8 มิ.ย. 2021 เวลา 14:50 • ท่องเที่ยว
15 สถานที่พิศวงที่คุณสามารถไปเที่ยวได้
ดาวเคราะห์ที่เรียกว่าว่าโลกนั้นเป็นสถานที่ ที่เราทุกคนอาศัยอยู่และใช้ชีวิต แต่จะมีใครรู้บ้างว่าโลกของเรานั้นเต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับและเรื่องที่ยังอธิบายไม่ได้อยู่มากมาย เรียกว่าสถานที่ลี้ลับแบบนี้อยู่คู่กับโลกของเรามาช้านานแล้ว
วันนี้ผม “เขียนเรื่อยๆ...แต่มีสาระ”😎 จะมาพาเพื่อนๆไปรู้จักกับสถานที่สุดแปลกและไม่คิดว่ามันจะมีของแบบนี้อยู่บนโลกเราได้ เอาไว้ถ้าหมดช่วงโควิดไปแล้วและใครอยากจะดูของจริงก็ลองไปเที่ยวกันได้ไม่เสียหายนะครับ
สโตนเฮนจ์ , อังกฤษ (Stonehenge , England)
เสาหินสโตนเฮนจ์
กองหินขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านสูงอยู่กลางทุ่ง “ที่ราบซัลลิสเบอร์รี่ (Salisbury Plain)” ซึ่งอยู่บริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ มันคือกองหินแท่งยักษ์จำนวน 112 ก้อน ที่ตั้งเรียงเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง และวางเรียงกันในลักษณะต่างๆมากมาย ซึ่งมีทั้งวางนอน วางพาดกัน หรือวางตั้งไว้
และที่สำคัญเลย เพียงแค่เดินทางไปที่ทุ่งราบนี่เท่านั้น เพื่อนๆจะสามารถเห็นสโตนเฮนจ์มาได้ตั้งต่ไกลลิ่ว เพราะในบริเวณนั้นไม่มีสิ่งปลูกสร้างอะไรเลย มีแต่หญ้าและเนินสุดลูกหูลูกตาเท่านั้น
ความพีคของสโตนเฮนจ์เลยก็คือ มันมีอายุที่มากโคตรๆ นักวิทยาศาสตร์ออกมาบอกกันว่า มันน่าจะถูกสร้างเมื่อประมาณ 3,000-2,000 ปีก่อนคริสตกาลนู่นเลย เท่ากับว่าถ้านับปีปัจจุบันเข้าไปด้วยมันมีอายุมากกว่า 5,000 ปีมาแล้ว โบราณจริงๆ
แต่ที่น่าคิดคือเรื่อที่ว่า คนยุคนั้นเอาอะไรมายกหินที่หนักกว่า 30 ตันได้หว่า? แถมยังลากหินมาจากที่อื่นได้ยังไง ทั้งๆที่ทุ่งหญ้าตรงนั้นไม่มีหินสักก้อนเดียว
สุดท้ายนี้ นักวิชาการหลายๆคนยังเถียงกันไม่ตกว่า ตกลงแล้วสโตนเฮนจ์ถูกสร้างมาเพื่ออะไรกันแน่? แล้วสร้างได้ยังไง? เป็นเรื่องลึกลับให้พูดกันมาจนถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว
ก้อนหินโมเอรากิ , นิวซีแลนด์ (Moeraki Boulders , New zealand)
กองหินโมเอรากิบนหาดโคเอโคเฮ
ก้อนหินมากมายที่เหมือนกับเป็นไข่ของไดโนเสาร์เหล่านี้ มันคือก้อนหิน เพื่อนๆฟังไม่ผิดนะครับ มันคือก้อนหินจริงๆ
