17 มิ.ย. 2021 เวลา 01:00 • ยานยนต์
ทำไม Norway ถึงเป็นประเทศผู้นำการใช้รถยนต์ EV (Norway – The EV Capital of The World)
2
Norway ผู้นำการใช้รถยนต์ EV
ในช่วงปี 2010 – 2018 มียอดขายรถยนต์โดยสารทั่วโลกเฉลี่ยสูงถึง 71 ล้านคันต่อปี เกือบทั้งหมดเป็นรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงปิโตรเลียมเป็นแหล่งพลังงานในการขับเคลื่อน แม้ว่าในปี 2020 การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์เผชิญวิกฤติอย่างหนัก ยอดขายรถยนต์นั่งโดยสารรวม 63.8 ล้านคัน ลดลง 14% จากปี 2019 แต่สัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า(รถยนต์ EV) กลับเพิ่มขึ้น โดยในปี 2020 มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้า(รถยนต์ EV) กว่า 3 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจาก 2.1 ล้านคันในปี 2019 สวนทางกับยอดขายรถยนต์โดยรวม แม้ว่าสัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าต่อรถยนต์ทั่วโลกจะมีเพียง 4.7% แต่ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายของภาครัฐหลายประเทศที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด และบริษัทรถยนต์มีการออกรถยนต์ไฟฟ้า(รถยนต์ EV) รุ่นใหม่ออกมามากมาย
ยอดขายรถยนต์ทั่วโลก ปี 2010 - 2021 (ล้านคัน)
📌 ปัจจัยหลักที่ทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น คือ
การที่รัฐบาลหลายประเทศมีการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซมลพิษให้เป็นศูนย์ (Net zero emission) เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน ภาครัฐจึงออกนโยบายเพื่อเพิ่มปริมาณการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์เรื่อยมา บางประเทศถึงกับวางแผนให้ภายใน 5 – 20 ปี ข้างหน้าจะไม่มีรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษจำหน่ายหรือใช้งานในประเทศแล้ว
แผนห้ามใช้รถยนต์ใช้น้ำมันของประเทศต่างๆ
จากการสำรวจในปี 2020 พบว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้า(รถยนต์ EV) ในทวีปยุโรปได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง จากยอดขายที่เติบโตสูงมากถึง 137% จากปีก่อนหน้า หรือคิดเป็น 1.4 ล้านคัน ในขณะที่จีนและสหรัฐฯ มีการซื้อเพิ่มขึ้นเพียง 12% และ 4% ตามลำดับ ทำให้ปัจจุบัน สัดส่วนการถือครองตลาดด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า(รถยนต์ EV) ของยุโรป จีน และสหรัฐฯเป็น 43%, 41%, และ 10% ตามลำดับ
ยอดขายรถ EV ยุโรปแซงหน้าประเทศจีน
โดยประเทศที่มีความโดดเด่นและประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเปลี่ยนการเดินทางด้วยรถยนต์ใช้น้ำมันมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า(รถยนต์ EV) คือ ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งมีสัดส่วนการใช้รถ BEV ต่อรถยนต์นั่งโดยสารส่วนบุคคลสูงถึง 17.2% นำหน้าทุกประเทศในโลก
สัดส่วนรถ BEV ต่อรถยนต์นั่งโดยสายส่วนบุคคล (ปี 2020)
📌 อะไรทำให้ประเทศนอร์เวย์เป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าต่อประชากรมากที่สุดในโลก
ด้วยนโยบายด้านการคมนาคมในการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero emission) ที่กำหนดเป้าหมายของประเทศให้ในปี 2025 รถยนต์ที่จำหน่ายในประเทศทั้งหมดต้องเป็นรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์เท่านั้น (ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิง) รัฐบาลนอร์เวย์จึงมีการปฏิรูปการใช้รถใช้ถนนในประเทศอย่างจริงจัง เมื่อสิ้นปี 2020 ประเทศนอร์เวย์มีรถ BEV จดทะเบียนสะสมในประเทศมากกว่า 330,000 คัน หรือคิดเป็น 17.2% ของรถยนต์นั่งโดยสารส่วนบุคคลทั้งหมดของประเทศ ในขณะที่ยอดขายรถ BEV ปี 2020 ครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ในประเทศถึง 54% ความสำเร็จนี้เป็นผลจากนโยบายและสิ่งกระตุ้นทั้งหลายของรัฐบาลนอร์เวย์
รัฐบาลนอร์เวย์เริ่มมาตรการสนับสนุนให้ประชาชนเปลี่ยนจากรถใช้น้ำมันมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 1990
(1) โดยเริ่มจากการงดเว้นภาษีซื้อและภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจนถึงปัจจุบัน
รัฐบาลสร้างแรงจูงใจในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพผ่านระบบการเก็บภาษี ด้วยการกำหนดภาษีรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษ (รถยนต์ใช้เชื้อเพลิงเผาไหม้) สูงกว่ารถยนต์ที่ปล่อยมลพิษต่ำ (เช่น HEV และ PHEV) และรถ BEV หรือรถ FCEV โดยนำปริมาณการปล่อยก๊าซมลพิษและน้ำหนักรถมาใช้ในการคิดราคา รวมถึงงดเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (25%) ให้กับรถ BEV หรือรถ FCEV ทำให้รถยนต์ที่มีน้ำหนักมากและปล่อยก๊าซพิษมีราคาแพง ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้า รุ่น Volkswagen e-golf มีราคาขายต่ำกว่ารถยนต์ใช้น้ำมันรุ่น Volkswagen Golf ประมาณ 2.4% หรือคิดเป็นเงิน 808 ยูโร ทำให้ผู้ซื้อรถหันไปเลือกรถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่มีราคาถูกกว่ามากขึ้น
1
ใน Norway รถใช้นำ้มันราคาแพงกว่ารถยนต์ไฟฟ้า
ทางด้านบริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์ก็ได้รับการลดหย่อนภาษีเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นแรงกระตุ้นด้าน supply ให้บริษัทนำรถ EV เข้ามาจำหน่ายมากขึ้น โดยลดหย่อนภาษีนิติบุคคลลง 50% (2000 – 2018) ต่อมาปรับเป็น 40% จนถึงปัจจุบัน
(2) ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน
รัฐบาลนอร์เวย์มีการจัดการสร้างเครือข่ายชาร์จไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ปี 2017 รัฐบาลมีโครงการให้เงินทุนในการจัดตั้งสถานีชาร์จเร็วอย่างน้อย 1 แห่งทุก ๆ 50 กม. บนถนนสายหลักทั้งหมดในนอร์เวย์ ซึ่งปัจจุบันมีการจัดตั้งสถานีชาร์จเร็วบนถนนสายหลักทุกสายในนอร์เวย์เรียบร้อยแล้ว ทำให้การเดินทางระยะทางไกลสะดวกสำหรับประชาชน อีกทั้งรัฐบาลยังมีการจัดสรรงบประมาณในปี 2018 ในการติดตั้งจุดชาร์จไฟฟ้าให้กับสมาคมการเคหะถึง 2.1 ล้านยูโร เพื่อสนับสนุนการติดตั้งจุดชาร์จไฟฟ้าตามครัวเรือน ทั้งนี้ในปี 2020 ประเทศนอร์เวย์มีสถานีชาร์จไฟฟ้าทั้งสิ้นกว่า 400,000 จุดทั่วประเทศ ในจำนวนนี้มีถานีชาร์จไฟสาธารณะ 16,000 จุด ซึ่งมีที่ชาร์จประเภทต่างๆและ super charger ของ Tesla ติดตั้งอยู่ด้วย
จำนวนสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะใน Norway
EV Charging Station ใน Norway
(3) นอกจากนี้ทางรัฐบาลนอร์เวย์ยังให้สิทธิพิเศษกับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า
รัฐบาลใส่ใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อำนวยความสะดวกและให้ประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้รถ จึงมีมาตรการยกเว้นและลดหย่อนต่าง ๆ มาดึงดูดให้ประชาชนเลือกใช้รถ EV กันมากขึ้น เช่น
(3.1) ไม่เก็บค่าบริการทางด่วน ค่าบริการเรือเฟอร์รี่ข้ามฟาก และค่าที่จอดรถสาธารณะ สำหรับรถ EV (1997 – 2017) ต่อมาเปลี่ยนมาเก็บในอัตรา 50% ของค่าบริการที่เรียกเก็บกับรถยนต์ใช้น้ำมันทั่วไป,
(3.2) รัฐบาลท้องถิ่นมีการอนุญาตให้รถ EV วิ่งในเลนรถบัสได้ และ
1
(3.3) ผู้ใช้รถ EV สามารถเดินทางคนเดียวได้ โดยไม่ต้องมีผู้โดยสารไปด้วย เป็นต้น
📌 World Wide Fund for Nature (WWF)
ได้ทำการสำรวจเหตุผลในการเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าของประชาชนนอร์เวย์พบว่า 47% ของประชากรมองว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีค่าดำเนินการราคาถูกกว่ารถใช้น้ำมัน, 39% ของประชากรเห็นว่าการใช้ทางหลวงฟรีเป็นสิ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้รถยนต์ไฟฟ้า และ 53% ของประชากรบอกว่าอัตราภาษีที่ถูกเป็นเหตุผลหลัก โดยสรุปแล้วจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในการใช้รถยนต์เป็นเหตุผลหลักในการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นการที่รัฐฯจะสามารถเพิ่มจำนวนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องมีนโยบายลดหย่อนและให้สิทธิพิเศษต่างๆเป็นหลัก แต่ก็ต้องมีความพร้อมในสถานีชาร์จไฟฟ้าด้วยเช่นเดียวกัน
รถ BEV รุ่นยอดนิยมใน Norway
📌 นอกจากประเทศนอร์เวย์แล้ว
ประเทศอื่นๆ ในยุโรปก็กำลังเร่งดำเนินนโยบายสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ในช่วงปี 2030 – 2050 เช่นเดียวกัน ในประเทศสวีเดนซึ่งมีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าต่อรถใช้น้ำมันรองจากนอร์เวย์ก็ดำเนินนโยบายด้านภาษีและโครงสร้างพื้นฐานในแนวทางเดียวกัน ส่วนในประเทศเยอรมนีหนึ่งในผู้นำด้านอุตสาหกรรมรถยนต์มีการปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่มในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าลงจาก 19% เหลือ 16% รถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลที่จดทะเบียนในปี 2020 ได้รับการยกเว้นภาษีรถยนต์ 10 ปี และในปี 2021 มีการให้เงินอุดหนุนสูงสุดถึง 9,000 ยูโร แก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาต่ำกว่า 40,000 ยูโร
คาดว่าภายในปี 2030 ทวีปยุโรปจะมีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าโดยสารส่วนบุคคลทั้งหมด 40 ล้านคัน
ตอนหน้าจะขอข้ามมาทางฝั่งเอเชีย ดูว่าทำไมจีนถึงก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าจับตามอง ติดตามกันด้วยนะคะ
บทความ EV Series
บทที่ 2 กว่ารถยนต์ไฟฟ้า EV จะมาถึงวันนี้
บทที่ 1 ประวัติศาสตร์รถยนต์ EV
ผู้เขียน: ปรียา ชัชอานนท์ Economist, Bnomics

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา