ในตอนนั้นทั่วโลกต่างชื่นชมฝีมือของรัฐบาลไทย ว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี รวมถึงนายกรัฐมนตรี Golda Meir ด้วย และผลลัพธ์ที่ออกมาก็ดีเช่นกัน เนื่องจากไม่มีผู้ใดเสียชีวิตเลย ส่วนพลเอกทวีก็ได้รับการต้อนรับกลับประเทศราวกับเป็นวีรบุรุษ
1
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดอย่างนั้น Zvi Zamir หัวหน้าของ MOSSAD มองว่าผู้ก่อการร้ายกลุ่ม Black September ยอมอ่อนข้อง่ายเกินไป เพราะถ้าเทียบกับมิวนิค ถือว่าพวกเขา “ยอม” ที่จะถอยโดยง่าย ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้มีการตอบโต้อะไรด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำยังทิ้งตัวประกันทั้ง 6 คนไว้ที่ประเทศไทยอีกต่างหาก ดังนั้น Zamir จึงเชื่อว่า ทางกลุ่ม Black September ต้องการให้การจับตัวประกันในครั้งนี้เป็นเพียงการเบนความสนใจเท่านั้น
2
และ Zamir ก็คิดถูก ในขณะที่นักข่าวทั่วโลกต่างกำลังทำข่าวของกลุ่ม Black September ที่ประเทศไทย และรัฐบาลอิสราเอลกำลังโฟกัสกองกำลังและวางแผนกลยุทธ์ เพื่อป้องกันสถานฑูตในดินแดนแถบเอเชียอยู่ Salameh ก็กำลังวางแผนอย่างหนัก เพื่อจะให้ปฏิบัติการสังหาร Golda Meir ของพวกเขาสำเร็จ
วันที่ 14 มกราคม 1973 มีสายข่าวของ MOSSAD ในกรุงโรมรายงานมาว่าเขาได้ทำการดักฟังโทรศัพท์ แล้วได้ยินการสนทนาในภาษาอารบิคว่า “Time to deliver the birthday candles for the celebration : ถึงเวลาที่จะจุดเทียนวันเกิดเพื่อการเฉลิมฉลองแล้วหละ” ซึ่ง Zamir เดาได้ทันทีว่าคำว่า “เทียนวันเกิด” น่าจะหมายถึงอาวุธที่จำพวกจรวด และเริ่มที่จะเสาะหาข้อมูลเพิ่มเติม จนสุดท้าย MOSSAD จึงตั้งสมมุติฐานว่ากลุ่ม Black September ต้องการที่จะยิงเครื่องบินของ Golda Meir ที่กำลังจะเดินทางมากรุงโรมแน่นอน
2
MOSSAD ส่งหน่วยสังหาร และทีมเข้าไปประจำที่กรุงโรมทันที พร้อมกับประสานงานกับหน่วย DIGOS ซึ่งเป็นหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายของประเทศอิตาลี เริ่มจากการที่ทั้งสองร่วมมือกันส่งทีมเข้าไปตรวจสอบอพาร์ทเมนท์ที่โทรศัพท์ถูกดักฟัง และพบคู่มือการใช้ที่ปล่อยจรวดเป็นภาษารัสเซียอยู่ ดูเหมือนว่าการคาดเดาของ Zamir น่าจะมีความเป็นไปได้สูงมาก จากนั้นทั้งสองจึงส่งทีมบุกเข้าไปยังอาคารสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งกบดานของกลุ่ม PLO และ Black September แต่ก็ไม่พบหลักฐานอะไรเป็นพิเศษ
การเยือนนครวาติกันดำเนินต่อไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และทุกอย่างก็ราบรื่นดี และจากเหตุการณ์ครั้งนี้นี่เองทำให้สายการบิน El Al สายการบินแห่งชาติของอิสราเอล เป็นสายการบินพลเรือนสายแรกของโลกที่มีการติดตั้งระบบ Anti-Missile เทคโนโลยีราคาสูงที่จะมีในเครื่องบินทหารเท่านั้น
3
สายการบิน El Al สายการบินพลเรือนสายแรกของโลกที่มีการติดตั้งระบบ Anti-Missile (Source: El Al)
สังหารต่อเนื่อง
