17 มิ.ย. 2021 เวลา 08:42 • หนังสือ
🌟โชติกเศรษฐี (ผู้มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง) ตอนที่ 1 : ภาพพุทธศิลป์ วัดพระธรรมกาย🌟
1
สมบัติอัศจรรย์ที่น่าปลื้มใจและเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของคนทั้งหลาย แม้จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่สิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้เสมอสำหรับบุคคลอัศจรรย์ ที่ได้ประกอบเหตุอันน่าอัศจรรย์เอาไว้ ดั่งเช่นมหาสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง ที่ใช้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมดสิ้น ซึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้วเพื่อให้คนผู้มีบุญได้ใช้สอยอย่างสะดวกสบาย ดังเรื่องของมหาเศรษฐีที่จะเล่าต่อไปนี้
ในสมัยพุทธกาล..มีเศรษฐีท่านหนึ่งนามว่า “โชติกะ” ผู้ที่จัดได้ว่าเป็นเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะท่านเป็นผู้ที่มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง ไม่ต้องทำมาหากิน และมีความเป็นอยู่ประดุจเทวดาในเทวโลกที่เสวยสมบัติได้อย่างเต็มที่ ซึ่งก็แน่นอนว่าที่ท่านรวยอย่างง่ายๆ นั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าท่านได้สั่งสมบุญมาก่อนในอดีตชาตินั่นเอง
ท่านได้ถือกำเนิดมาในตระกูลเศรษฐีแห่งกรุงราชคฤห์ ซึ่งในวันที่ท่านเกิดนั้นได้มีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นคือ..อาวุธทั้งหมดในพระนครได้เปล่งแสงรุ่งเรืองสว่างไสว รวมไปถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ที่คนทั้งหลายสวมใส่ก็พลันเปล่งรัศมีเจิดจ้าไปด้วย ดังนั้น..ทั่วทั้งพระนครจึงรุ่งโรจน์สว่างไสวไปทั้งหมด
และในวันนั้นเอง..ท่านเศรษฐีผู้เป็นบิดาก็ได้ไปเข้าเฝ้าพระราชาตั้งแต่เช้าตรู่ พระราชาจึงได้ตรัสถามว่า “วันนี้..อาวุธทั้งหมดเปล่งแสงสว่างไสว และพระนครก็สว่างรุ่งโรจน์ไปทั้งหมด ท่านรู้เหตุไหมว่าเป็นเพราะอะไร” ท่านเศรษฐีจึงได้ตอบว่า “ข้าพระองค์ทราบเหตุของเรื่องนี้ดี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในวันนี้..บุตรได้เกิดในเรือนของข้าพระองค์ แสงสว่างนั้นจึงได้เกิดขึ้นเพราะเดชแห่งบุญของเขานั่นเอง”
พระราชาตรัสถามว่า “เขาคงจะเป็นโจรละกระมัง” ท่านเศรษฐีจึงกราบทูลว่า “เขาไม่ได้เป็นโจร พระเจ้าข้า แต่เขาเป็นผู้มีบุญที่ได้สั่งสมบุญญาภินิหารไว้เป็นอันมากในชาติก่อน” เมื่อพระราชาได้สดับดังนั้นก็ทรงปลื้มพระทัยว่า “ผู้มีบุญมากได้มาเกิดอยู่ในแว่นแคว้นของพระองค์” พระองค์จึงได้พระราชทานค่าเลี้ยงดูวันละหนึ่งพันพร้อมกับตรัสว่า “จงเลี้ยงเขาให้ดี นี้เป็นค่าน้ำนมของเขา”
เมื่อถึงวันตั้งชื่อ..ชนทั้งหลายได้พร้อมใจกันตั้งชื่อให้ว่า “โชติกะ” ซึ่งแปลว่า “รุ่งเรืองหรือสว่างไสว” เพราะเหตุว่าในวันที่ท่านเกิด..ทั่วทั้งพระนครได้เกิดแสงสว่างรุ่งเรืองไปทั้งหมด เมื่อท่านเติบใหญ่แล้ว..คนทั้งหลายก็ได้พากันแผ้วถางพื้นที่เพื่อจะสร้างบ้านให้ท่านอยู่ แต่ด้วยเดชแห่งบุญของท่านจึงทำให้ภพของท้าวสักกะเกิดอาการร้อนขึ้น
ท้าวสักกเทวราชจึงดำริว่า “บ้านที่คนทั้งหลายจะสร้างให้นั้นไม่เหมาะสมกับบุญที่ท่านโชติกะได้สั่งสมมาเลย” ดังนั้น..พระองค์จึงได้เสด็จลงมาเนรมิตปราสาทแก้ว 7 ชั้นที่ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วอีก 7 ชั้น ซึ่งทั้งหมดล้วนสำเร็จแล้วด้วยแก้ว 7 ประการ ไม่เพียงเท่านั้น..พระองค์ยังทรงเนรมิตต้นกัลปพฤกษ์ไว้อีกจำนวนมาก และสุดท้าย..พระองค์ก็ทรงเนรมิตขุมทรัพย์ใหญ่อีก 4 ขุมไว้ที่มุมทั้ง 4 ของปราสาท
1
ยิ่งไปกว่านั้น..พระองค์ยังทรงมอบหมายให้ยักษ์ทั้ง 7 ตนพร้อมด้วยบริวารคอยอารักขาซุ้มประตูทั้ง 7 ไว้อีกด้วย โดยซุ้มประตูที่ 1 พระองค์ทรงมอบหมายให้หัวหน้ายักษ์พร้อมด้วยบริวาร 1 พันคอยอารักขา พอถึงซุ้มประตูที่ 2 ก็ทรงเพิ่มเป็น 2 พัน..ไล่เรื่อยไปจนถึงซุ้มประตูที่ 7 ได้ทรงมอบหมายให้หัวหน้ายักษ์และบริวาร 7 พันคอยอารักขาไว้อย่างแน่นหนาทั้งภายนอกและภายในปราสาท
เมื่อพระราชาพระนามว่า “พิมพิสาร” ทรงทราบข่าวว่า “ปราสาทแก้ว 7 ชั้นล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว 7 ชั้นและมีซุ้มประตูอีก 7 ซุ้มซึ่งสำเร็จแล้วด้วยแก้ว 7 ประการ พร้อมด้วยขุมทรัพย์ใหญ่ทั้ง 4 ขุมได้ผุดขึ้นเพื่อท่านโชติกะ” พระองค์จึงได้จัดส่งฉัตรเศรษฐีไปมอบให้กับท่านโชติกะ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา..ท่านจึงได้รับตำแหน่งว่า “โชติกเศรษฐี”
ส่วนภรรยาของท่านนั้น..เทวดาได้นำหญิงสาวที่ได้สร้างบุญร่วมกับท่านมา ซึ่งเกิดอยู่ที่อุตตรกุรุทวีปมามอบให้กับท่าน และในวันที่มา..เธอก็ได้นำข้าวสาร 1 ทะนานพร้อมด้วยแผ่นศิลา 3 แผ่นสำหรับหุงข้าวมาด้วย โดยข้าวสารที่เธอนำมานั้น..แม้จะบรรจุใส่เกวียนให้แก่มหาชนจนเต็ม 100 เล่มเกวียนก็ยังคงปรากฏเต็มทะนานอยู่เหมือนเดิม
เมื่อถึงช่วงเวลาหุงข้าว..พวกบริวารก็จะนำข้าสารใส่หม้อแล้วก็เอาไปตั้งไว้บนแผ่นศิลา 3 แผ่น จากนั้น...แผ่นศิลาก็จะลุกเป็นไฟขึ้น จนกระทั่งเมื่อข้าวที่หุงนั้นสุกแล้วไฟก็จะดับไปเอง หรือแม้เวลาปรุงอาหารอย่างอื่นก็ใช้แผ่นศิลานี้แทนไฟธรรมชาติเช่นเดียวกัน ส่วนในยามค่ำคืน..ภายในปราสาทของท่านก็จะสว่างไสวไปด้วยแสงของแก้วมณี โดยไม่ได้อาศัยแสงสว่างจากไฟอย่างอื่นเลย
ข่าวการเกิดขึ้นของมหาสมบัตินี้ได้แผ่ขยายออกไปจนทั่วทุกภูมิภาค ทำให้มีมหาชนจำนวนมากได้พากันเทียมเกวียนรอนแรมมาเพื่อจะดูสมบัติของท่านโชติกเศรษฐีทุกๆ วัน ดังนั้น...ท่านโชติกเศรษฐีจึงได้สั่งให้พวกบริวารหุงข้าวด้วยข้าวสารที่ภรรยานำมาจากอุตตรกุรุทวีป เพื่อแจกให้คนเหล่านั้นได้รับประทาน อีกทั้ง..ท่านยังบอกให้ทุกคนถือเอาผ้าและเครื่องประดับไปจากต้นกัลปพฤกษ์อีกด้วย
ไม่เพียงแค่นั้น..ท่านโชติกเศรษฐียังสั่งให้บริวารเปิดขุมทรัพย์ 1 ขุมซึ่งมีขนาด 1 คาวุต (4 กิโลเมตร) พร้อมทั้งอนุญาตให้คนทั้งหลายนำเอาทรัพย์ไปให้เพียงพอที่จะเลี้ยงชีวิตของตัวเอง แต่ไม่ว่าผู้คนจะขนเอาทรัพย์ไปมากมายขนาดไหนก็ตาม ขอบปากแห่งขุมทรัพย์ก็ไม่ได้พร่องลงไปเลยแม้แต่น้อย
มหาชนจากทั่วทุกสารทิศได้หลั่งไหลมาขนเอาเสื้อผ้าอาภรณ์และทรัพย์ไปตามความปรารถนา โดยนับวันก็ยิ่งมีคนมากันเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชาแห่งแคว้นก็ยังทรงปรารถนาที่จะทอดพระเนตรสมบัติของท่านโชติกเศรษฐีด้วยเช่นกัน แต่เมื่อคนยังมากันมากอยู่ พระราชาจึงต้องทรงรอคอยโอกาสต่อไป
🍀ติดตาม โชติกเศรษฐี (ผู้มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง) ตอนที่ 2 ต่อไป
🌟รับธรรมะดี ๆ ที่เป็นประโยชน์และเป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรม เพื่อให้เข้าถึงความสุขภายในได้ที่นี่
⚡️Line
⚡️Facebook
⚡️YouTube
⚡️Instagram
⚡️Twitter
⚡️Pinterest
⚡️Spotify
⚡️Apple Podcasts
⚡️JOOX
⚡️TikTok
⚡️Blockdit
⚡️Clubhouse
⚡️Google Maps
โฆษณา