15 มิ.ย. 2021 เวลา 06:51 • กีฬา
ไมเคิล เบิร์น : 5 ปีที่หายไป และการกลับมาอีกครั้งของตำนานไทยลีก | MAIN STAND
สำหรับแฟนฟุตบอลชาวไทย “ไมเคิล เบิร์น” คือชื่อที่ใครหลายคนคุ้นเคย นักฟุตบอลชาวเวลส์คนนี้ถือเป็นซูเปอร์สตาร์ต่างชาติรายแรก ๆ ของไทยลีก ดีกรีความเป็นอดีตนักเตะเยาวชนทีมชาติเวลส์ และอดีตนักเตะเยาวชนโบลตัน วันเดอเรอร์ส ทำให้แฟนฟุตบอลชาวไทยฮือฮา โดยเฉพาะเชิงบอลชั้นสูงของเขาที่ผู้คนยังคงจดจำได้ดี
เวลาผ่านไปนานกว่า 5 ปี นับจากวันที่ไมเคิล เบิร์น โลดแล่นบนพื้นหญ้ากับสโมสรฟุตบอลฟุตบอลในไทย เขากลับมาสู่เมืองไทยอีกครั้ง หลังจากกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดอยู่นานหลายปี ด้วยบทบาทที่แตกต่างไปจากเดิม
อะไรทำให้เขากลับมาสู่แผ่นดินนี้อีกครั้ง
- ช่วยเล่าการเดินทางในฐานะนักฟุตบอลไทยลีกของคุณให้เราฟังหน่อย
ผมเริ่มต้นเข้ามาเล่นฟุตบอลที่ประเทศไทย จากคำชักชวนของเอเยนต์คนหนึ่ง ผมมองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีต่ออาชีพ ผมจึงตัดสินใจลองเดินทางมาทดสอบฝีเท้า ทั้งที่ไม่รู้เลยว่า สโมสรไหนต้องการตัวผม ...
Photo : huntermaniazaa.com
ท้ายที่สุด ผมได้เซ็นสัญญากับ นครปฐม เอฟซี หลังจากลองฝึกซ้อมกับทีมได้สักพัก เพราะพวกเขาชอบสไตล์การเล่นของผม หลังจากนั้นไม่นาน ผมถูกซื้อตัวไปเล่นให้กับ ชลบุรี เอฟซี ผมสนุกกับการเล่นฟุตบอลที่นั่นมาก มันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมสำหรับผม
ตอนนั้นคือฤดูกาล 2009 โค้ชของเราคือ ซิโก้ (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง) ผมชื่นชอบแนวทางของเขา และผมก็คิดว่าตัวเองทำผลงานได้ดี พูดตามตรง ผมคิดว่าเราควรคว้าแชมป์ลีกในปีนั้น
ผมเล่นให้กับชลบุรีจนถึงกลางฤดูกาล 2010 ก็ถูกขายให้ไปอยู่กับ บางกอกกลาส (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน) ผมเข้าใจดีว่า ฟุตบอลคือธุรกิจ และสโมสรก็มองเห็นเม็ดเงินจากการปล่อยตัว
ผมไปอยู่กับบีจีก็จริง แต่ถ้าให้ผมพูดตามตรง ผมไม่เคยคิดจะย้ายออกจากชลบุรีเลย
- คุณถือเป็นนักเตะต่างชาติคนแรก ๆ ที่ประสบความสำเร็จในไทยลีก แต่อยู่ดี ๆ คุณก็หายตัวไปจากวงการฟุตบอลไทย เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น ?