เจ้าพวกนี้เป็นก้อนหินที่อยู่ในบริเวณชายหาด โคเอโคเฮ (Koekohe) ทางตอนใต้ของประเทศนิวซีแลนด์ ก้อนหินเหล่านี้เป็นรูปครึ่งทรงกลมขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างจะกลมสมบูรณ์เรียงรายอยู่มากมาย มีขนาดตั้งแต่ 0.5-2.2 เมตร
ที่หินมันสวยแบบนี้ เพราะเกิดจากการที่หินดินดานถูกน้ำทะเลและทรายกัดเซาะจนมีรูปร่างที่เหมือนกับไข่ของตัวอะไรสักอย่างไปเลย
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีจำนวนก้อนหินเหล่านี้น้อยลง แต่ที่หาดนี่ก็ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมสุดฮิตที่ถ้าคุณไปนิวซีแลนด์ก็ต้องไปถ่ายมาสักรูปแน่ๆ
เกาะอีสเตอร์ , ชิลี (Easter island , Chile)
เหล่าโมอายบนเกาะอีสเตอร์
รอบนี้เราจะพาเพื่อนๆไปยังหนึ่งในเกาะที่ห่างไกลที่สุดในโลก เกาะราปานุย (Rapa Nui) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “เกาะอีสเตอร์” มันเป็นเกาะที่อยู่ในการดูแลของประเทศชิลี และห่างจากแผ่นดินแม่มาถึง 3,600 กิโลเมตร(โคตรจะไกลปืนเที่ยง) และมีประชากรเป็นชาวพื้นเมืองที่มีอยู่กันแค่ประมาณ 4,400 คนเท่านั้น
แต่ด้วยพื้นที่ของเกาะที่ขนาดแค่ 160 ตารางกิโลเมตร กลับพบว่ามันมีโบราณสถานมากกว่า 26,000 ตั้งอยู่บนเกาะแห่งนี้ และก็ไอ้โบราณสถานที่เยอะๆนี่แหละที่จะเป็นประเด็นให้เรามาพูดกัน เกี่ยวกับ...
“โมอาย” รูปสลักขนาดยักษ์สุดแสนจะอินดี้ เพราะมันถูกสร้างขึ้นโดยชาวพื้นเมืองของที่นี่ มีมากมายหลากหลายแบบ ทั้งแบบธรรมดาหรือแบบสวมหมวกแดงก็มี และที่สำคัญเลยมันตัวใหญ่และหนักมาก!!!
ด้วยขนาดของโมอายที่สูงกว่า 3 เมตร และหนักมากกว่า 3 ตัน ตั้งเป็นคำถามง่ายๆเลยว่า ใครเป็นคนทำมันขึ้นมากันแน่? แกะสลักมันมาเพื่ออะไร? ใช้เครื่องมืออะไร? และขนย้ายของหนักขนาดนี้ได้ยังไง?
เท่านั้นยังไม่พอ โมอายทุกตัวทั่วเกาะนั้น มีการระบุว่าถูกแกะสลักจากหินก้อนเดียวกันทั้งหมด ซึ่งหินก้อนนั้นมาจากเหมืองหินที่ปล่องภูเขาไฟ ราโน รารากู (Rano Raraku) ซึ่งอยู่บนเกาะนี้ เช่นกัน
แถมให้อีกนิดนึง สาเหตุที่ว่าทำไมที่นี่ถึงชื่อเกาะอีสเตอร์? เพราะว่าในอดีต ยาโคบ รอคเคเฟน (Jacob Roggeveen) นักสำรวจชาวดัตช์ ได้มาค้นพบที่นี่เมื่อวันที่ 5 เมษายน ปี 1722 ซึ่งมันดันตรงกับวันอีสเตอร์พอดี เลยเป็นที่มาของชื่อเกาะแห่งนี้
มหาพีระมิดแห่งกีซ่า , อียิปต์ (The great pyramid of giza , Egypt)
มหาพีระมิดแห่งกีซ่าและพีระมิดข้างเคียง
