7 มิ.ย. 2021 เวลา 03:35 • ปรัชญา
มองโลก
” มองโลกในแง่ดีมีแต่ได้ มองโลกในแง่ร้ายมีแต่เสีย”
เคยได้ยินคำพูดที่ว่า “คนเราจะสุขหรือจะทุกข์ ขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา” คำพูดนี้ เห็นจะเป็นจริงอย่างว่า เพราะมุมมองในการมองโลกของคนเราที่มีความแตกต่างกัน จึงทำให้คนเราแต่ละคนรับรู้ได้ถึงอารมณ์ความรู้สึก “สุข” หรือ “ทุกข์” ได้ไม่เหมือนกัน และไม่เท่ากัน
เครดิตภาพจาก : https://baanstyle.com/2014/05/
“การมองโลก” ก็คือการเอาใจของเราเข้าไปสัมผัส และรับรู้ถึง “บุคคล” และ “สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา” รวมไปถึง “สถานการณ์” หรือ “สภาวการณ์ต่างๆ” อีกด้วย ด้วยการเข้าไปรับเอาอารมณ์เหล่านั้น ฉายสะท้อนเข้ามาที่จิตใจของเรา แล้วให้จิตใจของเราเข้าไปรับรู้ สัมผัส และมีส่วนร่วมกับสิ่งเหล่านั้น ส่งผลกระทบกับจิตใจหรือทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนกับจิตใจของเราในทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกว่า “สุข” รู้สึกว่า “ทุกข์” หรือ รู้สึว่า “เฉยๆ” ก็ตาม
ทั้งนี้ “การมองโลก” สามารแยกประเภทออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1) การมองโลกในแง่บวก หรือการมองโลกในแง่ดี 2) การมองโลกในแง่ลบ หรือ การมองโลกในแง่ร้าย นั่นเอง ซึ่งจะขอนำเสนอความหมายและรายระเอียดการมองโลกทั้ง 2 ประเภทนั้น ดังนี้
เครดิตภาพจาก : https://www.sirispace.com/News/299
1. การมองโลกในแง่ดี หรือใครจะเรียกว่าเป็นการมองโลกในแง่บวกก็ตามแต่จะเรียก เพราะมีความหมายและนัยอย่างเดียวกัน การมองโลกในแง่ดี อาจจะแบ่งประเภทออกไปได้เป็นอีก 2 ประเภทย่อย ได้แก่
1.1 การมองโลกตามที่เป็นจริง เป็นการมองโลกในแง่บวกอย่างที่เป็นสัจธรรมหรือปรมัตถธรรม คือ เห็น และรับรู้ได้ถึงบุคคล สิ่งของ สถานการณ์ และสภาวการณ์ต่างๆ ตามที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามความเป็นจริง มองเห็นและทำความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถึงสัจธรรมความเป็นจริง และมองให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ให้เห็นสักแต่ว่าเห็น รับรู้สึกแต่ว่ารับรู้ รู้สึกสักแต่ว่ารู้สึก ไม่ได้ไปปรุงแต่งเพิ่มเติม หรือเอาใจไปบังคับบัญชาอยากให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ อยากให้อะไรๆ เป็นไปอย่างที่เราต้องการให้เป็นไป ซึ่งพอไม่ได้ตามอย่างที่เราต้องการก็เกิดทุกข์
ดังนั้นต้องมองเห็น รับรู้ และสัมผัส อย่างผู้ชม ไม่ใช่ตัวผู้เข้าไปแสดงเอง มองเห็นและเรียนรู้ทำความเข้าใจอย่างเข้าใจถึงสภาวะความเป็นอย่างนั้น ความเป็นธรรมดาอย่างนั้น โดยไม่ต้องเอาจิตไปปรุงแต่งอยากให้เป็นหรือไม่อยากให้เป็นอย่างที่เราต้องการ การมองอย่างนี้ เรียกว่าการมองโลกในแง่ดี หรือมองโลกในแง่บวกในความหมายแรก
เครดิตภาพจาก : http://dhamma-media.blogspot.com/2017/06/blog-post_97.html
1.2 การมองโลกในแง่ดีแบบบิดเบือน หรือเบี่ยงเบประเด็นในการมอง หมายถึง การมองโลกด้วยการปรุงแต่ง คือเอาใจของเราไปปรุงแต่ง แต่เป็นการปรุงแต่งในแง่บวก คือมองสิ่งที่เลวร้าย หรือสถานการณ์ที่เลวร้ายให้เห็นโอกาส หรือเห็นถึงแง่มุมที่ดีที่แอบซ่อนอยู่ คือไม่ได้มองอะไรเลวร้ายไปเสียทั้งหมด พยายามมองโลกแบบปลอบใจตัวเองว่า “ในร้ายก็มีดี” หรือ “ควรเลือกเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เท่านั้น
"การมองโลกว่า “ไม่มีใครจะดีไปหมดทั้ง 100% คนเราล้วนแล้วแต่มีดีมีชั่วปะปนกันไป” หรือมองว่า “โชคดียังดีนะที่คนปลอดภัย” อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งการมองโลกในแง่ดีหรือแง่บวกในความหมายที่ 2 นี้ เป็นการมองโลกซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริงในแบบฉบับที่มันควรจะเป็น ไม่ได้มองว่ามันเป็นธรรมดาอย่างนั้น
การมองโลกที่ไม่ได้มองให้เข้าใจลึกซึ้งถึงความเป็นจริงอย่างทะลุปรุโปร่งไปถึงแก่นแห่งสัจธรรมหรือปรมัตถธรรมเสียทีเดียวเหมือนในข้อ 1.1 แต่เป็นการปรุงแต่งแม้เหตุการณ์ที่เลวร้าย หรือสิ่งที่เลวร้าย บิดเบือน หรือนำเสนอเพื่อปลอบประโลมใจตนเองหรือคนรอบข้างว่า “ในเรื่องที่แย่ๆ ก็ยังมีสิ่งที่ดีๆ อยู่เหมือนกันนะ” แล้วชักชวนให้มองข้ามสิ่งไม่ได้นั้นไป เชิญชวนให้เลือกมองแต่ในแง่ที่ดีๆ แทน อย่างนี้ก็เรียกว่าการมองโลกในแง่ดีหรือมองโลกในแง่บวก ในความหมายที่ 2 นี้
เครดิตภาพจาก : https://board.postjung.com/1072797
2. มองโลกในแง่ร้าย หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การมองโลกในแง่ลบ” ก็ได้ ซึ่งการมองโลกในแง่ร้ายหรือมองโลกในแง่ลบนี้ ก็สามารถแยกประเภทออกได้อีก เป็น 2 ประเภทย่อยๆ อันได้แก่
เครดิตภาพจาก : https://sabuydee.net/22-photography-633254/
2.1 มองโลกแบบไม่ตรงตรามความเป็นจริงของโลก คือไม่สามารถยอมรับความเป็นจริงของโลกและชีวิตได้ พยายามต่อต้าน ดิ้นรน เรียกร้องให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ ซี่งขัดแย้งกับความเป็นจริงของกฎธรรมชาติ
เครดิตภาพจาก : https://zubzib.com/view/143199
2.2 มองโลกในแง่ร้ายหรือในแง่ลบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เช่นมองว่าชีวิตของเรามีแต่ความทุกข์ มีแต่ความย่ำแย่ มีแต่ความเสื่อมถอย มีแต่ความอาภัพ ไร้โชคลาภวาสนาบารมี ชีวิตนี้มีแต่ความผิดหวัง ชีวิตคงจะไม่มีทางดีขึ้นกว่านี้ได้ ชีวิตของเราคงจะไม่สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้อีกแล้ว สังคมโหดร้าย สังคมเห็นแก่คัว มีแต่คนจ้องทำร้ายทำลายเรา ไม่มีใครจะปรารถนาดีกับเราอย่างจริงใจ ชีวิตนี้ไม่สามารถจะเชื่อใจหรือไว้วางใจใครได้สักคน โชคชะตาไม่เคยเข้าข้างเรา เป็นต้น
การมองโลกเช่นนี้ คือ มองทุกสิ่งทุกอย่าง มองทุกคน มองโลก มองฟ้า มองฝน มองโชค มองวาสนาในมุมมองที่แย่ ในมุมมองที่โหดร้ายไปเสียทั้งหมด ประเภทที่เรียกว่า เป็นศูนย์รวมของการมองโลกในแง่ร้ายอย่างแท้จริง คนที่มีแนวความคิดหรือมุมมองการมืองโลกและชีวิตอย่างนี้ เรียกว่าเป็นมุมมองการมองโลกที่อันตรายที่สุด และอาจส่งผลให้เขาสามารถทำร้ายตนเองและคนรอบข้าง รวมถึงสามารถก่อการร้ายทำลายสังคมในวงกว้างได้อีกด้วย อันนี้จะน่ากลัวมากๆ เลยครับ
เครดิตภาพจาก : https://www.paosociety.com/article-detail/11/TH
มองโลกในแง่ดีมีแต่ได้
ซึ่งการมองโลกในแง่ดี ไม่ว่าจะเป็นการมองโลกให้ตรงตามความเป็นจริงตามสัจธรรมหรือปรมัตถธรรมที่ปรากฏก็ตาม หรือจะเป็นการมองโลกในแง่ดีแบบบิดเบือนประเด็นความหมาย หรือเบี่ยงเบนความสนใจไปในแง่มุมที่ดีกว่า ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการมองโลกในแง่ดี ซี่งการมองโลกในแง่ดีนี้ ย่อมส่งผลดีกับบุคคลผู้มีมุมมองดังกล่าว เพราะสามารถที่จะเข้าใจโลกและชีวิตตามความเป็นจริง เมื่อเข้าใจโลกและชีวิตตามความเป็นอย่างอย่างที่มันเป็น จิตใจก็ปล่อยวาง ไม่ยึดติด ไม่ไปควบคุม กำกับ บังคับบัญชาอยากให้เป็นอย่างที่ใจเราต้องการ
ในความเป็นจริงแล้ว คนเราก็ไม่อาจจะฝืนกฎธรรมชาติได้ สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริง หรือยอมจำนนต่อความเป็นจริงอยู่ดี คนที่ยอมรับความจริงไม่ได้ หรือไม่ยอมจำนนต่อความจริง จิตใจของเขาจะมีแต่ความทุกข์ร้อนกระวนกระวาย รู้สึกอึดอัด ขัดข้องหมองใจอยู่ตลอดเวลา ก็เท่ากับเอาชีวิตและจิตใจของเขากระโจนลงไปในกองเพลิงแห่งความทุกข์
ดังนั้น เมื่อคนเราสามารถมองโลกในแง่ดีตามหลักสัจธรรม หรือปรมัตถธรรม เข้าใจกฎของธรรมขาติเป็นอย่างดีแล้ว ก็ทำให้จิตใจของเขาปล่อยได้ วางได้ ไม่เข้าไปยึดติด เกาะเกี่ยว อยากเป็นผู้ควบคุมบังคับบัญชาอะไรใดๆ ยอมรับความจริงได้ ก็ทำให้มีผลดีกับเขาโดยตรง ทำให้จิตใจของเขาไม่ต้องไปทุกข์ไปร้อนอะไรเพราะการยึดมั่นถือมั่น ถึงแม้จะประสบกับทุกข์บ้างในบางเวลา แต่เมื่อเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ก็ย่อมจะทำให้บุคคลประเภทนี้เป็นทุกข์อยู่ได้ไม่นาน ก็ด้วยปัญหารู้เท่าทันทุกสิ่งตามความเป็นจริงของเขานั่นเอง
