิดขึ้นกี่เปอร์เซ็นจากการคลิกครั้งนั้นค่ะ
โดยปกติแล้ว อัตราการคลิกผ่าน หรือ CTR ของการแสดงผลครึ่งหนึ่งของทุกช่อง และวิดีโอบน YouTube จะอยู่ในช่วง 2%-10% ถ้าหากค่า CTR ของช่องใกล้ 10% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดีค่ะ หรือบางช่อง, บางวิดีโออาจจะมากกว่า 10% ขึ้นไปก็ได้ค่ะ
แต่ไม่ได้มีเพียงค่า CTR ที่จะบ่งบอกว่าช่องประสบความสำเร็จนะคะ มันยังมีปัจจัยอย่างอื่นอีกเยอะเลยค่ะ เพราะหากตัวเลข CTR สูง แต่ Audience Retention ต่ำ แสดงว่าเนื้อหาของวิดีโอ ไม่ได้น่าสนใจเพียงพอให้ผู้ชมดูจนจบ ก็อาจจะส่งผลให้การแสดงของอันดับการค้นหาต่ำลงไปได้ค่ะ
และบางช่องอาจจะมีเนื้อหาหลากหลาย เช่น มีวีดิโอท่องเที่ยวกับวีดิโอรีวิวสกินแคร์ อยู่บนช่องเดียวกัน แบบนี้เราก็ควรพิจารณา CTR ของเนื้อหาแต่ละรูปแบบแยกออกไปอีกค่ะ
วิธีคิด CTR ของ YouTube มีวิธีการคิดง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
CTR = ( Numbers of Click / Impression ) x 100
เช่น YouTube แสดงผลวีดิโอออกไปให้คนเห็น 1,000 คน (1,000 Impressions) มีคนที่เห็น และคลิกเพื่อดู 70 ครั้ง (20 Numbers of Click) จากนั้น YouTube จะนำข้อมูลดังกล่าวมาคำนวนได้ดังนี้
( 70 / 1,000 ) x 100 = 7 เพราะฉะนั้น ค่า CTR ที่ได้ก็คือ 7% นั่นเองค่ะ
หากรู้ค่า CTR แล้ว แต่ค่า CTR ต่ำเกินไปจนไม่เป็นที่น่าพอใจ เราจะทำยังไงให้ค่า CTR เพิ่มขึ้นได้บ้าง แอดมินมี 3 วิธีเบื้องต้นที่สามารถทำได้ทันที มาฝากกันค่ะ
1. ตั้งชื่อคลิปวิดีโอให้ตรงตามเนื้อหาของวิดีโอ และมี Keyword ที่ครอบคลุม อ่านแล้วน่ากดเข้ามาดู
2. ทำปกคลิปวิดีโอ (Thumbnail) ให้ดึงดูดและน่าสนใจ ซึ่ง Thumbnail เป็นส่วนที่สำคัญมากๆ เพราะจะเป็นด่านแรกที่ช่วยทำให้ผู้ชมเกิดการตัดสินใจกดเข้ามาดูคลิปวิดีโอของคุณ
3. Description หรือคำอธิบายใต้คลิป ควรใส่รายละเอียดให้ครบถ้วนชัดเจนที่สุด และควรใส่ Keyword แต่ละคำเพียงแค่ครั้งเดียว แต่สอดคล้องกับเนื้อหาในวิดีโอในคำอธิบายนั้น และคำอธิบายควรมีอย่างน้อย 200 คำ ค่ะ
ทีนี้รู้แล้วใช่มั้ยคะ ว่าค่า CTR มีความสำคัญยังไงต่อการทำช่อง YouTube ยังไง รู้แบบนี้แล้วครีเอเตอร์สามารถไปดูวีดิโอที่เราทำอยู่ตอนนี้ว่ามีค่า CTR เท่าไหร่ เพื่อนำไปสู่การปรับภาพ Thumbnail (ภาพปกวีดิโอ) Title (ชื่อของวีดิโอ) และ Description (คำอธิบาย) ให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นได้ค่ะ หรือหากมีวิดีโอไหนที่มีค่า CTR สูงๆ เราอาจจะวิเคราะห์ และเรียนรู้จากวิดีโอนั้นๆ เพื่อนำมาปรับใช้ในการทำคอนเทนต์ของเราต่อไปได้เลยค่ะ
โฆษณา