9 มิ.ย. 2021 เวลา 06:45 • หนังสือ
ตราบลมหายใจสุดท้าย Till my last breath โดยคุณณารา บอกตามตรงว่าที่เลือกหยิบหนังสือเล่มนี้เพราะปกนิยายค่ะมันช่างให้อารมณ์เหมือนหนังสือประวัติศาสตร์เก่าๆแต่ว่ามันก็เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์โดยตรงค่ะเพราะนิยายเล่มนี้เล่าเรื่องของสายลับรัสเซียที่ทำงานอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2และสงครามเย็น
ตราบลมหายใจสุดท้าย โดย ณารา
การเล่าเรื่องจะใช้วิธีการเล่าตัดสลับเรื่องราวในอดีตกับปัจจุบัน เรื่องเริ่มต้นเมื่อตรีภัทร์ พยาบาลที่ดูแลบ้านพักคนชราถูกจ้างให้ไปดูแล แคทลีน คุณย่าของหมอมิช่า ศัลยแพทย์กระดูกหนุ่มสุดฮอตที่รวยด้วยหน้าตาและทรัพย์สิน ซึ่งตรีภัทร์ก็มีคนไข้ประจำคืออาเธอร์ คุณตาที่ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมระยะแรกและมีประวัติที่ลึกลับ ตรีภัทร์มักเป็นที่รักของคุณตาคุณยายเสมอเพราะเธอชอบฟังเรื่องเล่าในอดีตของพวกเขาจนเธอรู้สึกว่าเรื่องของคนไข้ทั้งสองของเธอช่างเหมือนกันเหลือเกิน
แค่เรื่องย่อก็น่าสนใจแล้วค่ะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉีดแนวทางการอ่านของผู้เขียนมากๆเพราะส่วนใหญ่ผู้เขียนจะเคยอ่านเฉพาะเรื่องที่ดำเนินตามประวัติศาสตร์ของไทยเท่านั้นแต่เรื่องนี้อ้างอิงประวัติศาสตร์สากลและมีพื้นหลังอยู่ในประเทศผู้นำสงครามอย่างรัสเซียและแคนาดา พูดถึงสายลับก็ต้องขอเล่าว่าเป็นอาชีพที่โคตรจะเสี่ยงต้องมีไหวพริบ รู้จักเอาตัวรอด ต้องมีความสามารถรอบด้านเพื่อบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จและถ้าพูดถึงสายลับอเมริกาเราจะเรียกCIAหรือFBI ส่วนสายลับรัสเซียก็ต้องนึกถึงสายลับKGB (คณะกรรมการความมั่นคงแห่งรัฐ :สหภาพโซเวียต)หน่วยสืบราชการลับที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงสงครามเย็น ต้นทศวรรษ 1980
  • โดยหน้าที่หลักของสายลับทุกหน่วยคือการแฝงตัวเข้าไปในหน่วยงานต่างๆเพื่อโจรกรรมข้อมูล ทำลายศักยภาพด้านการรบของฝ่ายตรงข้ามรวมถึงกำจัดบุคคลที่คาดว่าจะเป็นภัยกับความมั่นคงของรัฐ ซึ่งสายลับเคจีบีที่เราชาวโลกรู้จักกันดีนั้นก็คือ ประธานาธิบดีรัสเซียคนปัจจุบัน วลาดิเมียร์ ปูติน นั้นเองแต่ต่อมาหน่วยงานของเคจีบีถูกยุบไปหลังจากหัวหน้าเคจีบีได้ร่วมก่อกบฏรัฐบาลประธานาธิบดีมีฮาอิล กอร์บาชอฟ (คนที่มีปานรูปประเทศรัสเซียตรงหน้าผากนั้นแหละ) แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกแทนที่โดยสำนักงานความมั่นคงกลาง (Federalnaya sluzhba bezopasnosti, FSB) แทน
ปูตินสมัยหนุ่มๆ ที่มา: https://mgronline.com/indochina/detail/9600000084186
สิ่งที่ผู้เขียนได้รับเต็มๆจากเรื่องนี้เลยก็คือรูปแบบนิยายที่ไม่ได้ดำเนินบนเส้นเรื่องความรักแต่เป็นความคิดถึงมากกว่าค่ะ เพราะเนื้อเรื่องจะบรรยายให้เห็นถึงภารกิจที่ตัวเอกอย่างอาเธอร์เคยปฎิบัติในอดีตก่อนที่จะพลัดพรากจากคนรักและต้องรอค่อยมานานกว่าจะได้พบกันซึ่งมันก็นานพอจนเกือบจะเป็นลมหายใจสุดเลยทีเดียว
  • อีกหนึ่งอย่างได้ที่ได้รับจากเรื่องนี้คือสงครามไม่ได้มีข้อดีกับใครเลยค่ะ ไม่ใช่แค่เฉพาะสงครามที่ใช้อาวุธเท่านั้นแต่ยังมีสงครามประสาทด้วย เหมาะกับช่วงนี้มากๆที่ประเทศของเรากำลังมี 2 แนวคิดเกิดขึ้นที่ต่างฝ่ายต่างก็ใช้สื่อกดดัน บิดเบือนข้อมูล การนำเสนอข่าวปลอมหรือfake new ถึงแม้ว่าสมัยปัจจุบันเราจะเป็นผู้เลือกรับสื่อได้มากขึ้นแต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าสื่อก็ยังค่อยชี้นำให้เราเชื่อตามได้เสมอถ้าเราไม่พิจารณาให้ดี ผู้เขียนคงไม่อาจพูดได้ว่าสิ่งไหนถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควรแต่สิ่งที่แน่ใจก็คือการมองให้เป็นกลาง ยอมรับในความต่างและหาทางออกที่ดีที่สุด ฟังแล้วเหมือนจะง่ายนะคะแต่กว่าที่ประเทศของเราจะไปได้ถึงจุดนั้นก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่กัน ถ้าทุกคนสนใจความความรักท่ามกลางสงครามก็อยากให้ลองหาซื้อมาอ่านกันดูนะคะ
  • อ้อๆ ลืมบอกว่าหนังสือเล่มนี้ไม่มีขายที่นายอินทร์ทุกสาขานะคะเคยถามพนักงานเขาบอกว่ายกเลิกการขายไปแล้ว เล่มนี้ผู้เขียนได้จากร้านse-ed bookและเคยเห็นว่ามีขายที่คิโนะรวมถึงเว็บไซต์ของสถาพรบุ๊ค ถ้าอ่านแล้วรู้สึกอย่างไรมาเล่าให้ฟังกันได้นะคะ ขอให้ทุกคนได้เจอความรักโดยที่ไม่ต้องพลัดพรากกันนะคะ💕
โฆษณา