7 มิ.ย. 2021 เวลา 13:02 • ประวัติศาสตร์
10 สัตว์ที่สูญพันธ์จากโลกไปโดยน้ำมือมนุษย์
ในอดีตที่ผ่านมา โลกของเราเคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่มากมายหลายสายพันธุ์ บ้างก็แปลกประหลาด บ้างก็สวยงาม บ้างก็มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ แต่หารู้ไม่ว่าสาเหตุในการสูญพันธ์ของสัตว์หลายๆชนิดนั้น ไม่ได้มีมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพของโลกหรือภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงเท่านั้น
เพราะในปัจจุบันมนุษย์เองก็มีส่วนเร่งในการสูญพันธ์ของสัตว์หลายๆชนิดเหล่านี้ไปจากโลกเช่นกัน
วันนี้ผมเขียนเรื่อยๆ...แต่มีสาระ จะมานำทุกท่านไปพบกับ 10 สัตว์โลกที่สูญพันธ์ไปด้วยน้ำมือมนุษย์ ว่ามีอะไรกันบ้าง? ไปดูกันเลยครับผม!!!
10. แรดดำแอฟริกันตะวันตก (Western black rhinoceros)
ภาพถ่ายของแรดดำแอฟริกันตะวันตก
แรดดำตะวันตก ในอดีตแรดสายพันธุ์นี้สามารถพบได้ในหลายๆประเทศทั่วบริเวณแอฟริกาตะวันตกซึ่งจะกระจายอยู่ทั่วทุ่งหญ้าสะวันนา มันมีน้ำหนักประมาณ 800-1300 กิโลกรัม
ที่พิเศษคือมันมีสองนอด้วยกันเลยนะ! ซึ่งนอชิ้นแรกที่อยู่ด้านในจะยาวประมาณ 2-55 เซนติเมตร และในขณะที่นอด้านหน้าของมันอาจจะยาวตั้งแต่ 0.5-1.3 เมตรกันเลยทีเดียว
ซึ่งในอดีตผู้คนส่วนใหญ่นั้นเชื่อว่า นอของแรดนั้นสามารถใช้เป็นยารักษาโรคได้ จึงทำให้เกิดการล่าแรดอย่างหนักมากขึ้น เจ้าแรดดำตะวันตกคือหนึ่งในผู้เสียหายจากเหล่าบรรดาแรดหลายๆสายพันธุ์ในตอนนั้น
จนกระทั่งช่วงปี 1930 ได้มีการออกมารณรงค์เพื่อปกป้องแรดดำแอฟริกาตะวันตก แต่ว่ามันดูจะไม่ค่อยมีผลสักเท่าไหร่ เพราะยังคงมีคนลักลอบล่าแรดอยู่เรื่อยๆ
ในท้ายที่สุด แรดดำแอฟริกันตะวันตกตัวสุดท้ายได้ถูกพบเห็นที่ แคเมรูน ในปี 2006 และถูกประกาศว่าสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการในปี 2011
9. โลมาแม่น้ำแยงซี (Yangtze river dolphin)
ภาพถ่ายของโลมาแม่น้ำแยงซี
โลมาแม่น้ำแยงซี หรือโลมาครีบขาว เป็นโลมาที่สามารถพบแค่ในบริเวณ แม่น้ำแยงซี ประเทศจีนเท่านั้น. พวกมันเป็นโลมาน้ำจืดเพียงไม่กี่สายพันธุ์ของโลกเท่านั้น
ด้วยดวงตาที่เล็ก พวกมันมีสายตาที่แย่มากๆเลย เพราะงั้นพวกมันจึงล่าเหยื่อโดยอาศัยหลักการสะท้อนเสียงเพื่อหาอาหาร แบบเดียวกันกับ ค้างคาว
หลังจากอาศัยอยู่ในแม่น้ำแยงซี มานานกว่า 20 ล้านปี จำนวนของพวกมันลดลงอย่างน่าใจหายตั้งแต่ปี 1950 เพราะเนื่องด้วยอุตสาหกรรมโรงงานในจีนที่ทยอยเติบโตขึ้นมากมายในยุคนั้น แม่น้ำแยงซีถูกใช้ในการทำประมงมากขึ้น การขนส่งทางน้ำและการสร้างเขื่อนอีกมากที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของโลมา
ไม่มีการรายงานอย่างเป็นทางการว่าเจ้าโลมาแม่น้ำแยงซีนี้สูญพันธุ์ไปหรือยัง? แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นพวกมันอีกเลยหลังจากปี 2002 เป็นต้นมา
8. ไพรีเนียน ไอเบ็กซ์ (Pyrenian ibex)
