15 มิ.ย. 2021 เวลา 10:00 • นิยาย เรื่องสั้น
#เรื่องสั้น: ผู้หญิงในเสื้อโค้ทสีดำ
... นึกครึ้มใจอยากลองแต่งเรื่องสั้นดูบ้าง
... วันนี้ขอนำมาให้ทุกคนอ่านกันค่ะ
... เป็นการเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรก
... เลยอยากจะรบกวนขอความเห็นจากทุกคนหน่อยค่ะ … อ่านแล้วคิดว่าเป็นอย่างไร? … หรือมีอะไรแนะนำ … ขอบคุณล่วงหน้าค่า
Image by Hands off my tags! Michael Gaida from Pixabay, Image by No-longer-here from Pixabay
ห้องน้ำที่ดูเหมือนว่าจะมีไอน้ำลอยละล่องอยู่ในทุกชั้นของบรรยากาศ พร้อมกับแสงอาทิตย์ยามเช้าอ่อนๆที่โปรยมาจากทางช่องหน้าต่างเล็กๆ
ฉันรีบหมุนบิดก๊อกน้ำไปทางขวาทันทีที่อาบน้ำเสร็จ ... อูย ร้อน! ฉันอุทานในใจ
กลิ่นของไอน้ำที่ระอุทำให้ฉันแทบหายใจไม่ออก
ฉันรีบเปิดประตูห้องน้ำออกมา อาา...รู้สึกหายใจได้เป็นปกติอีกครั้ง
ฉันหยิบเสื้อและกางเกงสีพื้นๆชุดหนึ่งจากในตู้เสื้อผ้ามาสวมใส่
1
หลังจากนั้น ฉันก็ไปยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หวีผมที่ดำยาวจนสุดปลายอย่างทะนุถนอม
ลงรองพื้นบนหน้าเพื่อปิดรอยแผลเป็นอันแสนน่าเกลียดที่แก้มอีกนิด เติมลิปสติกสีแดงที่ปากเสียหน่อยก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ฉันคว้าเสื้อโค้ทสีดำที่พาดอยู่ที่เดิมมาสวมทับ
แล้วลากกระเป๋าเดินทางออกจากห้องนอน
ฉันเดินลงมายังชั้นล่าง หยิบรองเท้าบูทสีดำขึ้นมาสวม แล้วโบกมือให้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ก่อนจะออกจากประตูบ้านไป
ฉันเดินจากบ้านจนมาถึงร้านๆหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นร้านกาแฟ
เห็นชุดโต๊ะเก้าอี้ด้านนอกร้านว่างอยู่หลายตัว ฉันจึงหย่อนตัวลงนั่ง
ฉันนั่งคิดอะไรต่อมิอะไรของฉันไปเรื่อยเปื่อย
สักพักก็เพิ่งสังเกตว่า มีผู้หญิงผมยาวประบ่าคนหนึ่ง นั่งอยู่ที่โต๊ะถัดไปจากฉันอีกสองโต๊ะ
ฉันไม่ได้สนใจอะไร จนสักพักใหญ่ เธอก็หิ้วกระเป๋าแล้วลุกออกไป
วันต่อมา ... ฉันก็มาที่ร้านเดิม นั่งที่ชุดโต๊ะเก้าอี้ตัวเดิม แต่วันนี้ระหว่างทางที่เดินมา ฉันทำล้อกระเป๋าลากของฉันพัง
ฉันนั่งถอนหายใจดังฟู่ใหญ่
แล้วก็เห็นผู้หญิงผมยาวประบ่าคนนั้นอีก เธอเหลือบมามองฉันสองสามครั้ง ฉันรู้สึกได้
วันรุ่งขึ้น ... ฉันจัดการย้ายสัมภาระทั้งหมดจากกระเป๋าล้อลากที่พังใบนั้น ลงในถุงใบใหญ่ที่ผู้หญิงในบ้านนี้จัดหามาให้
