11 มิ.ย. 2021 เวลา 05:58 • ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์มนุษย์ฉบับย่อยง่ายมาก
สวัสดีครับเพื่อนๆ ผม "เขียนเรื่อยๆ...แต่มีสาระ" วันนี้จะพาทุกคนไปพบกับความเป็นมาของมนุษย์อย่างพวกเรากัน ว่าตั้งแต่อดีตกาลก่อนที่มนุษย์จะถือกำเนิดขึ้นและเราผ่านเรื่องราวอะไรมากันบ้าง ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลย
การแบ่งยุคของประวัติศาสต์
โดยทั่วไปนั้นการแบ่งยุคสมัย เขาจะจำแนกออกเป็น 2 ยุคใหญ่ๆครับ คือยุคก่อนประวัติศาสต์ กับ ยุคประวัติศาสตร์
โดยในยุคก่อนประวัติศาสตร์ จะเป็นยุคที่ผู้คนจะยังไม่มีตัวอักษรในการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆเอาไว้ ซึ่งจะประกอบไปด้วย ยุคหินเก่า และ ยุคหินใหม่
ส่วนหลังจากนั้นก็จะเป็นยุคประวัติศาสตร์ ซึ่งมนุษย์จะมีภาษาและตัวอักษรในการจดบันทึกและพูดคุยกันแล้ว ยุคประวัติศาสตร์ที่ว่ามาก็จะได้แก่ ยุคโบราณ , ยุคกลาง , ยุคใหม่ , และยุคร่วมสมัย
กำเนิดมนุษย์
หลายๆคนคงจะรู้กันแล้วว่ามนุษย์อย่างพวกเราสืบเชื้อสายมาจากลิงชิมแปนซี และต่อมาเมื่อประมาณ 5 ล้านปีที่แล้วในบริเวณทวีปแอฟริกา ได้มีสิ่งมีชีวิตที่คาดว่าจะเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เราถือกำเนิดขึ้นมา
"ออสตราโลพิเทคัส" (Australopithecus) เป็นชื่อสายพันธุ์ของวานรไร้หางที่เดินสองขาได้ตัวแรกของโลก แต่ยังมีขนาดสมองใกล้เคียงกับลิงอุรังอุตังเท่านั้น
โดยออสตราโลพิเทคัสที่มีชื่อเสียงมากคนนึงของโลกเรานั้น ก็คือ "ลูซี่" เธอมีชีวิตอยู่ในช่วง 3-3.9 ล้านปีก่อน โดยซากฟอซซิลของลูซี่ปัจจุมันถูกเก็บรักษาอยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของเอธิโอเปีย และเชื่อกันว่าเธออาจจะเป็นมนุษย์คนแรกๆของโลก
ป้าลูซี่ ตัวจำลองที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของเอธิโอเปีย
ต่อมาได้กำเนิดมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ เช่น Homo habilis สายพันธุ์ที่เริ่มรู้จักการทำเครื่องมือหินกะเทาะ และเมื่อมีเครื่องมือแล้ว มนุษยชาติก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคหินเก่าเป็นครั้งแรก
----ยุคก่อนประวัติศาสตร์----
ยุคหินเก่า (Paleolithic Period)
ในยุคหินเก่าได้กำเนิดการมีอยู่ของ Homo erectus ซึ่งเป็นบรรพบุรุษสายตรงของ มนุษย์ในปัจจุบันอย่างพวกเรา สายพันธุ์ที่ว่านี้ก็ได้แก่ มนุษย์ชวา และ มนุษย์ปักกิ่ง ที่เคยค้นพบไป
ภาพจำลองวิวัฒนาการมนุษย์
Homo erectus เริ่มรู้จักการทำขวานและใช้ถ้ำในการอยู่อาศัย และที่สำคัญพวกเขาสามารใชhไฟได้!!!
จนในที่สุดมนุษย์ก็ได้วิวัฒนาการไปเป็น Homo sapiens สายพันธุ์ของมนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งได้เริ่มถือกำเนิดขึ้นมาในปลายยุคหินเก่า เริ่มมีการประดิษฐ์เครื่องมือที่ดีขึ้น ทั้ง มีด , ขวาน , จอบ , ค้อน , และอีกมากมาย
เครื่องมือยุคหินอย่างง่ายที่ขุดพบในตะวันออกกลาง
ยุคหินใหม่ (Neolithic Period)
เป็นช่วงรอยต่อก่อนจะเข้าสู่ยุคโลหะ มนุษย์เริ่มที่จะอาศัยอยู่เป็นหมู่บ้าน เริ่มรูจักการทำเกษตร อย่างการปลูกข้าวสาลีหรือผักชนิดต่างๆไว้เป็นอาหาร มีการเลี้ยงสัตว์ รู้จักทอผ้าและทำเครื่องประดับ
ภาพจำลองการใช้ชีวิตของมนุษย์ยุคหินใหม่
นั่นจึงทำให้สังคมของมนุษย์เริ่มใหญ่ขึ้นและเปลี่ยนจากอดีตที่เน้นการล่าสัตว์และเร่ร่อน ให้มาอยู่เป็นหลักแหล่งมากขึ้นด้วย มีหลักฐานการสร้างที่พักถาวรมากมาย ทั้งบ้านดินเหนียวละกระท่อมดินที่มักจะตั้งบริเวณลุ่มแม่น้ำ