ภาพวาดไพรีเนียน ไอเบ็กซ์ ในปี 1898
1 ใน 4 ซับสปีชีส์ ของแพะไอบีเรียน ซึ่งถูกค้นพบ ณ บริเวณคาบสมุทรไอบีเรียน ในประเทศเปน
เมื่อก่อนเคยมีการประมาณการไว้ว่าพวกมันมีเหลืออยู่ประมาณ 50,000 ตัว, แต่ยังไงก็ตามเมื่อขึ้นยุคปี 1900 จำนวนของพวกมันลดลงอย่างมากจนเหลือเพียงไม่ถึง 100 ตัวเท่านั้น และก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการสูญพันธุ์ของพวกมันด้วย แต่นักวิทยาศาสตร์หลายๆคนเขาเชื่อว่า พวกมันหายไปเพราะการรุกล้ำถิ่นฐานของมนุษย์และสัตว์ต่างถิ่นที่มีมากขึ้น
และแล้ว ไพรีเนียน ไอเบ็กซ์ ตัวสุดท้ายของโลกได้ถูกบันทึกเอาไว้ว่าตายจากการถูกต้นไม้ล้มทับ ณ สเปนทางตอนเหนือ ในปี 2000. น่าสงสารแท้
1
7. นกพิราบพาสเซนเจอร์ (Passenger pigeon)
"มาธาร์" นกพิราบพาสเซนเจอร์ตัวสุดท้าย ถ่ายในปี 1914
ต้องย้อนกลับไปกันสัก 500 ปีก่อนในอเมริกา ยุคนั้นเต็มไปด้วยนกพิราบพาสเซนเจอร์กว่าหลายล้านตัว บินว่อนไปทั่วกันเลยทีเดียวเชียว แต่แล้วจำนวนของพวกมันกลับลดลงโดยการมาถึงของชาวตะวันตก
ซึ่งพวกเขาชอบล่านกชนิดนี้กันมากในยุคนั้น และพฤติกรรมโดยปกติของนกพิราบคือ พวกมันจะอยู่เป็นฝูง นั่นยิ่งทำให้เวลาที่นายพรานออกมาล่าพวกมันแต่ละครั้งจะมีนกตายไปเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญคนฐานะยากจนในอเมริกายุคนั้นได้บริโภคเนื้อนกพิราบเป็นอาหารด้วย (อร่อยมั้ย? ไม่รู้เหมือนกัน) นี่จึงส่งผลให้นกชนิดนี้ได้ถูกล่าและสอยร่วงจากท้องฟ้าเป็นประจำ
นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องของการขยายพื้นที่ทางการเกษตรและการทำฟาร์มปศุสัตว์ที่รุกล้ำถิ่นอาศัยของนกพิราบเหล่านี้ ในที่สุด ปี 1914 นกพิราบพาสเซนเจอร์ตัวสุดท้ายของโลกที่ชื่อว่า “มาธาร์” ซึ่งถูกเลี้ยงอยู่ในสวนสัตว์ซินซินนาติได้ตายลงไป อันเป็นการปิดตำนานนกพิราบพาสเซนเจอร์ไป
6. เสือแทสมาเนียน (Thylacine)
ไทลาซีนที่สวนสัตว์วอชิงตัน ดี. ซี. ในปี 1902
หลายคนเห็นมันครั้งแรกก็อาจจะคิดเหมือนผมว่า เจ้านี่มันหมาหรือเสือกันแน่หว่า? และเพราะหน้าตาที่คล้ายหมา มันเลยมีอีกชื่อนึงว่า หมาป่าแทสมาเนียน ด้วยเช่นกัน แต่ความเป็นจริงแล้ว เสือแทสมาเนียนจัดอยู่ในอันดับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง(Marsupialia)นะครับ
เสือแทสมาเนียน หรือ ไทลาซีน มีถิ่นกำเนิดในประเทศออสเตรเลีย และมันได้ชื่อเสือมาเพราะว่าลายดำบนหลังของมันที่คล้ายเสือมากๆ ต่างกันที่ขนาดตัวของเสือแทสมาเนียนจะเล็กกว่าเสือทั่วไปอยู่หลายขุมเลย
มีการสันนิษฐานว่าพวกมันอาจจะถูกล่าจนสูญพันธ์ เพราะพวกมันชอบบุกรุกฟาร์มปศุสัตว์ของชาวสวนชาวไร่จนกระทั่งในปี 1936 เสือแทสมาเนียนถูกประกาศให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง แต่นั่นมันไม่ทันเวลาแล้ว เพราะเสือแทสมาเนียนตัวสุดท้ายได้ตายลงในปีเดียวกันนั้นเองที่ สวนสัตว์โฮบาร์ต ในประเทศออสเตรเลีย และถูกประกาศให้สูญพันธ์อย่างเป็นทางการในปี 1982
