แต่ถึงอย่างนั้น “อีบูจิน” ก็ยังพยายามสู้เพื่อความรักของเธอ ด้วยการอ้อนพ่อให้เข้าใจ
และยอมรับความสัมพันธ์ของเธอกับแฟนหนุ่ม อีกทั้งเธอยังไปช่วยงานพ่อกับแม่ของ
“อินวูแจ” อยู่บ่อย ๆ จนสุดท้ายทั้งสองครอบครัวก็ยอมใจอ่อน
.
#โกหกคนทั้งโลกเพราะฐานะที่ต่างกัน
หลังจากที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันมานานกว่า 4 ปี ก็ได้เข้าพิธีแต่งงานกันในปี 1999 งานแต่งถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติเจ้าหญิงแห่งซัมซุง สื่อมวลชน และชาวเกาหลีต่างสงสัยว่าเจ้าบ่าวของ “อีบูจิน” นั้น เป็นใคร ?
.
ทางซัมซุงจึงเลือกที่จะปิดบังฐานะที่แท้จริงของฝ่ายชายด้วยการโกหกนักข่าวไปว่า “อินวูแจ เคยทำงานเป็นนักวิจัยในแผนกคอมพิวเตอร์ของซัมซุง มีระดับการศึกษาสูงจบจากต่างประเทศ อีกทั้งเขายังเป็นคนสำคัญของซัมซุง ซึ่งทั้งสองคนบังเอิญเจอกันในการประชุม และตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบ”
.
#ชีวิตคู่กดดันจนต้องเลือกจบชีวิตตัวเอง
แม้ชีวิตคู่ในตอนนั้นจะเป็นไปด้วยดี แต่ “อีก็อนฮี” กลับมองว่า “อินวูแจ” ต้องพัฒนาตัวเองให้สมกับที่เป็นคู่ชีวิตของลูกสาวสุดที่รัก เขาจึงส่งลูกเขยตัวเองไปเรียนต่อที่อเมริกา โดยมี “อีบูจิน” ตามไปด้วย
.
มันไม่ง่ายเลยที่คนวัย 31 ปี อย่าง “อินวูแจ” ผู้ไม่มีความชำนาญด้านภาษาขั้นพื้นฐานแม้แต่น้อยต้องใช้ชีวิตในทุก ๆ วันไปกับการเรียนในด้านเศรษฐกิจ และการค้า ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ความรู้สึกกดดันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ จนในที่สุดเขาก็เลือกจบชีวิตตัวเองด้วย
การกินยาฆ่าตัวตายถึง 2 ครั้ง แต่ “อีบูจิน” ก็มาช่วยไว้ทันทุกครั้ง สุดท้าย “อีบูจิน” ก็ต้องขอร้องให้พ่อเธอส่งเขากลับมายังเกาหลี
.
เหตุการณ์ครั้งนี้จึงทำให้ “อินวูแจ” โดนตระกูลซัมซุงตราหน้าว่าไม่สามารถปรับปรุงตัวให้อยู่ในมาตรฐานที่ตระกูลต้องการได้ เพราะเขาใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปจนเคยชิน เลยไม่คิดพัฒนาความสามารถของตัวเอง
.
#ความรับผิดชอบที่ต่างกัน
ในที่สุด “อินวูแจ” ก็ถูกส่งให้ไปเป็นรองประธานบริษัทซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ และด้วยศักยภาพที่มีไม่มากพอจึงทำให้เขาถูกตั้งข้อสงสัยในการทำงาน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่คิดจะปรับปรุงตัว และเอาแต่พร่ำบ่นอยู่ทุกวันว่า ทำไม่ได้ !
.
ซึ่งต่างจากภรรยาของเขาอย่างสิ้นเชิง เพราะในขณะที่ “อีบูจิน” เริ่มงานได้ไม่กี่ปี ก็สามารถสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจโรงแรมในเครือซัมซุงได้มากขึ้นเป็นเท่าตัว 10 ปี ซ้อน ! แถมเธอยังเป็นคนที่ทำให้มีร้าน Louis Vuitton แบบปลอดภาษีแห่งแรกในเกาหลีใต้อีกด้วย
.
และได้ขึ้นเป็นประธานหญิงคนแรกแห่งซัมซุงกรุ๊ป พร้อมครอบครองทรัพย์สินมูลค่ารวมกว่า 57,000 ล้านบาท จนขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 17 ของเกาหลี
.
#จุดจบชีวิตคู่สู่คดีฟ้องหย่าที่แพงที่สุดในเกาหลี
หลังจาก “อินวูแจ” ได้ขึ้นเป็นรองประธาน เขาก็ได้กลายเป็นคนบ้าอำนาจ จนทำให้ชีวิตคู่ของทั้งสองแย่ลงเรื่อย ๆ อีกทั้งเขายังเคยแอบไปกิ๊กกับดาราสาวขณะที่ “อีบูจิน” ตั้งท้องลูกของเขาอยู่ และที่แย่ที่สุดคือเขาได้ทำร้ายร่างกายภรรยาตัวเองตอนเมา แต่ถึงยังนั้น “อีบูจิน” ก็ยังให้โอกาสเขาอยู่เสมอมา
.
แต่ความอดทนก็มีขีดจำกัด ในที่สุด “อีบูจิน”ก็ได้ประกาศขอหย่าอย่างเป็นทางการในปี 2014 แม้ “อินวูแจ” จะอ้อนวอนขอโอกาสอีกครั้งแต่ก็สายไปแล้ว
.
เมื่อเห็นว่าภรรยาตัวเองไม่ยอมคืนดีด้วย เขาจึงออกมาเปิดโปงความจริงกับนักข่าวว่า “ความจริงผมเป็นแค่บอดี้การ์ดธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ซึ่งตอนที่คบกันแรก ๆ เธอก็เป็นคนที่อยากแต่งงานกับผมเอง แม้ผมจะปฏิเสธเพราะความต่างของฐานะ แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมเพราะคำสั่งของท่านประธาน”
.
หลังจากนั้น “อินวูแจ” ก็ได้ยื่นฟ้องแบ่งสินสมรสกับอดีตภรรยา โดยศาลตัดสินให้ “อินวูแจ”
ได้รับทรัพย์สินไปถึง 243 ล้านบาท ! แต่เขาก็ยังไม่พอใจกับตัวเลขที่ได้ จึงปล่อยข่าว โจมตี “อีบูจิน” ว่า “แท้จริงแล้วเธอ ได้เสพติดยาระงับประสาทชนิดหนึ่งที่ผิดกฏหมายในเกาหลี”
.
พร้อมยื่นอุทธรณ์ต่อศาลขอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของ “อีบูจิน” ซึ่งคิดเป็นเงินกว่า 3 หมื่นล้านบาท !!!!! เรียกได้ว่าเป็นการฟ้องคดีสินสมรสที่เรียกเงินสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในเกาหลี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผล เพราะถูกจับได้ว่าเรื่องที่เขาพูดมานั้นไม่เป็นความจริง แต่ทำไปเพราะต้องการเรียกร้องเงินมากขึ้น จึงให้ทนายของตัวเองปล่อยข่าวปลอม ๆ ออกไป ฉากรัก 17 ปี จึงต้องถูกปิดไป พร้อมกับหัวใจที่แตกสลายของ “อีบูจิน”