เครดิตภาพจาก : https://www.thaipng.com/png-c16r35/
ส่วนการมองโลกในแง่ดีแบบิดเบือนหรือเบี่ยงเบนประเด็นให้เห็นในแง่มุมที่ดี ก็นับว่าเป็นการมองโลกในแง่ดีอีกประการหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะยังวางไม่ได้ ปลงไม่ตก ยอมรับความจริงไม่ได้ในบางส่วน แต่ก็มีความเฉลียวฉลาดพอที่จะทำให้ตนเองไม่ต้องทุกข์ร้อนได้ เพราะรู้จักมองให้เห็นโอกาสในวิกฤต มองเห็นข้อดีในข้อเสีย มองเห็นสิ่งที่ดีในสิ่งที่แย่ มองเห็นสิ่งที่ได้มามากกว่าสิ่งที่เสียไป คนประเภทนี้แหละ ที่คนทั่วไปเข้าใจกันว่า “เป็นคนมองโลกในแง่ดี” หรือ “เป็นคนมองโลกในแง่บวก”
ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น เพราะบุคคลประเภทนี้ จะพยายามหาข้อดี หรือสิ่งที่ดีมาปลอบประโลมใจได้อยู่อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะประสบกับปัญหาข้อขัดข้องร้ายแรงสักเพียงใด ก็ยังมองเห็นข้อดีได้เสมอๆ ทำให้คนประเภทนี้ไม่มีความทุกข์ มีความทุกข์น้อยกว่าคนอื่น หรือมีความทุกข์อยู่ได้ไม่นานเท่ากับคนอื่นๆ นั่นเอง ฉะนั้นแล้ว เมื่อ :
“มองโลกในแง่ดีมีแต่ได้”
มองโลกในแง่ร้ายมีแต่เสีย
เครดิตภาพจาก : https://anabintalislam.wordpress.com/2014/11/26/
ส่วนใครก็ตามที่มีมุมมองในการมองโลกและชีวิตในแง่ร้ายหรือในแง่ลบตลอดเวลา จิตใจของเขาจะย่ำแย่ ตกต่ำ ทรุดโทรม บอบช้ำ เศร้ามอง น้อยใจในโชคชะตาและความอาภัพของตน ไม่อาจไว้ใจหรือเชื่อใจใครได้เลย มองทุกคนเป็นศัตรู มองทุกคนเป็นคู่แข่ง มองทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาขัดอกขัดใจจนเองไปเสียทั้งหมด คิดดูสิว่า คนประเภทนี้จะมีความสุขในการใช้ชีวิตได้อย่างไร
เป็นที่แน่นอนว่า เขาต้องสูญเสียโอกาสในการปรับปรุง หรือพัฒนตนเองให้ดีขึ้น เสียโอกาสในการเรียนรู้ เสียโอกาสในการรับมิตรภาพดีๆ จากคนอื่น เสียโอกาสที่จะได้รับสิ่งดีๆ จากสังคม เสียโอกาสที่จะได้ทำสิ่งที่ดีๆ ให้กับทั้งตนเองและสังคม เรียกได้ว่ามีแต่เสียกับเสีย หรือเกิดมาเพื่อการพลาดจากประโยชน์โดยแท้จริง
เมื่อคนเรามองโลกในแง่ร้ายเสียแล้ว ก็มักจะพลาดโอกาส ประสบการณ์ มิตรภาพและการเรียนรู้ที่ดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างแน่นอน 100% เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าคุณ :
“มองโลกในแง่ร้าย ก็จะมีแต่เสีย อย่างแน่นอน…”
เครดิตภาพจาก : http://www.krusarawut.net/wp/?p=12898
โฆษณา