คราวนี้ขึ้นบกมายังทะเลทรายกันบ้าง มหาพีระมิดแห่งกีซ่า หรือ พีระมิดคูฟู เป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่เรายังสามารถหาดูได้จนถึงทุกวันนี้
ก่อนอื่นเลยต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า พีระมิดไม่ได้มีแค่ที่เดียวเท่านั้น มีการค้นพบและเจอพีระมิดมากมายมานานแล้วในอียิปต์ แต่ “มหาพีระมิดแห่งกีซ่า” ก็สมชื่อมันเลย
มันเป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในอียิปต์ และถูกใช้เป็นที่ฝังพระศพของ “ฟาโรห์คูฟู” ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่ 4 ของอียิปต์โบราณ ตามความเชื่อที่ว่า คนที่ตายไปแล้วจะคืนชีพกลับมาใหม่ได้ ก็เลยมีการทำมัมมี่ของท่านฟาโรห์และเก็บเอาไว้ในสถานที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา
อายุของมันก็มีการประมาณกันไว้ว่าจนถึงวันนี้ มันมีอายุประมาณ 4,500 ปีมาแล้ว ภายในพีระมิดจะเต็มไปด้วยห้องและกับดักต่างๆมากมายเพื่อปกป้องพระศพและสมบัติของฟาโรห์จากผู้บุกรุกภายนอก
ส่วนเรื่องที่คนยังเถียงกันอยู่ก็เห็นจะเป็นเรื่องวิธีการสร้างที่แห่งนี้ขึ้นมานั่นเอง คล้ายกับกรณีของโมอายและสโตนเฮนจ์ พวกนักวิชาการสงสัยกันมากว่า ชาวอียิปต์โบราณในยุคที่ยังไม่มีการคิดค้นแม้กระทั่งปั้นจั่นและล้อเลื่อน เลยไม่รู้ว่าพวกเขานั้น สร้างสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่และประณีตมากขนาดนี้ได้ยังไงกัน?
ล็อกเนสส์ , สก็อตแลนด์ (Loch ness , Scotland)
ทะเลสาบเนสส์
ล็อกเนสส์ หรือ ทะเลสาบเนสส์ เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในสก็อตแลนด์ ทะเลสาบแห่งนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง ป่าไม้ ต้นสน เนินหญ้า หน้าผาและหุบเขาที่งดงาม
แต่ความพิเศษของทะเลสาบแห่งนี้ไม่ใช่วิวทิวทัศน์ที่สวยเพียงอย่างเดียว มีหนึ่งตำนานที่ถูกเล่าขานกันมารุ่นสู่รุ่นเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนสส์ที่มีนามว่า “เนสซี่ (Nessie)”
รูปถ่ายที่เขาอ้างกันว่าเป็นรูป "เนสซี่"
เนสซี่ เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับแห่งทะเลสาบเนสส์ ที่เชื่อกันว่า มันเป็นไดโนเสาร์รูปร่างคล้ายเพลซิโอซอรัส มีผู้ที่อ้างว่าเห็นมันมาแล้วจนถึงปัจจุบันมากมายนับไม่ถ้วน เนสซี่นั้นมีรูปถ่ายมากมายจากผู้ที่พบเห็นมันมา แต่ก็ยังไม่เคยมีใครไปพิสูจน์ได้สำเร็จว่า ตกลงแล้วมันมีจริงๆรึเปล่า?
ทุกวันนี้ เรื่องราวของเนสซี่ก็ยังเป็นเรื่องลึกลับที่เป็นที่สนใจของคนทั้งโลก มีผู้ไปสำรวจและศึกษามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยหลักฐานของเนสซี่แบบจริงๆจังๆสักราย อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของมันก็สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลสก็อตแลนด์และชุมนุมใกล้เคียงเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากหลั่งไหลและแห่มาทัวร์ลงที่นี่กันเป็นประจำเพราะความดังของเนสซี่
สโลปพ้อยท์ , นิวซีแลนด์ (Slope point , New Zealand)
นี่คือต้นไม้ในบริเวณ slope point ข้างใต้ต้นไม้มีกระท่อมของคนที่เคยอยู่ ปัจจุบันมันกลายเป็นที่หลบภัยของเหล่าแกะไปเรียบร้อยแล้ว
รูปต้นไม้ที่ดูเหมือนจะโค่นนี้นั้น มันไม่ใช่ภาพตัดต่อนะคร้าบ และต้นไม้มันยังอยู่ดี
“สโลปพ้อยท์” เป็นพื้นที่ราบเล็กๆบนหน้าผาอันสูงชันตอนปลายสุดของเกาะทางตอนใต้ในประเทศนิวซีแลนด์
ซึ่งพื้นที่แห่งนี้ต้องคอยรับลมหนาวอันมหาศาลจากขั้วโลกใต้อยู่ตลอดเวลา
และนั่นทำให้มนุษย์แบบเราๆถ้าไม่เจ๋งจริงคงอยู่ไม่ได้แน่ๆ รวมถึงที่นี่ก็ไม่มีถนนตัดผ่านเข้ามาเลยทำให้การมาเยี่ยมชม เราจำเป็นต้องเดินเท้าต่อเข้ามาอีก 20 นาทีเลยทีเดียวเชียว
ถามว่าลมแรงขนาดนั้นเลยรึไง? คำตอบคือ ใช่ครับ ลมที่นี่มีความเร็วลมเฉลี่ยอยู่ที่ 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเร็วเท่ากับเวลาเราขับรถบนทางด่วนกันเลย
มันเลยเป็นเหตุผลที่ว่าที่นี่ไม่มีประชากรอาศัยอยู่มากว่า 20 ปีแล้ว
แต่แน่นอนว่าต้นไม้ไม่มีขา เพราะฉะนั้นมันจึงต้องปรับตัวให้ลำต้นเอียงแบบนี้เพื่อความอยู่รอดครับผม
ลายเส้นนาซกา , เปรู (The Nazca line , Peru)
ลายเส้นนาซการูปนกอันโด่งดัง
ลายเส้นลึกลับนี้ กินอาณาบริเวณกว่า 520 ตารางกิโลเมตรบนทะเลทรายนาซกา ในประเทศเปรู
ซึ่งการทำเส้นพวกนี้นั้น เกิดจากการตักเอาหินพื้นผิวสีแดงออกไป ทำให้เห็นผิวดินที่มีสีอ่อนกว่า และเมื่อมองลงมาจากบนท้องฟ้าจะทำให้เราเห็นลายเส้นนาซกาเป็นรูปร่างต่างๆ และมีมากมายหลายรูปด้วยนะ
ส่วนอันนี้เป็นรูปแมงมุม
แต่ด้วยขนาดของภาพที่ใหญ่โตมโหระทึกเอามากๆ เลยทำให้มีการตั้งข้อสงสัยกันว่าคนพื้นเมืองในอดีตที่นาซกาสามารถวาดภาพพวกนี้ให้มีความเป๊ะได้ยังไง? ทั้งๆที่พวกเขาไม่มีเครื่องมือ? ไม่มีแม้กระทั่งการคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่แม่นยำ ทำไมพวกเขาถึงสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์แบบนี้ขึ้นมาได้? และสร้างมาเพื่ออะไร?
แต่ยังไงก็แล้วแต่ สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่เที่ยวที่มีชื่อเสียงสุดๆแห่งหนึ่งของโลกไปแล้ว (บางทีอาจจะเป็นฝีมือของเอเลี่ยนก็ได้นะ)
ป่าสนโค้งงอ , โปแลนด์ (Crooked forest , Poland)
ป่าสนโค้งงออันสุดแสนพิสดาร
ป่าประหลาดนี้ตั้งอยู่ ทางตอนใต้ของ เชชเซ็น (Szczecin) ประเทศโปแลนด์ มันเป็นป่าที่มีต้นสนมากกว่า 400 ต้น และทุกต้นมีรูปร่างโค้งงอแบบที่เห็นในรูป เรียกได้ว่าโตท้าทายกฎธรรมชาติกันไปข้างนึง!
ชาวบ้านเชื่อกันว่า สนโค้งงอเหล่านี้ถูกปลูกขึ้นมาตั้งแต่ปี 1930 แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่ามันมีลักษณะโค้งงอเช่นนี้ได้อย่างไร? หรือมีใครเป็นคนปลูกและปลูกด้วยจุดประสงค์ใด? ซึ่งนี่เป็นปริศนามานานกว่าหลายสิบปีแล้วด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนออกมาบอกเล่าทฤษฎีเกี่ยวกับต้นไม้ในป่านี้ว่า มันอาจจะเกิดจากความผิดปกติของสนามโน้มถ่วงโลกบริเวณนั้น หรืออาจจะถูกพายุหิมะถล่มทับกันนานมากๆจนรูปร่างพวกมันโดนดัดไปและเสียรูปร่าง
ยังไงก็ตาม ป่าแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่เที่ยวแห่งสำคัญของโปแลนด์ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมป่าประหลาดนี้อย่างไม่ขาดสายเลย
น้ำตกอิเทอร์นัลเฟลม , สหรัฐอเมริกา (Eternal flame falls , United states)
น้ำตกไฟอมตะ เพราะไม่ม่ีวันดับ
อันนี้อาจจะไม่ค่อยพิศวง แต่มันน่าทึ่งมากเลยเอามาเล่าให้ฟังด้วยครับ
“น้ำตกอิเทอร์นัลเฟลม” เป็นน้ำตกขนาดเล็กๆ ในสวนสาธารณะเชสต์นัดริดจ์ (Chestnut Ridge park) ในมหานครนิวยอร์ก
ความพิเศษของน้ำตกนี่คือ บริเวณฐานด้านในม่านน้ำตก มีเปลวไฟลุกโชติช่วงอยู่ตลอดเวลา อันเกิดจากการทับถมของก๊าซธรรมชาติ ซึ่งบางครั้งอาจจะมีการดับไปชั่วครู่แต่ ไม่นานมันก็จะลุกไหม้ขึ้นมาใหม่
น้ำตกแห่งนี้ได้เป็นรับความสนใจจากผู้คนอย่างล้นหลาม จึงได้มีการปรับปรุงเส้นทางเข้ามาที่สวนครั้งใหญ่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ใครที่หมดไฟและอยากไปเติมไฟให้ชีวิต แนะนำที่นี่เลยครับไฟลุกตลอดเวลา
โบราณสถานใต้น้ำโยนากุนิ , ญี่ปุ่น (Yonaguni monument , Japan)
โบราณสถานใต้น้ำโยนากุนิ
แอตแลนติสแห่งญี่ปุ่น...โบราณสถานโยนากุนิ เป็นสิ่งก่อสร้างใต้น้ำขนาดยักษ์ บริเวณนอกชายฝั่งโยนากุนิ ทางตอนใต้ของเกาะริวกิว (Ryukyu island) ในประเทศญี่ปุ่น
สถานที่แห่งนี้ถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี 1987 โดยคุณ คิฮาจิโระ อาราทาเกะ (Kihachiro aratake) เขาค้นพบที่แห่งนี้จากการไปหาแหล่งดำน้ำเพื่อดูฉลามหัวค้อน แต่เขากลับเจอโบราณสถานที่ใหญ่สุดๆแห่งนี้
หลังจากที่มีการค้นพบที่แห่งนี้นั้น เหล่านักดำน้ำผู้ชื่นชอบการลงทะเลทั้งหลายต่างพากันมาเยือนที่นี่ ไม่ใช่แค่นั้น ที่แห่งนี้ยังมีการถ่ายทำและออกอากาศในรายการสารคดีอยู่หลายต่อหลายครั้ง
โบราณสถานแห่งนี้อยู่ใต้ทะเลลึกลงไปกว่า 25 เมตร ซึ่งมีชั้นหินขนาดใหญ่มากมายที่มีความชันลดหลั่นกันไป ดูแล้วคล้ายซากโบราณสถานเอามากๆ และหินในบางมุมมีการรองรับกันอย่างดี และบางส่วนคล้ายกับบันไดหรือช่องทางเข้าที่แบ่งระดับอย่างชัดเจน จึงทำให้หลายๆคนเชื่อว่า ที่แห่งนี้อาจจะเป็นเมืองที่จมลงสู่ใต้ทะเลเป็นแน่แท้
แต่ทุกวันนี้มันก็ยังมีคนมาโต้แย้งว่าที่แห่งนี้อาจถูกสร้างโดยธรรมชาติเองมากกว่า เพราะมีหลักฐานว่ารูปทรงเรขาคณิตแบบนี้ก็มีให้เห็นหลายๆที่ทั่วโลก แต่ส่วนใหญ่จะเชื่อกันว่ามันถูกสร้างโดยมนุษย์กันอยู่หลายคนเลย
ทุ่งไหหิน , ลาว (Plain of jars , laos)
ทุ่งไหหิน ที่เชียงขวาง
รอบนี้เรามาใกล้ๆบ้านเรากันบ้างอย่างลาว ที่นี่คือ “ทุ่งไหหิน” ซึ่งตั้งอยู ณ ที่ราบสูงเชียงขวาง ในประเทศลาว
มันประกอบไปด้วยหินรูปทรงไหนับพันชิ้น กระจัดกระจายไปทั่วที่แห่งนั้น
ทุ่งไหหิน ถูกค้นพบในปี 1930 ซึ่งที่นี่เขาเชื่อกันว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับการจัดงานศพของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์ และต่อมาได้มีการค้นพบอุปกรณ์ต่างๆซึ่งคาดว่าจะเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์ในยุคเหล็กอีกด้วย
อันที่จริง ไอ้การตั้งไหหินแบบนี้มีให้พบเห็นหลายพื้นที่ทั่วโลกนะครับ แต่ที่ทุ่งไหหินเนี่ย มีจำนวนมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
และในปี 2019 ท่านมาไม่นาน ทุ่งไหหิน ที่เชียงขวาง ก็ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกแล้วด้วย เนื่องจากเป็นแหล่งโบราณคดีที่มีอายุยาวนานมากกว่า 3,000 ปี และมีความสำคัญต่อการศึกษาประวัติศาสตร์มากๆ
Magnetic hill , อินเดีย
Magnetic hill
นี่เป็นหนึ่งในความเจ๋งและหล่อเท่ขั้นสุดของธรรมชาติ Magneti hill หรือ Gravity hill ตั้งอยู่ใน เลห์ ดาลักห์ (Leh Ladakh) ประเทศอินเดีย
มันเป็นเหมือนถนนที่วิ่งเข้าไปในภูเขาใหญ่ และถ้าหากเราจอดรถทิ้งเอาไว้ตรงที่เขากำหนด พร้อมกับดับเครื่องเพื่อให้รถอยู่นิ่งๆ เราจะเห็นราวกับว่ารถเรามันไหลขึ้นเขาเองได้โดยที่เราไม่ต้องเหยียบคันเร่งหรือเข็นรถแต่อย่างใด
ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้มีอะไรลึกลับหรือแปลกเลย มันแค่เกิดปรากฏการณ์ภาพลวงตาที่ทำให้เราเห็นเหมือนว่ารถกำลังขับขึ้นเขาไปเอง
เรียกได้ว่างานนี้ธรรมชาติสามารถหลอกตาเราได้แบบอยู่หมัดกันเลยทีเดียวเชียว
Deadvlei , นามิเบีย
Deadvlei โอเอซิสแห่งความแห้งแล้ง
Deadvlei หรือแปลเป็นไทยว่า “บึงที่ตายแล้ว” ที่นี่เป็นสถานที่สุดอัศจรรย์ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศนามิเบีย ประเทศที่อยู่ในบริเวณแอฟริกาใต้ ซึ่งที่นี่ตั้งอยู่บนพื้นที่ลุ่มสีขาว และไม่มีหญ้าหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอะไรเลยนอกจากซากต้นไม้ตาย (สมชื่อบึงตายแล้ว)
เมื่อนานมาแล้ว ที่แห่งนี้เคยมีแม่น้ำไหลผ่านและพืชพันธุ์นานาชนิดที่เจริญเติบโต
แต่กาลเวลาผ่านไปได้มีเนินทรายเคลื่อนตัวเข้ามาขัดขวางทางแม่น้ำไหลผ่านคืนแล้วคืนเล่า และประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ทำให้ไม่มีฝนตกอีกเลยตลอดทั้งปี นั่นจึงทำให้สิ่งมีชีวิตที่นี่พากันตายลงและกลายมาเป็นโอเอซิสแห่งความห้งแล้งแบบที่เห็น
หลุมแก๊สดาร์วาซา , เติร์กเมนิสถาน (Darvaza gas crater , Turkmenistan)
หลุมแก๊สดาร์วาซาที่กำลังลุกไหม้
ที่แห่งนี้มีเกิดขึ้นมาเพราะฝีมือมนุษย์นะครับ “หลุมแก๊สดาร์วาซา” ตั้งอยู่ในจังหวัดอาฮาล ประเทศเติร์กเมนิสถาน โดยที่นี่ในตอนแรกไม่ได้มีไฟลุกแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่แอ่งเก็บก๊าซธรรมชาติที่เพดานพังถล่มลงมาเฉยๆ และกลายเป็นหลุมแก๊สที่มีความกว้างกว่า 69 เมตร และลึกถึง 30 เมตร
แต่ในปี 1971 ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เพราะมีนักธรณีวิทยาคนนึงได้ใช้วิธีจุดไฟเพื่อกำจัดแก๊สมีเทนที่ออกมาจากหลุมและคาดว่าไม่นานมันคงจะดับ
แต่มันกลับลุกโชติช่วงและเผาไหม้ยาวนานมากจนตอนนี้ผ่านมา 50 ปีแล้ว เจ้าหลุมแห่งนี้ก็ยังเผาไหม้ต่อไปเรื่อยๆไม่มีวี่แววว่าจะมอดดับแต่อย่างไร
ซึ่งในปัจจุบันมันกลายเป็นสถานที่เที่ยวอันโด่งดัง และผู้คนต่างขนานนามมันว่า “ประตู่สู่ขุมนรก” (ชื่อเท่จัด!)
Salar de uyuni , โบลิเวีย
ซาลา เด อูยูนิ
สีขาวละลานตา เม็ดเกลือที่พื้นได้สาดแสงจากดวงอาทิตย์จนกลายเป็นสีขาว นี่เป็นภาพที่สวยงามสุดๆของ ซาลา เด อูยูนิ ในประเทศโบลิเวีย ทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ด้วยพื้นที่คลอบคลุมกว่า 10,000 ตารางกิโลเมตร พร้อมด้วยปริมาณเกลือไม่ต่ำกว่าร้อยล้านตัน ทะเลเกลือแห่งนี้ได้พาเราหลุดเข้าไปกับความยิ่งใหญ่และสวยงามของมัน
ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่า อาณาบริเวณแห่งนี้ เคยเป็นที่ตั้งของทะเลสาบมาก่อน เมื่อเวลาของโลกเดินไปเรื่อยๆ น้ำในทะเลสาบได้แห้งเหือดไปนานมาก นานจนหมด และกลายมาเป็นทะเลเกลือแห่งนี้
แนะนำว่าให้ไปในวันที่ฝนพึ่งตกไม่นานนักนะครับ เพราะน้ำบนทะเลเกลือจะสะท้อนแสงอาทิตย์ราวกับเป็นผืนกระจก และทำให้ท้องฟ้ากับผืนดินดูเหมือนเป็นแผ่นเดียวกันเลย
ตอนมีน้ำขังแล้วแสงส่อง นึกว่าไม่มีพื้นแล้ว
เป็นยังไงกันบ้างกับสถานที่สุดพิศวงที่ผมเอามาฝากกันในวันนี้ครับ ถ้าใครชอบก็อย่าลืมกดติดตามเพจนี้👍 เพื่อรอรับเรื่องราวมีสาระจากเราได้นะครับ รับรองเพื่อนๆจะได้เรื่องราวดีๆอีกเพียบ😎 สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อนนะคร้าบ บ้าย บาย...
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลดีๆด้วยครับ:
โฆษณา