หลังปฏิบัติการ Spring of Youth ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ทาง MOSSAD ก็ดำเนินการสังหารบุคคลที่อยู่ในบัญชีรายชื่อต่อไป อย่างไม่หยุดยั้ง
การสังหารที่เกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ แบบนี้ แม้ว่าจะจิตใจเข้มแข็งขนาดไหน ก็ย่อมต้องเกิดความเครียดเป็นธรรมดา ซึ่งนี่ก็คือหนึ่งในเป้าหมายของปฏิบัติการ Wrath of God ทำให้ศัตรูกลัวว่าตัวเองจะเป็นรายต่อไปหรือไม่
แต่คนที่ MOSSAD ต้องการตัวมากที่สุดคือ Ali Hassen Salameh เจ้าของฉายา “The Red Prince” ตัวการหลัก ผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารที่มิวนิค และการสังหารนายกรัฐมนตรี Golda Meir ที่กรุงโรม
แต่การที่นายกรัฐมนตรีคนหนึ่งยกเลิกปฏิบัติการ ไม่ได้หมายความว่านายกรัฐมนตรีที่รับช่วงต่อจากเธอจะไม่สามารถฟื้นปฏิบัติการขึ้นมาใหม่ได้ เมื่อเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน นายกรัฐมนตรี Menachem Begin ก็สั่งให้ปฏิบัติการ Wrath of God ดำเนินต่อไปทันที เพื่อจัดการกับคนที่ยังอยู่ในบัญชีสังหารให้เกลี้ยง และคนที่เป็นที่ต้องการตัวเป็นอันดับหนึ่ง จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Ali Hassen Salameh
Ali Hassen Salameh บุคคลที่ MOSSAD ต้องการตัวมากที่สุด (Source: https://contentsales.aljazeera.net)
แต่ที่แน่ ๆ คือผู้ก่อการร้ายรายที่ 3 Jamal Al-Gashey ซึ่งหลบหนีอยู่ในแอฟริกาเหนือ โดยคาดการณ์กันว่าที่พำนักล่าสุดของเขาคือที่ประเทศตูนิเซีย มีคนพบเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายในปี 1999 ในตอนที่เขาให้สัมภาษณ์กับผู้กำกับสารคดีเรื่อง One Day in September ซึ่งเป็นสารคดีเกี่ยวกับการสังหารหมู่ในครั้งนี้
บางทีปฏิบัติการ Wrath of God อาจจะถูกเปลี่ยนชื่อ หรือเป้าหมายอาจจะถูกเปลี่ยนไปแล้ว เพราะว่าในตอนนี้หลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่มิวนิคก็เสียชีวิตไปหมดแล้วก็เป็นได้
2
แต่สิ่งที่แน่นอนคือนายกรัฐมนตรี Golda Meir ได้รักษาคำสัญญาที่เธอให้ไว้กับแม่ม่ายทั้ง 7 คน และเด็กกำพร้าทั้ง 14 คน ว่าการตายของสามีและพ่อของพวกเขาจะต้องไม่สูญเปล่า และเป้าหมายสูงสุดที่เธอบอกว่าต้องการให้ปฏิบัติการ Wrath of God ในครั้งนี้ลดการก่อการร้ายที่กระทำต่อชาวยิว ก็ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ เพราะเราแทบจะไม่เคยได้ยินข่าวการก่อการร้ายกับชาวยิว ที่เกิดขึ้นนอกดินแดนของประเทศอิสราเอลอีกเลย
2
ถ้าใครอยากดูเรื่องของปฏิบัติการ Wrath of God ขอแนะนำให้ไปดูภาพยนตร์เรื่อง Munich ที่ออกฉายเมื่อปี 2005 นะครับ กำกับโดยผู้กำกับรางวัล Oscar อย่าง Steven Spielberg ยอมรับว่าตอนดูครั้งแรกสมัยยังเด็กอยู่ ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวมากนัก แต่พอได้มาศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้เข้าจริง ๆ เรารู้เลยว่าหนังทำออกมาได้ดีมาก โดยหนังจะโฟกัสที่เรื่องราวของเจ้าหน้าที่ MOSSAD คนหนึ่งที่ต้องปฏิบัติการสังหารคนตามรายชื่อ และผลกระทบที่มีต่อจิตใจของเขา