สภาพสังคมของมนุษย์ก็เริ่มที่จะมีการแลกเปลี่ยนสิ่งของซึ่งกันและกัน ทำให้มนุษย์เริ่มรู้จักการมีปฏิสัมพันธ์และอยู่ร่วมกันมากขึ้นอีกด้วย
ยุคโลหะ (Metal age)
และแล้วเมื่อเข้าสู่ยุคโลหะ มนุษย์ก็ได้รู้จักกับ "ทองแดง" และนำมาหลอมเป็นเครื่องมือใช้งานกันอย่างแพร่หลาย
มีหลักฐานว่า บริเวณลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส เริ่มมีการนำทองดงมาใช้ประโยชน์กันเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล
ไม่ได้มีแค่ทองแดงเท่านั้น มนุษย์ยังได้รู้จักกับ "สำริด" ซึ่งเกิดจากการผสมกันของทองแดงและดีบุก และยุคที่มีสำริดนี้เองความเป็นอยู่ของมนุษย์ก็เริ่มไฮโซมากขึ้น เกษตรกรรมขยายตัวใหญ่มากกว่าเดิม มีการจัดระเบียบสังคมตามกลุ่มอาชีพ การแบ่งชนชั้นต่างๆ และที่สำคัญ มนุษย์เองเริ่มมีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้นหลายเท่าตัว
กลองมโหระทึกที่ทำจากสำริด
เกราะสำริด
จุดที่พีคที่สุดของยุคโลหะคือการค้นพบ "เหล็ก" เมื่อมนุษย์ผลิตเครื่องมือจากเหล็กได้ สังคมเมืองของมนุษย์เลยเริ่มขยายสู่การเป็นรัฐ เพราะการผลิตเหล็กได้ นั่นแปลว่าสามารถสร้างอาวุธได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ต่อมาได้มีสิ่งที่เรียกว่ากองทัพและมีการต่อสู้เพื่อเข้ายึดครองดินแดนและสังคมอื่นๆ จนเกิดการขยายอาณาจักรขึ้น
และสิ่งที่เปลี่ยนโลกไปอีกหนึ่งอย่างคือการประดิษฐ์อักษรใช้ มนุษย์สามารถจดบันทึกความรู้และเรื่องราวต่างๆที่พวกเขารู้ได้ด้วยตัวอักษร ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์อย่างเต็มตัว
----ยุคประวัติศาสตร์----
ยุคโบราณ (Ancient age)
หลังจากเจริญรุ่งเรืองในความรู้ถึงขีดสุด หลังจากมนุษย์ได้มีภาษาใช้กันแล้ว โลกได้เข้าสู่ยุคแห่งความศิวิไลซ์เป็นครั้งแรก
ด้วยการไปตั้งถื่นฐานตามลุ่มแม่น้ำต่างๆจนเกิดเป็นอารยธรรมมากมาย ซึ่งทุกๆที่ต่างมีความสำคัญต่อโลกของเราอย่างถึงที่สุด เพราะเป็นจุดกำเนิดของวิทยาการ,ศิลปะ,ปรัชญา,และความรู้แขนงอื่นๆอีกมากมาย
โดยอารยธรรมยุคโบราณ ที่แรกของโลกคือ "เมโสโปเตเมีย"
เมื่อประมาณ 3,200-2,300 ปีก่อนคริสตกาล บริเวณแม่น้ำไทกริส "อาณาจักรสุเมเรียน" (Sumerian) พวกเขาได้ทำการสร้างอักษร "คูนิฟอร์ม" (Cuneiform) อักษรรูปลิ่ม ซึ่งเป็นการสร้างตัวอักษรครั้งแรกของมนุษยชาติ
แผ่นดินเหนียวจารึกอักษรคูนิฟอร์ม
มี "ซิกกูแรต" ซึ่งเป็นวิหารทางศาสนา การพัฒนาเกษตกรรม ความเจริญทางคณิตศาสตร์ซึงพวกเขารู้จักการ บวก ลบ คูณ หาร และการถอดรากกำลังสองกันแล้ว
ซิกกูแรตแห่ง
และสำคัญที่สุด พวกเขามีประมวลกฏหมายแรกของโลก "ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี" ซึ่งว่าด้วยหลักตาต่อตา ฟันต่อฟัน
แท่งหินสลักที่เชื่อกันว่าเป็นพระเจ้าฮัมมูราบีี
และอารยธรรมที่เจริญก็ไม่ได้มีแค่ที่เมโสเท่านั้น
อารยธรรมไอยคุปต์ หรือ อียิปต์โบราณ เป็นอารยธรรมในลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ เมื่อประมาณ 3,500-31 ปีก่อนคริสตกาล
พวกชาวอียิปต์ได้สร้างสิ่งที่เป็น ประโยชน์ต่อโลกเอาไว้มากมายเช่นกัน ทั้ง การวางแผนการทำเกษตรและการป้องกันน้ำท่วม การทำปฏิทินแบบสุริยคติที่ 1 ปี มี 365 วัน การพัฒนาของวิชาเรขาคณิตละพีชคณิตแบบก้าวกระโดด รวมถึงความรู้ทางด้านการแพทย์จากการทำมัมมี่และความรู้ทางดาราศาสต์อีกเพียบ
อักษรเฮียโรกลิฟิก
พีระมิดแห่งกีซา พีระมิดที่ใหญ่ที่สุด
อารยธรรมอินเดีย เป็นอารยธรรมบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ ซึ่งครอบคลุมประเทศ อินเดีย , ปากีสถาน , บังกลาเทศ , เนปาล , และบางส่วนของอัฟกานิสถาน
มีซากเมืองโบราณของอารยธรรมนี้ที่โด่งดังมากอยู่ 2 ที่ คือ "เมืองโมเฮนโจ ดาโร" และ "เมืองฮารัปปา" ทั้งสองที่มีการวางผังเมืองอย่างดีและมีระเบียบ ถนนกว้าง และบ้านทุกหลังสร้างด้วยอิฐอย่างปราณีต มีห้องน้ำและระบบประปา สันนิษฐานว่านี่เป็นอารยธรรมของชาว ฑราวิก หรือ ดราวิเดียน
เมืองโมเฮนโจดาโร บริเวณนี้คาดว่าเคยเป็นโรงอาบน้ำ
ประติมากรรมชายมีเครา ของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ
พอถัดมาในยุคพระเวท หลังจากการปกครองของชาวอินโดอารยัน ศาสนาพราหมณ์ ได้มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและวรรณกรรมของพวกเขา ศาสนาได้มีผลต่อสังคมและมีระบบการแบ่งชนชั้นวรรณะเกิดขึ้นมา รวมทั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในขั้นสูง
อารยธรรมจีน ถือกำเนิดในลุ่มแม่น้ำฮวงโห ชาวจีนเริ่มเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์จากการใช้ตัวอักษรภาพบนกระดูุกสัตว์หรือกระดองเต่า
อักษรภาพบนกระดองเต่า
ราชวงค์ชางซึ่งเป็นราชวงค์แรกของจีน เมื่อประมาณ 1,776-1,122 ปีก่อนคริสตกาล พวกเขามีการปกครองแบบนครรัฐเป็นครั้งแรก และมีความเชื่อเรื่องการบูชาบรรพบุรุษ
จีนในยุคนั้นมีความเจริญในด้านปรัชญา จัดเป็นยุคร้อยสำนักเลยก็ได้ นักปราชญ์ดังๆก็มีกันมากมายทั้ง ขงจื๊อ หรือ เล่าจื๊อ เป็นต้น
ภาพเขียนขงจื๊อโดยจิตรกรสมัยราชวงศ์ถัง
อีกทั้งยังมีการใช้เหรียณกษาปณ์ , ภาษาเขียน , มาตราชั่งตวงวัด ที่เหมือนกันทั่วราชอาณาจักรอีกด้วย
อารยธรรมกรีก ซึ่งเป็นอารยธรรมที่เกิดจากการรวมตัวของวัฒนธรรมของบริเวณทะเลอีเจียนและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแถบๆนั้นเข้าด้วยกัน เมื่อประมาณ 800-146 ปีก่อนคริสตกาล
วิหารพาร์เธนอนแห่งกรุงเอเธนส์
มีแนวคิดของคำว่า ประชาธิปไตย เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก อีกทั้งชาวกรีกยังมีค่านิยมในการยกย่องความคิดปรัชญาและเสรีภาพ ทำให้มีนักปราชญ์เกิดขึ้นมาเยอะแยะมากมาย เช่น อริสโตเติล , เพลโต , เฮโรโดตัส , โซคราติส , และอีกหลายๆคน
อริสโตเติล
เพลโต
ส่วนอารยธรรมยุคโบราณที่สุดท้ายที่สำคัญก็คือ อารยธรรมโรมัน เมื่อประมาณ 509 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงปี ค.ศ. 476
พวกเขามีการปกครองบบสาธารณรัฐ มีการสร้าง สถานอำนวยความสะดวกทางสังคมเพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ เช่น วิหาร , สุสาน , โรงมหรสพ , สนามกีฬา ทั้งนี้ศิลปะการสร้างในยุคโรมัน ไม่ได้เป็นงานของพวกเขาเอง แต่เป็นการต่อยอดผลงานจากอารยธรรมกรีกแทน
โคลอสเซียมแห่งกรุงโรม
จักรวรรดิโรมัน (Roman empire) ได้แผ่ขยายอำนาจออกไปกว้างขวาง ด้วยความสามารถของ จูเลียส ซีซาร์ (julius caesar) ทำให้อำนาจของจักรวรรดิขยายออกไปไกลมากๆ
รูปปั้นครึ่งตัวซีซาร์ในพิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติเนเปิลส์
อีกทั้งในยุคนี้ได้มีการกำเนิดเกิดขึ้นของ "ศาสนาคริสต์" ศาสนาที่รุ่งเรืองที่สุดศาสนาหนึ่งในโลก และมีอิทธิพลต่อโลกมากที่สุดศาสนานึง
"พระกระยาหารมื้อสุดท้าย" โดยเลโอนาร์โด ดา วินชี (ค.ศ. 1498)
หลังจากมีการพัฒนามาในระดับนึงแล้ว มนุษย์ก็กำลังจะเดินทางเข้าสู่การผลัดเปลี่ยนของยุคสมัยไปอีกครั้ง...
ยุคกลาง (Middle age)
"ยุคกลาง" หรือมีอีกชื่อว่า "ยุคมืด" (Dark age) คือยุคที่เป็นศูนย์กลางของประวัติศาสตร์ตะวันตก ตั้งแต่ช่วงคริสตศตวรรษที่ 5 ถึง คริสตศตวรรษที่ 15
โดยจุดเริ่มต้นของยุคกลางจะเริ่มนับจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกอันยิ่งใหญ่ ในปี ค.ศ.476 จากการถูกรุกรานโดยเผ่าเจอร์มานิค (Germanic Tribe) ดินแดนยุโรปจึงถูกแบ่งออกเป็นหายๆอาณาจักร เกิดความวุ่นวายในทุกๆด้านทั้งเศรษฐกิจและสังคมการปกครอง
เหล่าชาวเผ่าไร้อารยธรรม บุกเข้าทำลายกรุงโรม ของโรมันตะวันตก
ที่เราเรียกกันว่ายุคมืด เพราะว่าหลังจากการมาปกครองของเหล่าชนเผ่าน้อยใหญ่ในยุโรป ความรู้ของโรมันและอารยธรรมอื่นๆได้ถูกหยุดเอาไว้และไม่มีการพัฒนาต่ออีกเลย
ในเวลานั้น "ศาสนจักร" คือศูนรวมจิตใจและมีสิทธิ์ในการที่จะควบคุมความเป็นไปของทุกๆอย่างได้
ภาพของ พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 1 ในศตวรรษที่ 12
ช่วงคริสตศตวรรษที่ 8 ในยุคกลางนั้นเองก็ได้เกิดศาสนาสำคัญของโลก คือ "อิสลาม" ณ บริเวณประเทศซาอุดิอาระเบีย
กรุงเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย สถานที่ที่ชาวมุสลิมต้องไปครั้งหนึ่งในชีวิต
ฝั่งยุโรปได้เริ่มใช้ระบอบการปกครองแบบ "ศักดินาสวามิภักดิ์" (Feudalism) เอาแบบง่ายๆมันก็คือการปกครองที่เน้นให้กษัตริย์กระจายอำนาจการปกครองที่ดินไปให้ยังขุนนาง(lord) เพื่อปกครองคนในพื้นที่เป็นทอดๆ
จิตรกรรมอัศวินโรแลนด์ สาบานตนจงรักภักดีต่อจักรพรรดิชาร์เลอมาญ
แต่กลับกันในเอเชียกลับเป็นยุคทองของชาวจีน ประเทศจีนเริ่มเข้าสู่ยุคของราชวงค์สุยและถัง ซึ่งเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดยุคนึง และสมเด็จพระนางบูเช็กเทียนชื่อดังก็อยู่ในยุคนี้ด้วย
จักรพรรดินีบูเช็กเทียน
ทางด้านของศาสนาอิสลาม พวกเขาได้ขยายอำนาจออกไปและเริ่มยึดดินแดนต่างๆ "ราชวงค์อับบาสิยะฮ์" (The Abbasid Dynasty) ได้ถือกำเนิดขึ้น และชาวอิสลามได้เข้ายึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลของจักรวรรดิโรมันตะวันออกได้สำเร็จ
ราชวงค์อับบาสิยะฮ์ ณ กรุงแบกแดด
ในขณะเดียวกันทางด้านของจีนได้มีการคิดค้นสิ่งที่สำคัญต่อโลกมากออกมา นั่นก็คือ "ดินปืน" ซึ่งจะกลายเป็นอาวุธชิ้นสำคัญที่จะแพร่หลายในอนาคต
ทางด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขมร หรือ กัมพูชา ได้เข้าสู่ยุคพระนคร ซึ่งเป็นยุคที่ใช้นครวัดเป็นศูนย์กลางของการกระจายอำนาจต่างๆ
นครวัด ประเทศกัมพูชา
ผ่านไปอีก 100 ปี ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ได้มีการกำเนิดขึ้นของเผ่า "ไวกิ้ง" (Viking) และเริ่มแพร่กระจายอำนาจไปยังบริเวณทางตอนบนของยุโรปกับอีกหลายๆพื้นที่
นักรบไวกิ้ง
และก็ผ่านไปอีก 200 ปี ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 ฝั่งยุโรปได้กำลังเริ่มการปะทะกันเล็กๆจากการแบ่งแยกนิกายของศาสนาคริสต์ระหว่าง "นิกายคาทอลิก" กับ "นิกายออร์โทดอกซ์" เกิดขึ้น
และประเทศอังกฤษ Wiliam the conqueror หรือ "วิลเลียมผู้พิชิต" ได้เข้ามายึดและปกครองประเทศอังกฤษพร้อมกับก่อตั้งราชวงค์นอร์มังดี
พระสาทิสลักษณ์พระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิต โดยศิลปินนิรนาม คริสต์ศตวรรษที่ 17
ส่วนฝั่งยุโรปตอนกลางก็เริ่มวุ่นวายหนักขึ้นเพราะ ชาวคริสต์และชาวมุสลิมเริ่มประกาศสงครามครูเสดอย่างเป็นทางการ เนื่องจากชาวคริสต์ต้องการทวงคืนเยรูซาเล็มจากชาวมุสลิม
ภาพกรุงเยรูซาเลมในสงครามครูเสดครั้งแรก
ในฝั่งตะวันออก ณ ประเทศญี่ปุ่นได้เกิดสิ่งสำคัญที่เป็นมรดกทางวรรณกรรมชิ้นสำคัญขึ้นมา นั่นก็คือ "เก็นจิ โมโนกาตาริ" นวนิยายรักที่คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องแรกของโลกได้เกิดขึ้น
ม้วนภาพประกอบนิยาย "เรื่องเล่าของเกนจิ"
คริสต์ศตวรรษที่ 12 ศาสนาอิสลามเข้ามามีอำนาจเหนืออินเดียได้ในที่สุด มีการบุกเข้ามาทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งสำคัญจนพังพินาศ
โบราณสถานในนาลันทา
ส่วนสงครามครูเสดก็ยังเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และเป็นระลอกนับมาร่วมเกือบร้อยปีแล้ว
คริสต์ศตวรรษที่ 13 จักรวรรดิมองโกลได้ขยายอำนาจขึ้นด้วยการนำของ เจงกิสข่าน
แต่ว่ามองโกลได้รุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคของ กุบไลข่าน ซึ่งเป็นหลาน พร้อมกับสามารถยึดครองจีนได้สำเร็จ ทำให้จีนเข้าสู่ยุครางวงค์มองโกล หรือก็คือ ราวงค์หยวน
พระบรมสาทิสลักษณ์ของกุบไล ข่าน
ในเวลาเดียวกัน ชายชาวอิตาลีนามว่า มาร์โค โปโล เริ่มออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ จนมาถึงประเทศจีนและได้บันทึกเรื่องราวการเดินทางเอาไว้ทั้งหมด ซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของโลก
ภาพวาดมาร์โค โปโล
ในอังกฤษมีการเกิดขึ้นของ Magna Carta Libertatum เป็นกฎบัตรของอังกฤษ ในสมัยพระเจ้าจอห์น ซึ่งจะแบบอย่างและนำไปสู่กฏหมายที่พระมหากษัตริย์ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและไม่มีสิทธิ์เหนือกฏหมาย
Magna carta กฏบัตรใหญ่แห่งอิสรภาพ
คริสต์ศตวรรษที่ 14 จีนได้มีนวนิยายชื่อดังกระฉ่อนโลกอย่าง "สามก๊ก" เกิดขึ้น (ในความเป็นจริงประวัติศาสตร์ในสามก๊กเกิดก่อนมานานแล้ว แต่เพิ่งจะเขียนนิยายกันในปีนี้)
หน้าหนึ่งของ "สามก๊ก" ฉบับตีพิมพ์ ในปี ค.ศ.1593
เกิดสงครามร้อยปี ระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งทำให้เกิดวีรสตรีชื่อดังอย่าง "โจน ออฟ อาร์ค" (Joan of Arc)
"โจน ออฟ อาร์ค" ในยุทธการที่ออร์เลออง
รวมทั้งยังเกิดเหตุการณ์ Black death หรือ กาฬโรค ซึ่งแพร่ระบาดไปทั่วยุโรป จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ชาวยุโรปตายไปประมาณ 40% ของประชากรทั้งหมดในเวลานั้น
ภาพวาดของหมอกาฬโรคในยุคกลาง
หลังจากเกิดเหตุการณ์ต่างๆมากมาย ชาวยุโรปหลายคนเริ่มเคลือบแคลงใจในการทำงานของศาสนจักร เกิดความแตกแยกกันภายในและความปั่นป่วนของการปกครองที่ผู้คนหลายคนเริ่มไม่ให้ความเชื่อถือพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
และในช่วงต้น คริสต์ศตวรรษที่ 15 การค้าขายตามหัวมืองต่างๆทั่วยุโรปเริ่มมีมากขึ้น เกิดชนชั้นกลางอย่าง พ่อค้า , แพทย์ , ครู , นักกฎหมาย , นักปรัชญา รวมทั้งการปกครองด้วยระบบศักดินาถูกลดความสำคัญลง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มนุษยชาติเริ่มย่างเท้าเข้าสู่ยุคสมัยใหม่
ยุคใหม่ (Modern age)
Renaissance หรือแปลไทยคือ "การฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ" เป็นยุคที่ผู้คนริ่มกลับมาและฟื้นฟูความรู้ดั้งเดิมในทุกๆด้านที่เคยหายไป ตั้งแต่สมัยกรีก-โรมัน เมื่อนานมาแล้ว ทำให้ยุคกลางของยุโรปสิ้นสุดลง
ยุคเรอเนซองซ์ คือ ช่วงเวลาที่ชาวยุโรปหันมาศึกษาวิทยาการต่างๆ ของกรีกและโรมันกันมากขึ้น
ส่วนฝั่งจีนเอง ราชวงค์หยวนก็ได้สิ้นสุดและเข้าสู่ยุคราชวงค์หมิง และมีบุคคลสำคัญของจีนที่ออกเดินทางไปทั่วโลกผ่านเรือสำเภา เขาคือ "เจิ้ง เหอ"
ภาพวาดของ เจิ้ง เหอ โดยศิลปินนิรนาม
หลังจากหมดยุคกลางมาไม่นาน ในยุโรปได้มีนักประดิษฐ์คนสำคัญของโลก "โยฮันเนส กูเทนเบิร์ก" (Johannes Gutenberg) เขาคือคนที่ประดิษฐ์แท่นพิมพ์หนังสือเครื่องแรกของโลกที่เป็นแบบใหม่ และในยุโรปเริ่มมีหนังสือแจกจ่ายความรู้กันแล้ว
โยฮันเนส กูเทนเบิร์ก กำลังตรวจงานในโรงพิมพ์ของเขา
สงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสได้ยุติลง กรุงคอนแสตนติโนเปิลของโรมันตะวันออกตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของ "จักรวรรดิออตโตมัน" ของชาวมุสลิม ซึ่งส่งผลให้ชาวยุโรปไม่สามารถเดินทางไปค้าขายกับอินเดียทางบกได้อีก
ชาวเติร์กบุกยึดครองกรุงคอนสตนติโนเปิลของโรมันตะวันออก
ทำให้ทางยุโรป ต้องเสาะแสวงหาการเดินทางไปอินเดียผ่านทางทะเล โดยผู้ที่เป็นดั่งไอดอลของวงการนี้คือ "คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส"
ภาพเหมือนของโคลัมบัส วาดหลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว
แต่แทนที่เขาจะไปเจออินเดีย เขากลับค้นพบโลกใหม่ซึ่งก็คือทวีปอเมริกา และในตอนนั้นอารยธรรมอินคาในอเมริกาใต้กำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุดอีกด้วย
มาชูปิกชู เมืองลอยฟ้าของชาวอินคา
คริสต์ศตวรรษที่ 16 เริ่มมีผลงานที่มีชื่อเสียงของโลกมากมายจากเหล่าศิลปินสุดหล่อเท่ในช่วงเวลานั้น เช่น รูปสลักเดวิด ของไมเคิลแองเจโล
รูปสลัก "เดวิด" โดยไมเคิลแองเจโล
รูปโมนาลิซ่า ของลีโอนาร์โด ดา วินชี
ภาพวาด "โมนาลิซา" โดยลีโอนาร์โด ดา วินชี
หลังจากการค้นพบอเมริกาไม่นานนัก ชาวยุโรปบางส่วนได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่นั่น และเริิ่มมีการส่งทาสผิวสีไปยังอเมริกาด้วย ซึ่งทาสเหล่านี้คือ ชาวพื้นเมืองแอฟริกาที่ถูกรุกรานและจับมาขายเป็นทาสทอดตลาด
การค้าทาสครั้งแรกในเวอร์จิเนีย ปี 1619
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง "มาร์ติน ลูเธอร์" ศาสตราจารย์ด้านเทววิทยาและนักเขียน ได้แสดงความไม่พอใจต่อศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกขึ้นมา และเขาได้ทำการ "ปฏิรูปศาสนา" จนทำให้เกิดศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนต์ขึ้นมา
มาร์ติน ลูเธอร์
ในอังกฤษเองได้เข้าสู่ยุคการปกครองของ "สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1" ซึ่งเป็นยุคที่กองเรือของอังกฤษรุ่งเรืองที่สุด
พระบรมสาทิศลักษณ์ "สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1" ปี 1575
และในยุคเดียวกันนั้นเอง ก็เกิดกวีคนสำคัญของโลกอย่าง "วิลเลียม เช็กสเปียร์" ผลงานอมตะตลอดกาลของเขาก็คือ โรมิโอ&จูเลียต และ เวนิสวาณิช กับอีกหลายๆเรื่อง
ภาพวาดวิลเลียม เชกสเปียร์ ไม่ปรากฏชื่อศิลปิน ตั้งอยู่ที่หอศิลป์ภาพบุคคลแห่งชาติ กรุงลอนดอน
หลังจากการปฏิรูปศาสนาไม่นาน พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 13 ได้ประกาศใช้ปฏิทินเกรกอเรียน ซึ่งเป็นปฏิทินแบบที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ปฏิทินทางการชิ้นแรกของโลก
ทางด้านอินเดียเองก็ได้มีการผลัดเปลี่ยนราชวงค์ ทำให้ราชวงค์โมกุล ของพระเจ้าอักบาร์มหาราช ขึ้นปกครองอินเดีย
พระเจ้าอักบาร์มหาราช
ที่ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุค "เซ็นโงคุ" ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของ โอดะ โนบุนากะ และเวลาเดียวกันนี้เอง จะตรงกันกับช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1
ภาพวาด โอดะ โนบุนากะ ในศตวรรษที่ 16
เกิดการเดินทางของชาวยุโรปไปทั่วโลก เข้าสู่ยุคการล่าอาณานิคม (Colonialism) เช่น สเปนได้ไปที่อเมริกาใต้และยึดอาณาจักรอินคา
การรุกรานอเมริกาใต้ของสเปน
ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 เริ่มที่ญี่ปุ่นกันก่อน พวกเขาได้ออกจากยุคเซ็นโงคุ เข้าสู่ยุค "เอโดะ"
โรงละครยุคเอโดะ
ฝั่งตะวันตกเกิดการค้าขายไปทั่วและเกิดบริษัท "อินเดียตะวันออก" (East india company) ซึ่งแต่ละประเทศในยุโรปจะมีบริษัทบบนี้เป็นของตัวเองเพื่อการค้าขาย
ในขณะเดียวกันที่ รัสเซียได้เริ่มมีการสถาปนาราชวงค์โรมานอฟ และในอินเดียวเริ่มมีการสร้าง "ทัชมาฮาล" (Taj mahal).
ทัชมาฮาล
ในกลางยุคศตวรรษที่ 17 ญี่ปุ่นเริ่มปิดประเทศหนีชาติตะวันตกและไม่ค้าขายกับประเทศอื่น
ที่ฝรั่งเศส ได้มีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคขึ้นครองราชย์ "พระเจ้าหลุยส์ที่ 14" ผู้ซึ่งสร้างพระราชวังแวร์ซายอันยิ่งใหญ่
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส
และที่จีนราชวงค์หมิงได้ถูกแมนจูเรียรุกรานและพ่ายแพ้ ส่งผลให้จีนถูกชาวแมนจูยึดครองและสถาปนาราชวงค์ชิงขึ้นมา
จักรพรรดิคังซี ผู้สร้างยุคทองแห่งราชวงค์ชิง
ปลายยุคคริสต์ศตวรรษที่ 17 เกิดการปฏิวัติสยามเกิดขึ้น เริ่มลดบทบาทของชาวต่างชาติในสยามลง
และในยุคเดียวกัน เซอร์ ไอเเซค นิวตัน ได้ค้นพบแรงโน้มถ่วงและกฏ 3 ข้อของการเคลื่อนที่ของนิวตัน เพราะในยุโรปเกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์เกิดขึ้น
ภาพเขียนของไอแซค นิวตัน
ต้นยุคศตวรรษที่ 18 เกิดการปฏิวัติอุตสากรรมในอังกฤษเกิดขึ้นมา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนโลกของเราไปอีกขั้้น
โรงงานปั่นด้ายในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ในปี 1760
กัปตัน เจมส์ คุก ได้เดินทางและค้นพบออสเตรเลียในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง
กัปตันเจมส์ คุก ผู้ค้นพบทวีปออสเตรเลีย
ส่วนทางด้านสยามได้เกิดเหตุการณ์ เสียงกรุงศรีครั้งที่ 2 อยู่
อยุธยาเสียกรุงศรี ครั้งที่ 2
ปลายยุคศตวรรษที่ 18 ทางฝั่งโลกใหม่หรืออเมริกา เริ่มไม่ยอมรับอำนาจของทางอังกฤษอีกต่อไป เลยเกิดเหตุการณ์ Boston tea party
ภาพ งานเลี้ยงน้ำชาที่บอสตัน โดย ดับบลิว. ดี คูเปอร์
และสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอิสรภาพ โดยการนำของ จอร์จ วอชิงตัน และเขายังขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกาอีกด้วย
จอร์จ วอชิงตัน ประานาธิบดีคนแรกของอเมริกา
เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส ทำให้ถูกเปลี่ยนระบอบการปกครองไปเป็นสาธารณรัฐ ซึ่
ตรงกับ ช่วงรัชกาลที่ 1 ของสยาม
Liberty Leading People โดย เออแฌน เดอลาครัว ปี 1830
ต้นยุคศตวรรษที่ 19 มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษนี้
บริษัทอินเดียตะวันออก เริ่มมีอิทธิพลมากจนเกินไป จนสามารถข่มอียิปต์และยึดพม่าไปเป็นของตนเองได้ อีกทั้งยังมีการก่อตั้งประเทศสิงคโปร์อีกด้วย
อังกฤษเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกมาบอกยกเลิกทาสและให้การค้าทาสนั้นผิดกฎหมาย
นโปเลียน โบนาร์ปาร์ต ขึ้นสู่อำนาจเป็นจักรพรรดิ แต่ก็สูญเสียอำนาจอ่างรวดเร็วหลังจากที่รบแพ้อยู่หลายๆครั้งในช่วงหลัง จนถูกทางอังกฤษเนรเทศออกจากฝรั่งเศสไปหลังเหตุการณ์ "สมรภูมิวอเตอร์ลู" ซึ่งตรงกับช่วงรัชกาลที่ 4 ถึง 5 ของสยาม
นโปเลียน โบนาร์ปาร์ต
เกิดสงครามฝิ่นระหว่างจีนกับอังกฤษ ส่งผลให้เกาะฮ่องกงตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ
สงครามฝิ่น
ในช่วงนี้อังกฤษก็ยังคงท็อปฟอร์มและยึดครองอินเดียเป็นเมืองขึ้นได้อีกด้วย
ชาลส์ ดาวิน เริ่มตีพิมพ์หนังสือ "The Origin of species" เป็นการเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นครั้งแรก
ภาพถ่ายของ ชาลส์ ดาวิน
ในอเมริกาเกิดสงครามกลางเมือง(Civil war) ในยุคของประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอร์น
สงครามกลางเมืองในสหรัฐ
ปลายยุคตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นเกิดเหตการณ์ "การปฏิวัติเมจิ" ทำให้ญี่ปุ่นพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดในหลายๆด้าน
การปฏิรูปเมจิ การเปลี่ยนแปลงการปกครองของญี่ปุ่น
"คลองสุเอซ" ที่เชื่อต่อระหว่างทะเลแดงกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ถูกเปิดใช้งานเป็นครั้งแรก ทำให้ยุโรป , เอเชียตะวันตก , และแอฟริกา เดินทางหาสู่กันง่ายขึ้นไม่ต้องอ้อมทางไปแบบเมื่อก่อน
ภาพเขียนคลองสุเอซ
เริ่มมีการสร้าง "เทพีเสรีภาพ" กับ "หอไอเฟล" ได้เริ่มก่อสร้างที่ฝรั่งเศส ซึ่งต่อมาเทพีเสรีภาพจะถูกมอบให้เป็นของขวัญในวันครบรอบการประกาศอิสรภาพของอเมริกา
ภาพถ่ายเทพีเสรีภาพ ปี 1885
ยังมีเหตุการณ์อื่นๆอีกมากมายทั้งการ สร้างหลอดไฟครั้งแรกของเอดิสัน , โคคา โคล่า เริ่มวางจำหน่ายเป็นครั้งแรก , วินเซ้นต์ แวนโก๊ะ เริ่มวาดภาพหลายๆรูปในยุคนี้ , และโอลิมปิกถูกกลับมาจัดอีกครั้งหลังจากถูกยกเลิกไปตั้งแต่ยุคกลาง
ต้นศตวรรษที่ 20 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพเป็นครั้งแรก
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
เกิดเหตุการณ์ "กบฎซินไห่" ในจีน ส่งผลให้ราชวงค์ชิงล่มสลาย สิ้นสุดการปกครองระบอบกษัตริย์ในจีน
กองทัพฝ่ายปฏิวัติสู้รบกับกองทัพราชวงศ์ชิงที่เมืองฮั่นโข่ว
เกิดการลอบปลงพระชนม์ในซาราเยโว โดยที่ "อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันท์" แห่งออสเตรียพร้อมด้วยพระชายา ถูกสังหารโดยหนุ่มชาวเซอเบีย ทำให้ทางออสเตรีย-ฮังการีประกาศสงครามกับเซอเบีย และเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
หนุ่มชาวเซอร์เบียเข้าปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันท์
เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองไปทั่วโลกทั้ง การปฏิวัติรัสเซีย , การปฏิวัติเยอรมัน อีกทั้งยังเกิดโรคระบาดไข้หวัดสเปนที่มีคนติดเชื้อถึง 1 ใน 3 ของโลก และมีคนตายประมาณ 50 ล้านคน
โรงพยบาลสนามของทหารอเมริกัน ที่ป่วยเป็นไข้หวัดสเปน
กลางศตวรรษที่ 20 เกิดสงครามที่ใหญ่ที่สุดที่โลกต้องจารึกเอาไว้ สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เริ่มต้นขึ้น และจบลงไปโดยที่มีเหตุการณ์สำคัญคือ
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ผู้นำของนาซีเยอรมัน หลังจากที่ทำศึกกับฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่หลายปี ก็ได้พ่ายแพ้และถึงแก่อสัญกรรม
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำของนาซีเยอรมัน
เกิดระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิที่ญี่ปุ่น โดยฝีมือของอเมริกา
ระเบิดปรมาณูถูกทิ้งลงที่นางาซากิ
เกาหลี , อินเดีย , ปากีสถาน , อินโดนีเซีย และอีกหลายๆประเทศทั่วโลกได้รับเอกราชหลังจากถูกยึดครองโดยชาติมหาอำนาจมาอย่างยาวนาน
มหาตมะ คานธี ผู้นำในการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษโดยใช้สันติวิธี
และหลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกได้เดินทางเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคสมัยปัจจุบัน "ยุคร่วมสมัย"
ยุคร่วมสมัย (Contemporary age)
ยุคร่วมสมัย หมายถึงยุคปัจจุบันที่เราทุกคนอยู่ ซึ่งมีเหตุการณ์ต่างๆมากมายมหาศาล
สหภาพโซเวียตและอเมริกาเริ่มการแข่งขันกันในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการพัฒนาอวกาศ
จรวด V-2 ที่ถูกนาซ่านำมาใช้ถ่ายภาพของดาวโลกเป็นครั้งแรก
โดยทางโซเวียตได้ทำการส่งดาวเทียม "สปุตนิก 1" ออกสู่ชั้นบรรยากาศได้เป็นครั้งแรก
สปุตนิก 1 ดาวเมียมดวงแรกของโลกจากโซเวียต
สหรัฐอเมริกาเริ่มแสดงจุดยืนถึงการไม่เอาลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน ส่งผลให้โลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็น
มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นอีกเพียบ ทั้งการทำลายกำแพงเบอร์ลิน , การเดินขบวนที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน , เกิดสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม , รวมถึงการล่มสลายของสภาพโซเวียต ซึ่งส่งผลให้ในปี ค.ศ.1991 เป็นอันยุติสงครามเย็นลง
การทำลายกำแพงเบอร์ลิน ในปี 1989
เกิดเหตุการณ์ Y2K ในปี ค.ศ.1999 ที่ใครหลายๆคนคิดว่าโลกจะแตก แต่ความจริงแล้วมันเป็นแค่เหตุการณ์ที่ คอมพิวเตอร์ทั่วโลกไม่สามารถแสดงผลปฏิทินเป็นปี 2000 ได้เฉยๆ
เหตุการณ์ Y2K ที่ระบบวันที่ในคอมพิวเตอร์เกือบทั้งโลกมีปัญหาในการนับปีใหม่
ปี 2001 เกิดเหตุการณ์ 9-11 กลุ่มก่อการร้าย "อัลกออิดะห์" (Al-qaeda) จี้เครื่องบินและชนถล่มตึก world trade center ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเหตุการณ์นั้น ทำให้อเมริกาเริ่มสงครามกับอัฟกานิสถานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปี 2004 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในมหาสมุทรอินเดีย เกิดสึนามิเข้าซัดในหลายๆประเทศ รวมถึงทางตอนใต้ของไทยด้วย
สึนามิถล่มชายฝั่งไทย ปี 2004
ปี 2011 สหรัฐอเมริกาประกาศยุติสงครามกับอิรักลง
ปี 2020 เกิดเหตุุการณ์ โคโรน่าไวรัส หรือ Covid-19 ระบาดไปทั่วโลก
ปี 2021 และ โจ ไบเดน ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา
โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของอเมริกา
เกิดการรัฐประหารในประเทศ "เมียนมาร์" กองทัพเข้าทำการยึดอำนาจการปกครองจากอองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ
ในปีเดียวกัน เรือบรรทุกสินค้า เอฟเวอร์กรีน เกยตื้นและขวางทางคลองสุเอซ
เรือ evergreen ขวางคลองสุเอซ
เป็นยังไงกันบ้างกับสรุปเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของมนุษย์แบบรวบรัดของผม (นี่ผมว่า ผมย่อสุดชีวิตแล้วนะ 555+) บางเรื่องอาจจะไม่ได้ลงลึกเพราะมีรายละเอียดเนื้อหาเยอะเกินไปต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ถ้าใครชอบก็อย่าลืมติดตามเพื่อเป็นกำลังใจให้ผมได้นะครับ ไว้พบกันใหม่...
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล:
โฆษณา