ถึงแม้กระเป๋าล้อลากจะไม่มีแล้ว แต่สิ่งที่เหมือนเดิมคือเสื้อโค้ทและรองเท้าบูทสีดำคู่นั้น
ฉันเดินแบกถุงใบใหญ่ไปจนถึงร้านกาแฟ ก็เห็นผู้หญิงคนเดิมนั่งอยู่กับผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่ง
พวกเขากระซิบกระซาบอะไรบางอย่างพร้อมหัวเราะคิกคัก แต่ฉันก็แอบเห็นว่าเธอแอบชำเลืองมองมาที่ฉันอีกแล้ว
วันถัดไป ... ฉันตื่นสายกว่าปกติ จึงไปถึงที่ร้านกาแฟค่อนข้างช้า แสงแดดอันร้อนแรงก็สาดเข้ามาถึงโต๊ะเก้าอี้ทุกตัวที่อยู่ด้านนอก
ฉันจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านเป็นครั้งแรก
ฉันสั่งครัวซองต์และน้ำเปล่ามาทานที่โต๊ะเล็กๆริมกำแพงด้านซ้าย
ข้างในร้านมีผู้คนมากหน้าหลายตา นั่งกระจายกันไปอยู่ทั่วบริเวณ
ฉันแอบดีใจที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตามเข้ามาด้วย เธอยังคงนั่งอยู่ข้างนอกเหมือนทุกวัน
มีผู้ชายสองสามคนใส่ชุดเหมือนชุดทำงานนั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆฉัน
พวกเขาคุยกันเสียงดัง จนฉันต้องพยายามหันไปทางอื่น
ห่างออกไปอีกสองสามโต๊ะ มีกลุ่มวัยรุ่นนั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะใหญ่ พวกเขาหันมามองฉัน แล้วส่งเสียงหัวเราะดังลั่นอยู่เป็นพักๆ
ฉันนั่งมองคนนั้นคนนี้จนในที่สุดพวกเขาก็ออกไปจากร้าน
แล้วก็มีคนกลุ่มใหม่ๆทะยอยกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ฉันรู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมายังฉันราวกับว่าฉันไม่สามารถรับรู้ได้
ไม่นานนักพนักงานหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงมาที่ฉัน ถามฉันว่า จะสั่งอะไรเพิ่มไหม ถ้าไม่นั่งแล้ว ขอโต๊ะนี้ให้ลูกค้าได้หรือไม่
ฉันรู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่อยากให้ฉันนั่งที่ร้านอีกต่อไป ฉันจึงลุกออกไปจากร้าน
วันต่อมา ... ฉันไม่กล้าเข้าไปนั่งที่ร้านนี้อีกแล้ว ฉันเลยย้ายไปนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวสีน้ำตาล ตรงข้างหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ลึกเข้าไป
ฉันนั่งอยู่ได้สักพัก ก็มีผู้ชายแต่งตัวมอมแมมคนหนึ่ง เดินเข้ามาถามว่า ฉันพอมีเงินให้เขาไหม
ฉันเปิดกระเป๋าสตางค์ดู มีแบงค์ร้อยสีแดงอยู่ใบหนึ่ง จึงหยิบยื่นให้เขาไป
ชายผู้นั้นกล่าวขอบคุณฉันยกใหญ่ แล้วก็เดินจากไป
ฉันนั่งมองคนเข้าๆออกๆซุปเปอร์มาร์เก็ตกันอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาต้องการของอะไรมากมายขนาดนี้
หลังจากนั้นไม่นาน ฝนก็เทลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ฉันจึงต้องหอบสัมภาระทั้งหมดแล้ววิ่งฝ่าฝนไปเพื่อที่จะกลับบ้าน
ฉันวิ่งๆๆ จนมาถึงหน้าร้านกาแฟร้านเดิม ฉันสะดุดเข้ากับอะไรสักอย่าง
ตัวฉันลื่นไถลไปกับพื้นที่เปียกโชก ข้าวของในถุงหล่นกลิ้งไปตามทาง
ฉันเงยหน้าขึ้นไป ก็เห็นผู้หญิงผมยาวประบ่าคนนั้นนั่งหลบฝนอยู่ที่ร้านกาแฟ
เธอมองมาที่ฉันนิดหนึ่ง แล้วเบือนหน้าหนีไป
ฉันรู้สึกอายมาก รีบเก็บของที่กระจัดกระจายลงในถุงอย่างเร็วที่สุด
ฉันเห็นคนสองสามคนวิ่งผ่านฉันไปอย่างรวดเร็ว
คงไม่มีใครอยากเปียกฝนเหมือนฉันหรอก ฉันคิดในใจ
เมื่อฉันเก็บของจนครบหมดแล้ว ฉันก็เดินกลับบ้านพร้อมกับฝนที่ยังคงกระหน่ำลงมา
เมื่อฉันเปิดประตูบ้านเข้าไป ก็เจอกับผู้หญิงคนที่อยู่ในบ้านนี้ สีหน้าของเธอดูกังวลหน่อยๆ
เธอรีบกุลีกุจอเข้ามาถอดเสื้อโค้ทที่เปียกโชกของฉันออก แล้วบอกให้ฉันรีบไปอาบน้ำ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผู้หญิงคนนั้นก็ได้บอกฉันแต่เพียงว่า พรุ่งนี้นัดหมอคนใหม่ไว้ให้แล้ว
ฉันแค่ไปตากฝนมา ฉันไม่ได้ป่วยหรอก ฉันคิดในใจ
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ... ฉันหาเสื้อโค้ทตัวเดิมไม่เจอ และรองเท้าบูทคู่นั้นก็หายไป
ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเธอเอาไปซักให้ แต่ยังไม่แห้งเพราะฝนพรำลงมาเมื่อวานเกือบทั้งวัน เธอบอกให้ฉันใส่อย่างอื่นแทนไปก่อน
ฉันรู้สึกไม่มั่นใจเลยที่ไม่มีเสื้อโค้ทสีดำตัวนั้น แต่สุดท้ายฉันก็ต้องจำใจออกจากบ้านในชุดอื่นไปพร้อมกับเธอ
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล กลิ่นฉุนอะไรบางอย่างฟุ้งอยู่ทั่วไปหมด ฉันไม่ชอบกลิ่นของที่นี่เลย กลิ่นมันหดหู่ เหมือนว่าใครกำลังจะตาย
ฉันนั่งรออยู่ที่หน้าห้องหมอ จนถึงตอนนี้แล้ว ฉันก็ยังงงๆอยู่ดีว่าเรามาที่นี่ทำไมกัน
ประมาณ 20 นาทีผ่านไป ประตูห้องหมอก็เปิดออก
ผู้หญิงคนนั้นเดินนำเข้าไป และบอกให้ฉันเดินตามมา
เมื่อเข้าไปในห้อง ก็พบกับหมอซึ่งเป็นผู้ชายร่างท้วมใส่แว่นคนหนึ่ง ดูมีอายุราวๆสัก 50 กว่าๆได้
หมอพูดขึ้นมาว่า “รบกวนคนไข้เล่าประวัติให้ผมฟังอีกสักครั้งจะได้ไหมครับ”
ฉันนั่งนิ่ง ฉันไม่รู้ว่าหมอต้องการให้ฉันเล่าอะไรให้ฟัง
แล้วผู้หญิงคนนั้นก็พูดแทรกว่า “ขอเป็นคนเล่าแทนได้ไหมคะ?”