1
5. วัวทะเลซเตลเลอร์ (Steller's sea cow)
รูปจำลองของวัวทะเลซเตลเลอร์
เจ้าตัวนี้ถึงหน้าตามันจะคล้ายพะยูน แต่ไม่ใช่นะครับ วัวทะเลซเตลเลอร์ถูกตั้งชื่อตาม จอร์จ วิลเฮล์ม ซเตลเลอร์ นักธรรมชาติวิทยาที่ได้ไปติดเกาะเบริง เพราะเรืออับปางในปี 1741
เจ้าวัวทะเลนี้นั้นเป็นสัตว์เลี้ยงเลี้ยงลูกด้วยนมที่ใหญ่ที่สุดในอันดับพะยูน และเมื่อมันโตเต็มที่ มันจะมีความยาวกว่า 9 เมตร แถมยังหนักได้ถึง 3 ตัน แม่เจ้า!!! นี่มันน้องๆวาฬเพชฆาตเลยนะเนี่ย
เอาเป็นว่า คุณซเตลเลอร์ผู้ค้นพบเนี่ย เขาได้ทำการศึกษาและบันทึกลักษณะของมันเอาไว้(สมัยนั้นยังไม่มีกล้องถ่ายรูป) และพอเขากลับบ้านไปที่เยอรมนีแล้ว เขาก็บอกให้ทุกคนรู้ถึงการมีอยู่ของวัวทะเลพันธุ์นี้ เท่านั้นแหละครับ ผู้คนแห่กันออกไปล่ามันมาเพราะต้องการเนื้อกับไขมันปริมาณมากของมัน และแล้วก็ไม่รอด วัวทะเลซเตลเลอร์ได้สูญพันธุ์ไปในปี 1768 และที่น่าตกใจคือ พวกเขาล่าพวกมันจนหมดได้ภายใน 27 ปี หลังการค้นพบ ซึ่งมันเร็วมากจนน่าใจหายเลย
1
4.นกอ๊อคใหญ่ (Great Auk)
ภาพวาดนกอ๊อคใหญ่
Great Auk หรือนกอ๊อคใหญ่ มันเป็นนกที่บินไม่ได้ จากสกุลพินกวินัส(Pinguinus) ซึ่งมันเป็นนกชนิดเดียวในสกุลนี้ที่มีชีวิตรอดจากยุคน้ำแข็งมาได้ และมันมีความเด่นและหล่อเท่จากจะงอยปากอันใหญ่และหนาเตอะ อีกทั้งยังมีลักษณะการเดินคล้ายกับนกเพนกวินอีกด้วย
นกอ๊อคใหญ่เคยพบได้มากมายในแถบชายฝั่งตกของยุโรปตั้งแต่สเปนไปจนถึงนอร์เวย์ และพบได้อีกที่ในกรีนแลนด์และแคนาดาด้วย พฤติกรรมของพวกมันจะอยู่กันเป็นฝูงใหญ่แบบใหญ่มากๆ (นี่มันเพนกวินชัดๆ)
แต่ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่กว่า 80 เซนติเมตรของพวกมัน ทำให้พวกมันมีนักล่าตามธรรมชาติที่น้อยมากๆด้วย แถมในตอนนั้นยังมีจำนวนมหาศาลแบบสุดๆ จนกระทั่งพวกนักเดินเรือชาวยุโรปที่มาบุกเบิกพื้นที่ พวกเขาได้ลิ้มลองรสชาติของพวกมันแล้วปรากฏว่าทั้งเนื้อและไข่ของมันอร่อยเหาะเอามากๆ ประหนึ่งว่านี่คือสุดยอดวัตถุดิบที่ตามหามาเนิ่นนาน ทำให้เกิดมหกรรมการล่านกชนิดนี้มาทำอาหารมากมายหลายเมนู จนถึงประมาณช่วงศตวรรษที่ 16 นกอ๊อคใหญ่จำนวนมากบนบนชายฝั่งยุโรปโดนล่าเกลี้ยงไม่เหลือเลยสักตัวเดียว นกกว่าล้านตัวถูกสังหารไปเพื่อน้ำเนื้อละไข่ไปทำเมนูเลิศรส และเอาขนของพวกในไปยัดหมอนอีกต่างหาก
การล่าพวกมันได้ดำเนินไปจนในปี 1794 ทางสหราชอาณาจักรได้ประกาศการห้ามล่านกอ๊อคใหญ่ แต่มันเหมือนกับกรณีเสือแทสมาเนียนในข้างต้น เพราะตอนที่ประกาศใช้กฎหมายนี้นั้น มันไม่เหลือนกอ๊อคใหญ่ในยุโรปอีกต่อไปแล้ว
จุดจบของนกอ๊อคใหญ่ได้มีการบันทึกไว้ว่า เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ปี 1844 ณ เกาะโขดหินนอกชายฝั่งของไอซ์แลนด์ นกอ๊อคใหญ่ที่เชื่อกันว่าพวกมันเป็นคู่สุดท้ายของโลก ได้ถูกนักล่าชาวไอซ์แลนด์คนหนึ่งมาพบเข้าและเพื่อนๆรู้ใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ...
