19 มิ.ย. 2021 เวลา 03:50 • ธุรกิจ
ทำไม เจฟฟ์ เบโซส ไม่เชื่อใน Work-Life Balance
3
ในขณะที่หลายคนกำลังมองหาสมดุลชีวิต เพราะบางครั้งการทำงานมากเกินไป อาจไปกระทบสุขภาพ
ความสัมพันธ์ หรือเวลาอื่น ๆ ในชีวิต ทำให้หลายคนพยายามใช้ชีวิตแบบ Work-Life Balance
หรือก็คือ “พยายามแบ่งเวลางานออกจากเวลาส่วนตัว”
4
แต่แนวคิด Work-Life Balance ไม่ใช่แนวคิดที่เจฟฟ์ เบโซส ผู้ก่อตั้ง Amazon.com ยึดถือ
เพราะเขามองว่า การพยายามขีดเส้นแบ่ง ระหว่างชีวิตและการทำงาน มันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากสำหรับเขา
1
ทำไม เจฟฟ์ เบโซส ถึงคิดเช่นนั้น ?
THE BRIEFCASE จะสรุปให้ฟัง..
1
เจฟฟ์ เบโซส เคยให้สัมภาษณ์ว่าตัวเขาชอบคำว่า “Work-Life Harmony” มากกว่า
ซึ่งความหมายของคำว่า Work-Life Harmony ก็คือ “ชีวิตและการทำงาน มันผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน”
10
เช่น หากเขาใช้ชีวิตของเขาอย่างมีความสุข เมื่อมาที่ทำงานเขาก็จะมีความสุข
เมื่อเขามีชีวิตที่ดี ก็จะส่งผลให้เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี เป็นเจ้านายที่ดี ทำงานได้อย่างกระฉับกระเฉง
หากเขานอนหลับอย่างเพียงพอ 8 ชั่วโมง มันก็ส่งผลให้เช้าวันทำงานรู้สึกสดชื่น
10
หรือถ้าเขาสามารถทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพ รู้สึกตัวเองกำลังสร้างคุณค่าบางอย่าง
เมื่อเขากลับมาที่บ้าน หรือใช้ชีวิตส่วนตัว เขาก็จะรู้สึกดี รู้สึกภูมิใจในตัวเอง
อยากทำหน้าที่แบบเพื่อนมนุษย์ให้ดีขึ้น
5
แม้ว่าเจฟฟ์ เบโซส จะต้องใช้เวลาทำงานที่ค่อนข้างยาวนาน
แต่ตัวเขามองว่า ชั่วโมงในการทำงานต่อสัปดาห์หรือต่อเดือน มันยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ
แต่สิ่งสำคัญก็คือ “พลังงานหรือพลังใจ” ของตัวเรามากกว่า
3
หากเราไม่มีพลังใจหรือพลังขับเคลื่อนที่มากพอ แม้จะทำงานไม่กี่ชั่วโมง
เราก็รู้สึกเหนื่อย ท้อ หมดแรง อุปสรรคเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่
13
ดังนั้นสิ่งที่เขาโฟกัสคือ “งานนั้นให้คุณค่า ให้พลังงาน พลังใจกับเรา มากขึ้นหรือลดลง”
4
ลองจินตนาการดูว่า มีคน 2 คน เข้ามาในที่ประชุม
3
คนแรก เข้ามาด้วยท่าทางเบิกบาน มีพลัง คนในห้องประชุมจะรู้สึกอย่างไร ?
คนที่สอง เข้ามาด้วยท่าทางห่อเหี่ยว ไม่ยิ้มแย้ม บรรยากาศในห้องประชุมจะเป็นแบบไหน ?
3
แน่นอนว่าคนแรกจะช่วยดึงพลังงานให้ทุกคนสดชื่นตาม
ส่วนคนที่สองอาจจะดึงพลังงานคนอื่น ๆ ให้ร่วงลงมาได้
ซึ่งคนแรกอาจจะเจอเรื่องที่ดี ๆ มาจากบ้าน คนที่สองอาจจะมีเรื่องเครียด มีความกังวลจากปัญหาส่วนตัว
ทำให้การมาออฟฟิศ มีการแสดงออกของทั้งสองคนก็แตกต่างกัน
2
หรือถ้าตัวเรากำลังรู้สึกเคร่งเครียดกับงาน มีปัญหาเรื่องงาน แล้วไปเที่ยวกับครอบครัว
แน่นอนว่า การไปเที่ยวมันก็คงไม่มีความสุข และทำให้คนที่บ้านไม่มีความสุขไปด้วย
ดังนั้นเจฟฟ์ เบโซส จึงมองว่า ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ทำงานประสานกัน
ชีวิตส่วนตัวและงานมีผลต่อกันและกัน ไม่สามารถแยกขาดจากกันได้จริง ๆ
และเขายังมองว่า การพยายามสร้างสมดุล หรือยึดติดคำว่าสมดุลมากเกินไป
มันจะยิ่งทำให้เรารู้สึกเคร่งเครียด และเมื่อทำไม่ได้อย่างที่ต้องการ
ก็จะยิ่งรู้สึกแย่ กดดัน และอาจจะส่งผลให้ชีวิตเราแย่ไปกว่าเดิม
6
สรุปก็คือ มุมมองการทำงานของเจฟฟ์ เบโซส เขาเชื่อใน Work-Life Harmony
ถ้าเราได้ทำงานที่สร้างคุณค่า มองว่างานเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า
และมองว่า การใช้ชีวิตส่วนตัวให้ดี ก็มีผลช่วยทำให้เรา สามารถทำงานได้ดี และในทำนองเดียวกัน ถ้าเรามีความสุขกับการทำงาน เราก็จะมีความสุขกับการใช้ชีวิตด้วยเช่นกัน
10
และมันก็จะทำให้เขาไม่มีปัญหากับการทำงาน แม้ว่ามันจะใช้ชั่วโมงที่ยาวนาน
เพราะการใช้ชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน มันต่างสร้างพลังงานและพลังใจที่ดีให้กับเขาได้
3
แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงมุมมองและแนวคิดหนึ่งเท่านั้น คงไม่มีอะไรเป็นสูตรสำเร็จตายตัว
เพราะชีวิตของแต่ละคนมีเงื่อนไขและความต้องการที่ไม่เหมือนกัน
2
และคำว่า Work-Life Harmony มันก็อาจจะดีต่อใจ แค่กับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของโลก อย่างเจฟฟ์ เบโซส ก็เป็นได้..
โฆษณา