“คุณเป็นอะไรกับคนไข้ครับ” หมอถาม
“ดิฉันเป็นน้องสาวค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นตอบ
ฉันหันขวับไปมองหน้าผู้หญิงคนนั้นในทันที
หมอพยักหน้าหงึกๆ เหมือนเป็นสัญญาณว่าให้เล่าต่อไปได้
แต่ก่อนที่ฉันจะได้คิดว่าจะพูดอะไร ผู้หญิงที่บอกว่าเป็นน้องสาว ก็เริ่มเล่า
“พี่สาวดิฉันเคยอาศัยอยู่ที่อังกฤษกับสามีและลูกสาว แต่เมื่อช่วงฤดูหนาวสองปีที่แล้วในเดือนธันวาคม
ขณะที่พวกเขากำลังนั่งรถไปที่สนามบินเพื่อเดินทางกลับมาเมืองไทย ก็เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
เป็นเหตุให้สามีเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และลูกสาวได้รับบาดเจ็บสาหัส และสุดท้ายก็ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล
โชคดีที่ว่าพี่สาวแค่บาดเจ็บเล็กน้อย จะเหลือร่องรอยไว้ก็เพียงแผลเป็นที่แก้มเท่านั้น
แต่เหตุการณ์อันน่าสลดนี้ ก็ทำให้พี่สาวของดิฉันเกิดอาการช็อกอย่างรุนแรง
เธอจำอะไรในอดีตไม่ได้เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว หรือ อุบัติเหตุครั้งนั้น
เหมือนกับว่าความทรงจำบางอย่างของเธอถูกแช่ค้างไว้อยู่ที่อังกฤษ ณ วันนั้น
พี่สาวของดิฉันได้เข้ารับการบำบัดจิตใจนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรสามารถทำให้เธอฟื้นความจำได้เลย”
เมื่อเธอเล่าจบพร้อมกับน้ำที่รื้นเอ่ออยู่ในตา ฉันหันไปแล้วรีบคว้าเธอมากอดให้แน่นที่สุดเท่าที่จะแน่นได้ เธอตัวผอมจังเลย ฉันคิด
ฉันยังคงจำเรื่องราวที่เธอเล่ามาเมื่อสักครู่ไม่ได้เลยสักเรื่อง แต่สิ่งที่ฉันรู้ตอนนี้ คือ ฉันไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว ฉันมีน้องสาว
ไม่มีใครพูดอะไร นอกจากเสียงสะอื้นที่เล็ดลอดออกมา
จนในที่สุด ความเงียบงันก็ถูกทำลาย หมอยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจแล้ว ผมขออธิบายอะไรนิดหนึ่งนะครับ
บางทีสมองของคนเรามันฉลาดกว่าที่เราประเมินไว้เสียอีก บางครั้งมันก็เลยชัดดาวน์ในสิ่งที่ทำให้เราไม่อยากจะรับรู้
ในความคิดของผม สำหรับเคสนี้ ความสัมพันธ์ในอดีตอาจไม่สำคัญเท่ากับความสัมพันธ์ในปัจจุบัน
ความสัมพันธ์ในปัจจุบัน เราสามารถสร้างได้ และพัฒนาได้
หากพัฒนาความสัมพันธ์ในปัจจุบันให้ดี หมอเชื่อว่าคนไข้จะต้องได้กลับมาใช้ชีวิตในแบบปกติไม่ช้าก็เร็ว โดยที่ไม่มีความจำเป็นต้องรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีต
หมอดีใจที่คุณทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งในวันนี้ ถึงแม้จะเป็นการพบกันในรูปแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อน หมอขอให้มีกันและกันแบบนี้ตลอดไป”
จบบริบูรณ์ ...
บทส่งท้าย:
... คนเรามักเพิกเฉยต่อคนที่เราคิดว่า “แตกต่าง” “ประหลาด” หรือ “โรคจิต”
1
... เราปฏิบัติต่อพวกเขาเสมือนเป็นธาตุอากาศที่ไม่รู้สึกรู้สา
... โดยที่เราไม่เคยสนใจเลยว่า เขาเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมเขาจึงเป็นแบบนี้ เขาต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า
... ความมีน้ำใจและคำว่ามารยาทดูเหมือนจะค่อยๆเลือนหายไปจากสังคมทีละนิดๆ
... หากเราปฏิบัติกับทุกคนด้วยน้ำจิตน้ำใจ ด้วยมารยาทที่พึงมี เหมือนที่เราปฏิบัติกับคนรู้จัก โลกนี้คงจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว
#สมองสองช้อน ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่แวะมานะคะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา