16 มิ.ย. 2021 เวลา 15:04 • อาหาร
เรื่องวิทย์ ๆ ของ เครมบูเล (Creme Brulee)
ขนมคัสตาร์ด หอมนวล นุ่มลิ้น ที่ตัดรสสัมผัสด้วยน้ำตาลไหม้
Creme Brulee ขนมคัสตาร์สอบ ที่โรยด้วยน้ำตาล และเผาไฟให้กรอบ
เครมบูเล่ (Crème Brûlée) เป็นขนมที่ผู้เขียนเชื่อว่า หากคุณไม่ใช้คนที่แพ้ไข่แดง
แล้วล่ะก็ จะต้องหลงรักในรสสัมผัสนี้แน่ ๆ
ตัวขนมเล่นกับสัมผัสที่ต่างกัน ของความแข็งกรอบของน้ำตาลไหม้
และความนุ่ม เบา ของครีมคัสตาร์ด ที่หอมวานิลลา เนียน ละมุนไปทั่วทั้งปาก
.
เครมบูเล่ เป็นขนมที่มีส่วนประกอบเพียง 3 อย่าง ได้แก่ ครีม ไข่แดง และน้ำตาล
น้ำมาผสมด้วยกัน จากนั้นเข้าอบที่อุณหภูมิต่ำ เป็นเวลานาน เพื่อให้คัสตาร์ดค่อย ๆ เซ็ตตัว จากนั้นจึงเสิร์ฟที่อุณหภูมิห้อง โดยอาจมีเพียงหน้าคัสตาร์ดเรียบ ๆ ที่ปิดทับด้วยน้ำตาลไหม้ หรืออาจจะตกแต่งด้วยผลไม้ที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว เพื่อช่วยเพิ่มมิดิของรสชาติขึ้นอีกก็ได้เช่นกัน
.
การทำเครมบูเล่ ให้สวยงาม และที่สำคัญคือ ไม่ทำพลาด จนเครมบูเล่หน้าแตก แห้ง แข็ง จำเป็นต้องเข้าใจในวัตถุดิบแต่ละชนิดก่อน เริ่มจากอย่างแรก
1.ครีม ครีมหรือวิปปิ้งครีมนั้น ทำให้เกิดความนุ่มลิ้น เพราะครีมประกอบด้วยไขมันอย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์ ต่างจากนมที่มีไขมันน้อยกว่า และมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่า ครีมจะไม่ทำให้คัสตาร์ดเหลว จนไม่สามารถคงตัวอยู่ได้
2.ไข่แดง เป็นแหล่งของทั้งโปรตีนและไขมัน และที่สำคัญ คือความสามารถในการเชื่อมของเหลวและไขมันเข้าด้วยกัน ทำให้ส่วนผสมไม่แยกตัว
3.น้ำตาล รสชาติแหล่งเดียวจากทุกองค์ประกอบที่มี ทำหน้าที่ให้ความหวานในขนม และทำตัวเป็นรสขมอมหวาน ตอนที่ถูกเผาด้วยไฟร้อน ๆ และแข็งตัวจับเป็นแผ่นน้ำตาล รอคอยให้นำช้อนมาเคาะให้แตกก่อนกิน
.
ขั้นตอนการทำ
1.ต้มครีมกับน้ำตาล
อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า น้ำตาล คือรสชาติเดียวของขนมเครมบูเล่
เราจึงต้องปรุงรสครีมของเราให้อร่อยก่อนตั้งแต่ขั้นตอนแรกนี้
สิ่งที่ต้องทำคือการละลายน้ำตาลให้หมด จนไม่เหลือเกล็ดน้ำตาลในครีมเลย
เพราะโดยปกติของเครมบูเล่ เราต้องการเนื้อคัสตาร์ดที่นุ่ม ละมุนลิ้น การมีเกล็ดน้ำตาลกระทบกับฟันตอนกำลังกินนี่ ถือว่าผิดมาก อีกทั้งยังทำให้รสชาติของเครมบูเล่ไม่สม่ำเสมอ อาจมีส่วนที่หวานบ้าง จืดบ้าง เพราะน้ำตาลกระจายตัวไม่เท่ากัน
ในขั้นตอนนี้ เราอาจใช้ทริคเล็กน้อย เพื่อให้น้ำตาลละลายได้ง่ายขึ้น
โดยเปลี่ยนไปใช้เป็นน้ำตาลไอซิ่งแทน ก็จะช่วยให้ละลายง่ายขึ้นเช่นกัน
แต่อาจจะได้ความรู้สึกเหมือนแป้งผสมอยู่เล็กน้อย เพราะน้ำตาลไอซิ่งเองก็มีแป้งข้าวโพดผสมอยู่
หรืออาจใช้เป็นน้ำตาลเบเกอร์รี่ ที่มีเกล็ดน้ำตาลละเอียดกว่าได้เช่นกัน
.
2.ทำให้คัสตาร์ดเกิดการจับตัวกัน
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะว่ามีไข่แดงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เส้นใยของโปรตีนในไข่แดงเมื่อเจอกับความร้อนที่พอเหมาะ จะเกิดการคลายตัว
เล็กน้อย เพื่อจับกับไขมัน และน้ำในส่วนผสม จากนั้นเมื่อเย็นลง โปรตีนจะหดรัดตัวอีกครั้ง ส่งผลให้คัสตาร์ดเกิดการคงรูปได้
คีย์เวิร์ดคือการที่ได้รับความร้อน "พอเหมาะ" พอที่จะทำให้เกิดการคลายและรัดตัวได้ แต่ไม่มากจนเกินไป จนกลายเป็นไข่คน และไม่น้อยเกินไป จนไม่สามารถจับตัวกับส่วนประกอบอื่น ๆ ได้ ซึ่งจะส่งผลให้คัสตาร์ดไม่จับตัวกัน และเหลวเป็นน้ำนั่นเอง
ดังนั้น เราจะไม่เทไข่แดง ลงในส่วนผสมที่ร้อนอย่างครีมกับน้ำตาล ที่กำลังเดือด ๆ จากขั้นตอนด้านบน
สิ่งที่ควรทำ สามารถเลือกทำได้ 2 แบบคือ
2.1 ทิ้งครีมให้เย็น จากนั้นค่อยผสมไข่แดงลงไป และคนให้เข้ากัน จนไม่มีก้อนไข่แดงเหลืออยู่
2.2 เทมเปอร์ไข่แดง วิธีนี้คือการที่เราค่อย ๆ ปรับอุณหภูมิของไข่ ให้เพิ่มขึ้นทีละน้อย โดยการคนไข่แดงด้วยตะกร้อมือหรือหัวตีตะกร้อตลอดเวลา และค่อย ๆ เทครีมลงในไข่ทีละนิด คนจนเข้ากัน จากนั้นเทครีมเพิ่ม จนเป็นเนื้อเดียวกันในที่สุด
วิธีนี้จะทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการทำให้ครีมเย็น แต่ต้องใช้ความชำนาญ ในการปรับอุณหภูมิอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่อย่างนั้น ไข่จะเกิดการจับตัวเป็นลิ่ม ๆ (curd)
ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ
3.อบ
หนึ่งในตัวแปรสำคัญ ที่จะทำให้เครมบูเล่ออกมาสวยงาม หน้าไม่แตก ไม่แห้ง
คือสิ่งที่เรียกว่า การถ่ายเทความร้อน ภายในเตา (Heat Transfer)
.
ในขั้นตอนนี้จะพบว่าหลากหลายสูตร จะบอกให้อบรองน้ำ
สาเหตุเพราะว่า
การที่เรานำส่วนผสมที่มีอุณหภูมิ ประมาณอุณหภูมิห้อง แถมยังมีความลึก จากถ้วย remekin ใส่เข้าไปในเตาอบ ที่ร้อน 100 กว่าองศา
จะส่งผลให้เกิดความแตกต่างของอุณหภูมิมาก ความร้อนจากเตาอบจะมารุมกันอยู่ที่ผิวหน้าของเครมบูเล่ และทำให้ผิวหน้าสุกก่อน แต่เนื้อด้านในยังเหลวเป็นน้ำ และมีความชื้น ที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาอยู่อีกมาก เมื่อได้รับความร้อนมากขึ้น ส่วนผสมที่อยู่ด้านล่าง ก็จะดันออกมา จนผิวหน้าของเครมบูเล่แตกนั่นเอง
.
น้ำร้อน จะเข้ามาช่วยทำให้บริเวณรอบ ๆ ถาดอบของเรา เป็นจุดที่ร้อนที่สุดภายในเตา ดังนั้น ความร้อนจากเตา จะทยอยถ่ายเทไปให้ทั่วกันทั้งเตาก่อน แทนที่จะลงมาที่ตัวคัสตาร์ดทีเดียว เครมบูเล่ จึงสามารถอบออกมามีผิวหน้าที่เรียบเนียน และเซตตัวดีได้
.
(เรื่องการอบรองน้ำ สามารถประยุกต์ใช้ได้กับการอบเค้กหรือขนมชนิดอื่น ๆ ได้เช่นกัน)
4.เผาน้ำตาล
อะอ้าวว จะไปยากอะไร แค่โรยน้ำตาล เผาไฟ?
จริง ๆ ขั้นตอนนี้ก็เป็นเพียงการเผาน้ำตาล ให้หลอมละลาย และจับตัวกัน พร้อมทั้งเกิดปฏิกิริยา caramelization ที่ทำให้น้ำตาลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไหม้ และยังมีรสขมขึ้นมาเล็กน้อย และหวานน้อยลงไปด้วย
แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ เราไม่ควรทำตอนที่เครมบูเล่กำลังร้อน ๆ ออกมาจากเตา
ถ้าไม่อยากได้ไข่คนแทนคัสตาร์ด
เนื่องจากการเผาน้ำตาลด้วยปืนไฟนั้น เป็นการอัดความร้อนปริมาณมาก ลงไปในขนมทีเดียว สิ่งที่จะเกิดขึ้นหากตัวขนมยังร้อนอยู่ก็คือ ความร้อนในตัวขนมจะเพิ่มสูงขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลาอันสั้น ทำให้โปรตีนในไข่เกิดการเสียรูป และกลายเป็นไข่คนแทน
สิ่งที่ควรทำก็คือ หลังจากอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นำตัวคัสตาร์ดไปแช่เย็นก่อน
จากนั้นค่อยนำมาโรยน้ำตาลและเผาไฟอีกครั้ง การทำแบบนี้ จะช่วยให้ความร้อนที่ลงไปในเนื้อขนมไม่สูงเกินไปจนไข่สุกนั่นเอง
.
เป็นยังไงกันบ้างครับ กับเรื่องราววิทย์ ๆ ของเครมบูเล่ ขนมคัสตาร์ดอบ ที่นุ่ม หวานละมุน หอมวานิลลา ที่ใครกินเป็นต้องชอบ
อ่านจบแล้วอย่าลืมไปลองทำกันนะครับ ได้ไม่ได้ยังไง ติดปัญหาตรงไหน
สอบถามกันได้ที่คอมเม้นต์เลยครับผม
ติดตามอ่านเรื่องของวัตถุดิบ และความรู้ต่าง ๆ ในการทำขนม
ได้โดยการกดติดตาม Blockdit: Sappayhera
และหากหิวขนมอร่อย ๆ ก็สามารถอุดหนุนกัน ได้ที่ Shopee
ค้นหาร้าน Sappayhera เรามีคาเนอเล่ ขนมคัสตาร์ดอบกรอบ ที่กรอบนอก
นุ่มใน หอมเหล้ารัมและวานิลลา พร้อมให้นำไปอุ่นร้อน กินที่บ้านคู่กับกาแฟ
ใครสายโฮมคาเฟ่ พลาดไม่ได้เด็ดขาดเลย รออบขนมให้อยู่นะครับ
โฆษณา