สำหรับผมในฐานะนักฟุตบอล ผมมองหาความท้าทายที่ดีที่สุดแก่ตัวเองเสมอ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมย้ายไปเล่นกับชัยนาท ฮอร์นบิล นานกว่า 2 ปี แม้ว่าครอบครัวของผมจะใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ และผมต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นคนเดียว
Photo : facebook.com/chainatfootballclub
หลังจากหมดสัญญากับชัยนาท ผมตั้งใจว่าจะกลับมาเล่นฟุตบอลในกรุงเทพฯ เพื่อใช้เวลากับภรรยาและลูกชายให้มากขึ้น พอดีกับที่ผมได้รับฟังโปรเจ็กต์จาก ฟิล สตับบินส์ (อดีตเฮดโค้ชบีจีพียู) เขาเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยม ซึ่งกำลังทำงานอยู่กับ อยุธยา เอฟซี ผมจึงตัดสินใจย้ายไปเล่นที่นั่นในปี 2014
ถ้านับแค่เรื่องในสนาม ผมมองว่าเรามีทีมที่แข็งแกร่ง และกำลังทำผลงานไปได้สวย แต่สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนอกสนาม มันกลับตรงกันข้าม พวกเราไม่ได้รับเงินเดือนอย่างที่ควรจะเป็น และจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาก็ยังไม่เคยจ่ายเงินที่ยังติดค้างให้กับผม
ฤดูกาลถัดมา ผมได้พบกับนักลงทุนจากต่างประเทศที่ชื่อ ลูคัส นีล เขากำลังทำทีม หัวหิน ซิตี้ และผมคิดว่ามันเป็นโปรเจ็กต์ที่น่าเข้าไปมีส่วนร่วม ผมมักมองหาความท้าทายใหม่เสมอ มันดูเหมือนจะเป็นอะไรที่น่ามหัศจรรย์ แต่มันไม่ใช่แบบนั้น
ผมเจอปัญหาจากเรื่องนอกสนามที่นั่น และแน่นอน ผมไม่เคยได้รับเงินค่าตอบแทนตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ นั่นหมายความว่า มันเป็นเวลา 2 ปีแล้วที่ผมเล่นฟุตบอลในประเทศไทย แต่ไม่ได้รับเงินเดือน ... ผมเองก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล
ผมเลยมองว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่จะกลับไปดูแลพวกเขาอย่างเต็มที่ และก้าวเดินต่อไปจากตรงนี้
- ช่วงเวลาที่คุณหายหน้าหายตาไปจากประเทศไทย คุณทำอะไรบ้าง
ผมมีเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่งชื่อ สตีเว่น ร็อบบ์ เขากำลังคิดจะเปิดแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นของตัวเอง ถ้าคุณจำได้ ร็อบบ์เคยเป็นนักเตะของการท่าเรือ และเล่นฟุตบอลอยู่ที่นั่นนานหลายปี
เมื่อเขาเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองที่อังกฤษ ร็อบบ์จึงชักชวนผมให้เข้าไปมีส่วนร่วม และช่วยเหลือกิจการของเขา
ผมก็ตอบรับข้อเสนอนั้น เราใช้เวลา 5 ปี พัฒนาธุรกิจเสื้อผ้าเล็ก ๆ สู่การเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับโลก หากคุณสนใจว่าสิ่งที่เราสร้างกันมาเป็นอย่างไร ? ลองค้นหาแบรนด์ Bee Inspired Clothing ได้เลย
- ระหว่างที่คุณใช้ชีวิตในบ้านเกิด คุณได้เกี่ยวข้องกีฬาฟุตบอลบ้างไหม
ผมมีเพื่อนสนิทที่เปิดอคาเดมีฟุตบอลอยู่ที่นั่น เราเคยเล่นฟุตบอลด้วยกันในระดับ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ก่อนที่เขาจะย้ายไปเล่นในพรีเมียร์ลีกกับ ซันเดอร์แลนด์
ผมเข้าไปมีส่วนร่วมกับงานตรงนั้นแค่เล็กน้อย ในส่วนของการสอนเด็ก ๆ บ้าง อคาเดมีที่นี่มีเด็กทั้งหมด 500 คน จากหลายช่วงอายุ ผมเลยได้โอกาสเข้าไปช่วยเหลือเพื่อนของผม
- ดูเหมือนว่า นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณสนใจการทำอคาเดมี ท้ายที่สุด มันคือตั๋วที่พาคุณกลับสู่ประเทศไทยอีกครั้งหรือเปล่า ?
ผมคงต้องบอกคุณก่อนว่า ผมมีแพสชั่นกับกีฬาฟุตบอลเสมอ เมื่อผมมีโอกาสพูดคุยกับ จักรพันธ์ พรใส เขาเป็นทั้งเพื่อนและพันธมิตรทางธุรกิจของผม เรามีความคิดที่ตรงกันในเรื่องนี้
Photo : facebook.com/michael.byrne.96742277
ประกอบกับที่ พี่ตูน (ตูน บอดี้สแลม) มีความสนใจในการทำอคาเดมี และพร้อมจะสนับสนุนโปรเจ็กต์ตรงนี้ เพราะเขาก็มีแพสชั่นกับกีฬาฟุตบอลเหมือนกัน
ตูนทราบดีว่า ผมมีความตั้งใจในการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทย และช่วยให้พวกเขาก้าวไปถึงปลายทางดั่งที่ฝันไว้ เขาจึงเป็นคนหนึ่งที่คอยสนับสนุนผมเสมอมา
ผมรักประเทศไทยนะ และผมก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถมอบ รวมถึงตอบแทนอะไรหลายอย่างกลับสู่ประเทศแห่งนี้
ผมเล่นฟุตบอลในเมืองไทยมานาน 7 ปี ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่ผมจะเข้ามาตอบแทนวงการฟุตบอลไทย ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการฝึกสอนนักเตะ หรือการทำงานในฐานะล่าม ผมเชื่อว่าความรู้ด้านภาษา และความรู้ด้านฟุตบอลที่มีอยู่ในตัว จะสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นได้
- อะไรคือแนวคิดหลักในการทำอคาเดมีของคุณ
เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการก่อตั้งอคาเดมีแห่งนี้ คือการส่งต่อความรู้ และประสบการณ์ของเรา สู่เยาวชนที่จะเติบโตเป็นนักฟุตบอลในอนาคต
Photo : facebook.com/TaeNFX4U
กลยุทธ์ของเรา คือการนำความรู้ฟุตบอล และทักษะทางเทคนิคแบบยุโรป เข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมฟุตบอลแบบไทย เพื่อส่งมอบการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพที่สุดแก่นักเตะรุ่นเยาว์
ผมจริงจังกับบทบาทตรงนี้มาก มันไม่ใช่แค่การเปิดอคาเดมีแล้วไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ผมจะเป็นคนฝึกสอนเด็ก ๆ ด้วยตัวเอง และจะอยู่ที่นั่นในทุกบทเรียนฝึกซ้อม เพื่อมั่นใจว่าทีมโค้ชของเรา รวมถึงตัวผมเอง กำลังฝึกสอนพวกเขาในแนวทางที่ถูกต้อง
- คุณคลุกคลีกับฟุตบอลไทยมานาน จนเข้าใจวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างดี คุณคิดว่าฟุตบอลไทยเปลี่ยนไปมากแค่ไหน หากเทียบกับวันแรกที่คุณก้าวเท้าเหยียบแผ่นดินนี้
Photo : facebook.com/BGPATHUMUNITED
ความแตกต่างเดียวที่ผมเห็นในตอนนี้ คือเรื่องของเงิน บางครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรนัก คุณจะเห็นว่ามีผู้เล่นหลายคนที่กำลังเล่นอยู่ หรือเดินทางมาที่เมืองไทยด้วยเหตุผลที่ผิดแปลกออกไป
สำหรับผม สิ่งที่ยังเหมือนเดิมเสมอคือแฟนฟุตบอลไทย พวกเขารักกีฬาฟุตบอล และพวกเขาเป็นแฟนคลับที่ยอดเยี่ยม ทุกวันนี้ บรรยากาศการแข่งขันดีขึ้นมาก หากเทียบกับช่วงเวลาที่ผมโลดแล่นอยู่ในสนาม
ฟุตบอลเป็นเรื่องของแฟนบอล (Football is all about the fans) และเราต้องทำให้มันเป็นกีฬาของแฟนบอล นี่คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมของฟุตบอลไทย เพราะถ้าคุณลงเล่นให้กับทีมนอกกรุงเทพฯ คุณจะมองเห็นภาพของแฟนบอลที่เข้ามาเชียร์จนเต็มสนาม เพราะพวกเขาภูมิใจในทีมท้องถิ่นของตัวเอง
ผมหวังว่าสถานการณ์โควิดจะหายไปโดยเร็ว เพื่อจะได้เห็นภาพแฟนฟุตบอลไทยกลับมาสู่สนาม เข้าไปเชียร์ทีมที่ตัวเองรัก และปลุกกระแสบอลไทยให้กลับมาอีกครั้ง
- นอกจากกลับมาทำอคาเดมีแล้ว คุณยังมีส่วนร่วมกับโปรเจ็กต์ใหม่ของเพจ Main Stand ด้วย ?