1
3.ควากกา (Quagga)
1
ควากกาตัวผู้ที่สวนสัตว์ลอนดอน ค.ศ. 1870
ควากกาเป็นม้าลายที่มีชื่อเสียงสุดๆของแอฟริกา ส่วนที่แปลกแตกต่างจากม้าลายธรรมดาก็คือ ควากกาช่วงส่วนหน้าลำตัวจะมีสีเหมือนม้าลาย แต่ช่วงส่วนกลางและท้ายเป็นต้นไป จะเหลือเพียงขนสีน้ำตาลแบบม้าทั่วไป
ในอดีต ควากกา อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนา ในแอฟริกาใต้ ต่อมาชาวเนเธอร์แลนด์ได้เข้ามาตั้งรกรากและเริ่มมหกรรมการล่าสัตว์ชนิดต่างๆจำนวนมาก ควากกาที่มีขนสวยงามและอ่อนนุ่มกว่าม้าลายทั่วไป จึงแทบจะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และใช้หนังมาทำกระเป๋าขาย ควากกาตัวสุดท้ายตามธรรมชาติถูกยิงตายในปี 1878 ส่วนตัวสุดท้ายของโลก ตายอยู่ในสวนสัตว์ อาทิส มากิสตร้า ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ปี 1883
2.นกโดโด้ (Dodo)
ภาพวาดนกโดโด้
นี่เป็นนกที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการสูญพันธุ์ด้วยมือมนุษย์มากที่สุด นกโดโด้เป็นนกโบราณตัวใหญ่ประมาณเป็ดหรือห่านที่เห็นได้ทั่วไป
พวกมันบินไม่ได้และออกหาอาหารพร้อมกับทำรังบนพื้นดินเท่านั้น และก็ไม่มีนักล่าตามธรรมชาติที่ใหญ่กว่ามันเลย และสาเหตุที่นกโดโด้ถูกล่าอย่างหนักเป็นจำนวนมาก เพราะพวกมันนั้นโดนมนุษย์ล่าได้ง่ายมากๆ นอกจากจะบินไม่ได้แล้ว พวกมันยังวิ่งไม่เร็วอีกด้วย จึงเป็นที่มาของชื่อพวกมันที่ตั้งโดยจากภาษาโปรตุเกสว่า doudo ที่แปลว่า โง่
พวกกะลาสีและนักเดินทางทั้งหลายต่างใช้เวลาไม่ถึงร้อยปีในการทำให้นกชนิดนี้หายหมดเกาะมอริเชียส ซึ่งเป็นที่เดียวในโลกที่พบนกโดโด้ได้เท่านั้น
และด้วยความที่นกโดโด้มีนิสัยที่ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นไปหมด วิธีที่จะจับพวกมันครั้งละมากๆก็มีได้ทั้งใช้เหยื่อล่อแบบธรรมดา หรือแม้กระทั่งปล่อยโดโด้ตัวนึงออกมาทำเสียงดังล่อตัวอื่นๆก็มีเหมือนกัน และก็ไม่ได้มีเพียงแต่มนุษย์ที่ล่ามันเท่านั้น สัตว์ที่ติดมากับเรือพวกกะลาสีอย่าง หมา และ แมว ก็ออกมาล่านกพวกนี้ไปกินเช่นกัน
และแล้วในปี 1693 ได้มีการประกาศว่านกชนิดนี้ได้สูญพันธ์ไปจากโลกแล้ว
2
1.ช้างแมมมอธ (Mammoth)
แมมมอธขนดก (Wolly mammoth)
นี่คือสิ่งมีชีวิตที่ชนิดแรกๆที่หากเราพูดถึงเรื่องการสูญพันธุ์ก็ต้องพูดถึงพวกมันนี่แหละ ช้างแมมมอธในอดีตเป็นช้างที่มีขนาดใหญ่กว่าช้างในปัจจุบันเป็นอย่างมาก พวกมันกระจายตัวอยู่ทั่วโลก ทั้งในยุโรป,เอเชียเหนือ,และบริเวณไซบีเรีย ช้างแมมมอธมีชีวิตอยู่ในช่วงยุคไพลโอซีนตอนต้น และพวกมันได้สูญพันธ์ไปจนหมดในช่วง 11,700 ปีก่อนคริสตกาล
เนื่องจากแมมมอธมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ถ้ำ ในยุคหินเก่าอย่างมาก ทั้งเนื้อและหนังของมันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์อย่างมากมาย หลักฐานคือภาพเขียนผนังถ้ำมากมายที่มีภาพเกี่ยวกับแมมมอธ โดยที่มนุษย์ถ้ำเหล่านั้นมักใช้อาวุธที่ทำจากหินในการล่าแมมมอธ
โดยแมมมอธนั้นมีหลายสายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่รู้จักกันมากที่สุดคือ “แมมมอธขนดก” ซึ่งจะมีขนปกคลุมอยู่ทั่วลำตัว
เมื่อก่อนนักวิทยาศาสตร์นั้นเชื่อว่า แมมมอธสูญพันธ์ไปจนหมดเพราะถูกมนุษย์ล่า แต่หลักฐานที่เพิ่งค้นพบมาใหม่ อาจจะบอกได้ว่าจริงๆแล้วพวกมันสูญพันธ์ไปเพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมากกว่า โดยประชากรช้างแมมมอธในยุโรปต่างลดลงจนเกือบสูญพันธ์ เพราะโลกเริ่มมีอากาศที่อบอุ่นขึ้นและแมมมอธมีขนที่ยาวมากปกคลุมตัว นั่นจึงทำให้สันนิษฐานกันว่าแมมมอธอาจไม่ได้สูญพันธุ์เพราะมนุษย์เสียทั้งหมด
1
ในช่วง 500 ล้านปีที่ผ่านมานั้น โลกได้เผชิญกับการสูญพันธุ์ครั้งย่อยและครั้งใหญ่มากมายหลายครั้งล้ว สาเหตุก็มีมากมาย เช่น การสิ้นสุดยุคน้ำแข็ง,การเปลี่ยนแปลงของน้ำในมหาสมุทร,อุณหภูมิโลกที่เปลี่ยนไป,และอาจจะรวมถึงอุกกาบาตที่พุ่งชนโลกด้วย
แต่ในครั้งต่อๆไป การสูญพันธ์อาจจะไม่ได้เกิดจากธรรมชาติอีกแล้ว อาจจะเรียกได้ว่ามนุษย์คือผู้ที่เร่งให้เกิดการสูญพันธ์ครั้งใหญ่ขึ้นก็ได้ ทั้งการทำลายถิ่นที่อยู่,การนำสายพันธุ์ต่างถิ่นข้ามไปยังถิ่นใหม่ ตลอดจนการล่าสัตว์อย่างผิดกฎหมาย
และในปี 2010 IUCN ได้ประกาศรายชื่อสิ่งมีชีวิต 208 สายพันธุ์ที่คาดว่าน่าจะสูญพันธ์ไปแล้ว พร้อมกับมีอีกลายหมื่นสายพันธุ์ที่กำลังถูกมนุษย์คุกคามและมีสถานะเสี่ยงมาก เช่น ลิงอุรังอุตังบอเนียว , เสือดาวอามูร์ , แรดสุมาตรา , ตัวนิ่ม , โลมาอิรวดี , เป็นต้น
ท้ายที่สุดหากทุกอย่างยังเป็นแบบนี้ เราอาจจะไม่ได้เห็นสัตว์สายพันธุ์เหล่านี้ในอนาคตข้างหน้าอีกต่อไป พวกมันอาจจะกลายเป็นแค่ตำนาน ที่คงเหลือไว้แต่ซากกับรูปถ่ายเพียงเท่านั้น หากเราไม่ช่วยกันในการอนุรักษ์สิ่งแววด้อมของโลกเอาไว้ โลกอาจจะกลับมาทำร้ายเราเองก็ได้ เพราะมนุษย์ถึงแม้ว่าจะพัฒนาไปไกลค่ไหน สุดท้ายพวกเรายังต้องพึ่งพาธรรมชาติและโลกของเราอยู่ดี
เป็นยังไงกันบ้างครับ กับเรื่องแรกที่เขียนลง Blockdit ของผม หากใครชอบก็อย่าลืมกดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ รับรองเพื่อนๆจะได้รับความรู้ดีๆแบบนี้อีกตลอดๆเลยครับผม😎
แหล่งข้อมูล
โฆษณา