ผมกำลังมีส่วนร่วมกับรายการทอล์คโชว์ความยาวหนึ่งชั่วโมงที่มีชื่อว่า "HERE COMES THE TIME”
สำหรับผม รายการนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้แสดงความคิดเห็น และช่วยให้ผู้คนรู้จักตัวตนของผมได้มากขึ้น ผมหวังอย่างยิ่งว่า ผมจะสามารถมอบอีกมุมมองจากนักฟุตบอลคนหนึ่ง รวมถึงในฐานะนักฟุตบอลต่างชาติ ว่าพวกเราคิดแตกต่างออกไปจากชาวไทยอย่างไรบ้าง
เนื้อหาหลักของรายการ "HERE COMES THE TIME” ขณะนี้คือ ฟุตบอลยูโร 2020 สำหรับชาวยุโรปอย่างคุณ ฟุตบอลยูโรมีความสำคัญมากแค่ไหน
ผมไม่คิดว่ายูโร 2020 จะมีความสำคัญกับผมมากกว่าชาวไทย เพียงเพราะผมเป็นคนยุโรป ... ผมมองว่าเรื่องพวกนั้นไม่มีความสำคัญเลย
ยูโร 2020 คือทัวร์นาเมนต์ที่รวบรวมนักเตะระดับโลกเอาไว้มากมาย และสำหรับแฟนฟุตบอลทุกคน ความต้องการที่เข้าใจง่ายที่สุด คือการได้เห็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ลงเล่นในสนาม
มันไม่สำคัญว่าคุณจะมาจากภูมิภาคไหน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฟุตบอลคือกีฬาระดับโลก และถ้าคุณเป็นแฟนฟุตบอล การแข่งขันระดับนี้ ถือเป็นทัวร์นาเมนต์ที่มีความสำคัญ
- คุณเกิดและใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ และเคยลงเล่นให้กับทีมชาติเวลส์ชุดเยาวชน คุณคิดว่าทั้งสองชาตินี้จะทำได้ดีแค่ไหนในยูโร 2020
สำหรับเวลส์ ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะทำผลงานได้ดีเหมือนปี 2016 แต่ผมหวังว่าพวกเขาจะทำได้แบบนั้นอีก สิ่งหนึ่งที่ผมบอกกับคุณได้คือ พวกเขามีความสามัคคีในทีมสูงมาก และมีแพสชั่นต่อการแข่งขันเยอะมากด้วยเช่นกัน ซึ่งผมคิดว่าเรื่องพวกนี้ สามารถช่วยพวกเขาได้ไม่น้อยเลย
ส่วนอังกฤษ ผมมองว่าพวกเขามีโอกาสดีที่จะคว้าแชมป์ พวกเขามีทีมผู้เล่นที่ผสมผสานนักเตะรุ่นใหม่ และนักเตะมากประสบการณ์ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ผมคิดว่าพวกเขาสามารถก้าวเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ หรือ รอบชิงชนะเลิศได้แบบไม่มีปัญหา
คำถามสุดท้าย ระหว่าง เวลส์ กับ อังกฤษ คุณเชียร์ทีมไหน ?
แน่นอนว่าต้องเป็น เวลส์ (ยิ้ม)
บทความโดย ณัฐนันท์ จันทร์ขวาง
โฆษณา