19 มิ.ย. 2021 เวลา 03:55 • ท่องเที่ยว
"ปีนัง" มั้ยล่ะ!
มาแล้วนะโว้ย… มาเลเซีย! ข้าพเจ้าได้แต่ตะโกนบอกตัวเองอยู่ในใจ เพราะหากตะโกนออกไปคงจะถูกมองด้วยสายตาอันน่าขบขันมิใช่น้อย ฮ่าๆ และในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้มาสักทีประเทศเพื่อนบ้านผู้น่ารักแห่งนี้ เนื่องจากครั้งนี้ข้าพเจ้ามีเวลาในการเดินทางท่องเที่ยวนานถึง 5 วันกันเลยทีเดียว ข้าพเจ้าจึงได้ใช้เวลาละเลียดไปกับดินแดนที่เรียกได้ว่ามีความหลากหลายทางชาติพันธุ์! ไม่ว่าจะเป็นชาวมลายู ชาวจีน ชาวอินเดีย หรือแม้แต่ชาวไทยเองก็ได้มาตั้งรกรากกันอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้เช่นกัน! :)
จากการเดินทางในครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่า โอ้วว... บ้านเราก็มีรถตู้ที่สามารถนั่งจากหาดใหญ่ข้ามไปยังเกาะปีนังได้เลย ช่างสะดวกสบายเป็นยิ่งนัก ^^ ซึ่งการเดินทางของข้าพเจ้าในครั้งนี้เป็นการเดินทางแบบแบ็คแพ็คแต่เพียงผู้เดียวดังเช่นเคย :) และเป็นการเดินทางที่แสนยาวนานมาก (นานมากจริงๆ ฮ่าๆ) เนื่องจากข้าพเจ้าต้องการที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้ได้มากที่สุด ทำให้ข้าพเจ้าเลือกวิธีการเดินทางโดยใช้บริการขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟไทยบ้านเรานั่นเอง
ในแรกเริ่มเดิมทีข้าพเจ้าตั้งใจที่จะนั่งรถไฟไปบัตเตอร์เวิร์ด แต่ว่าทว่า… ก็สายเสียแล้ว! เพราะรถไฟขบวนนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางใหม่โดยการนั่งรถไฟจากหัวลำโพงไปลงที่สถานีชุมทางหาดใหญ่ แล้วตั้งใจว่าจะต่อรถไฟเพื่อข้ามฝั่งไปยังปาดังเบซาแล้วต่อเรืออีกทีเพื่อข้ามฝั่งไปยังปีนัง แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้พ่ายแพ้ให้กับความเหนื่อยล้าของร่างกายตัวเองจากการนั่งรถไฟนานติดต่อกันหลายชั่วโมง และด้วยเหตุนี้เองทำให้ข้าพเจ้าเลือกใช้บริการรถตู้ซึ่งสามารถนำข้าพเจ้าไปส่งยังที่พักได้เลย โดยมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางประมาณไม่เกินห้าร้อยบาทนี่แหละ ข้าพเจ้าลืม! แต่ไม่เกินนี้อย่างแน่นอน ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทางจากหาดใหญ่ไปยังที่พักของข้าพเจ้าที่ปีนัง ประมาณ 3-4 ชั่วโมง ซึ่งหลังจากที่ข้าพเจ้าคำ
นวณค่าใช้จ่ายแล้วก็โอเคไม่ได้เกินจากงบประมาณที่ตั้งไว้ ทำให้ข้าพเจ้า เซเยส! กลับไปอย่างง่ายดาย ><
"สถานีรถไฟหัวลำโพง"
19 OCT 2019 - Bangkok - Hatyai - Penang, Malaysia - จากแผนการเดินทางข้างต้น ข้าพเจ้าได้ทำการแพ็คกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟหัวลำโพง โดยข้าพเจ้าได้จองรถไฟรอบบ่ายสามโมงถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิดซึ่งรถไฟเที่ยวนี้จะไปถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่ในเวลาประมาณแปดโมงสี่สิบนาที ซึ่งข้าพเจ้าทำการจองตั๋วรถไฟออนไลน์และปริ้นตั๋วเป็นที่เรียบร้อยโดยเมื่อไปถึงข้าพเจ้าก็สามารถเดินขึ้นรถไฟไปนั่งตามหมายเลขที่นั่งที่ระบุไว้บนตั๋วได้เลยโดยไม่ต้องไปรอการออกตั๋วที่เคาน์เตอร์ ^^
หลังจากข้าพเจ้าเลือกที่นั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็เตรียมงีบ ฮ่าๆๆ เนื่องจากร่างกายอ่อนล้าเต็มที แต่ก่อนจะงีบหลับข้าพเจ้าก็ได้พกหนังสือของคุณนิ้วกลมมาอ่านคร่าเวลาระหว่างอยู่บนรถไฟ โดยหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่ข้าพเจ้าชื่นชอบเป็นอย่างมาก เพราะเป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องการเดินทางไปยังยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกอย่างเอเวอเรสเบสแคมป์ (EBC) มีชื่อหนังสือว่า “เอเวอเรสไม่มีจริง” ซึ่งจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้าอยากที่จะออกเดินทางไปให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ข้าพเจ้ายิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าการเดินทางของคุณนิ้วกลมกับผองเพื่อนนั้นไม่ง่ายเลย การที่จะเดินไปถึงได้นั้นเราต้องต่อสู้กับอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งสภาพอากาศที่หนาวเย็นรวมไปถึงร่างกายที่ต้องเผชิญกับสภาวะที่เรียกว่าโรคแพ้ความสูงที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาถึงแม้ว่าร่างกายจะแข็งแรงเท่าใดก็ตาม แต่อาการของโรคแพ้ความสูงนั้นไม่เข้าใครออกใคร แต่ถึงแม้ว่าการเดินทางมันจะลำบากแค่ไหน ตัวข้าพเจ้าเองก็อยากจะมีโอกาสได้เดินทางไปดูสักครั้ง :)
ข้าพเจ้าหลับๆ ตื่นๆ เนื่องจากเสียงของพ่อค้าแม่ค้าที่ขึ้นมาขายของบนรถไฟตลอดทั้งคืน ถึงแม้ว่าการเดินไปมาของแม่ค้าพ่อค้าอาจจะรบกวนการนอนของข้าพเจ้าอยู่บ้าง แต่ข้าพเจ้าชอบสิ่งเหล่านี้นะ อย่างน้อยข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าข้าพเจ้ามีเพื่อนร่วมเดินทาง และข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของการนั่งรถไฟไทยที่ไม่ใช่แค่วิวสวยๆ แต่สีสันอีกอย่างหนึ่งในการนั่งรถไฟก็คือพ่อค้าแม่ค้านี่แหละ!
"สถานีรถไฟหาดใหญ่"
20 OCT 2019 - Hatyai - Penang, Malaysia - ในที่สุดข้าพเจ้าก็เดินทางมาถึงสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ในเวลาสิบโมงกว่าๆ ซึ่งแน่นอนว่ารถไฟมาสายไปเกือบชั่วโมงกันเลยทีเดียว หลังจากที่ข้าพเจ้าลงจากรถไฟแล้วนั้น สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าต้องการมากที่สุดก็คือการล้างหน้าแปรงฟันและอาบน้ำ แต่อย่างหลังนี่ค่อนข้างลำบากข้าพเจ้าเลยตัดสินใจที่จะล้างหน้าและแปรงฟันแต่เพียงเท่านั้น ไม่นานนักหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจอันสำคัญยิ่ง ข้าพเจ้าก็เดินไปหาข้าวเช้ากินก่อน ฮ่าๆ และข้าพเจ้าก็เหลือบไปเห็นร้านข้าวหมูแดงอยู่ร้านนึงข้าพเจ้าเลยเดินตรงไปสั่งข้าวหมูแดงมาโซ้ยก่อนหนึ่งจาน
หลังจากข้าพเจ้ากินข้าวเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินไปเรื่อยๆ โดยในตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินทางไปต่อรถไฟเพื่อข้ามไปยังฝั่งประเทศมาเลเซียแล้วต่อเรือเพื่อข้ามไปยังเกาะปีนัง แต่พอเดินไปเดินมาก็ดันไปเจอบริษัทรถตู้โบกมือหยอยๆ พร้อมทั้งถามไถ่ว่าจะไปไหนรึ ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่าจะไปปีนังแต่ว่าจะนั่งรถไฟข้ามไปฝั่งมาเลเซีย ทางบริษัทรถตู้จึงบอกว่าเราก็มีรถตู้ไปถึงปีนังเลยนะ และสามารถไปส่งถึงที่พักได้เลย ในตอนแรกข้าพเจ้าก็ลังเลอยู่พักนึงแต่สุดท้ายข้าพเจ้าก็พ่ายแพ้ให้กับความอ่อนล้าของร่างกายตนเอง ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจใช้บริการรถตู้ของที่นี่ และออกเดินทางตอนบ่ายโมงตรง
"เมืองหาดใหญ่"
เนื่องจากข้าพเจ้าต้องรอขึ้นรถตอนเวลาบ่ายโมงตรง ทำให้ข้าพเจ้ามีเวลาเหลือเฟือในการเดินถ่ายรูปเล่นที่บริเวณสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ ซึ่ง “หาดใหญ่” ณ ตอนที่ข้าพเจ้าไปก็แลดูเป็นเมืองที่สงบดี ผู้คนไม่พลุกพล่านจนเกินไป ^^
ในที่สุดก็ได้เวลาออกเดินทางแล้วจ้า โดยการเดินทางจากหาดใหญ่มุ่งหน้าสู่เมืองปีนังจะใช้เวลาโดยประมาณ 3-4 ชั่วโมง โดยหลังจากขึ้นรถตู้แล้วข้าพเจ้าก็เตรียมตัวงีบหลับ ซึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่าข้าพเจ้าต้องลงจากรถตู้เพื่อข้ามด่านตม.หนึ่งหน แล้วหลังจากนั้นก็นั่งยาวจนไปถึงที่พักเลย ข้าพเจ้าเดินทางมาถึงที่พักในเวลาประมาณหกโมงเย็นกว่าๆ โดยพี่คนขับรถตู้ก็นำพาข้าพเจ้ามายังที่พักอย่างที่ว่าเอาไว้ในตอนแรก หลังจากข้าพเจ้าลงจากรถข้าพเจ้าก็กล่าวขอบคุณพี่คนขับรถตู้แล้วก็เดินเข้าไปเช็คอินพร้อมทั้งจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย และครั้งนี้ข้าพเจ้าทำการจองที่พักเป็นแบบดอมมิทอรี่ (Dormitory) เหมือนเช่นเคยผ่านทาง hostelworld.com ด้วยราคาประมาณ 500 บาท ต่อคืนเท่านั้น!
"Magpie Residence, Penang"
หลังจากข้าพเจ้าเช็คอินและจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย ข้าพเจ้าก็ได้คีย์การ์ดเข้าห้องมา
1 ใบ เอาไว้เปิดประตู้ห้องแต่เพียงเท่านั้น หลังจากที่ข้าพเจ้าเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วข้าพเจ้าก็พบกับเพื่อนร่วมห้องมีทั้งชายหญิงชาวต่างชาติหน้าตาเป็นมิตร ^^ โดยครั้งนี้ข้าพเจ้าจองห้องเป็นแบบดอมมิทอรี่ที่เป็นห้องรวมชายหญิง ซึ่งข้าพเจ้าชื่นชอบที่พักที่นี่เป็นอย่างมาก เนื่องจากที่นี่มีการกั้นเตียงเอาไว้เป็นอย่างดีพร้อมทั้งยังมีม่านกั้นและตู้ล็อกเกอร์ให้อีกด้วย และภายในเตียงนอนของเราก็จะมีทั้งที่ชาร์ตแบตและโคมไฟให้อีกด้วย นอกจากนั้นยังมีโซนที่เป็นเหมือนห้องครัวบวกกับเป็นห้องนั่งเล่นไปในตัวเอาไว้ให้ผู้ที่เข้าพักได้มานั่งกินข้าวหรือทำงานก็ได้เช่นกัน ห้องน้ำมีสองห้อง สะอาดและกว้างขวางมาก โดยรวมแล้วถือว่าดีมากๆ ข้าพเจ้าขอแนะนำหากใครที่จะเดินทางมาและกำลังมองหาที่พักราคาถูก :)
ข้าพเจ้าจัดวางกระเป๋าเสร็จเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นข้าพเจ้าก็ไปอาบน้ำก่อนเป็นสิ่งแรกของเย็นวันนี้ โดยหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่เป็นที่เรียบร้อย ข้าพเจ้าก็เตรียมออกเดินทางไปหาข้าวเย็นกิน โดยข้าพเจ้าเดินไปถามเจ้าหน้าที่ฟร้อนว่าแถวนี้มีตลาดหรืออะไรก็ตามแต่ที่ข้าพเจ้าจะสามารถไปกินข้าวได้มั้ย พี่พนักงานก็ชี้แผนที่ให้ข้าพเจ้าดูพร้อมทั้งบอกว่าตอนนี้เราอยู่ตรงนี้นะ ถ้าเดินไปทางนี้ก็จะมีตลาดมีร้านขายอาหารอยู่ ซึ่งพี่พนักงานก็บอกชื่อย่านนั้นกับข้าพเจ้าแหละ แต่บอกเลยว่าข้างนอกมืดแล้วและข้าพเจ้ายังไม่ได้ซื้อซิมเติมเน็ต ข้าพเจ้าไม่น่าจะเดินไปถูก ข้าพเจ้าเลยกล่าวขอบคุณแล้วลองเดินไปเรื่อยๆ กะว่าถ้าเจอร้านอาหารที่ไหนก็จะกินที่นั่นแหละ
ข้าพเจ้าเดินไปเรื่อยๆ จนเจอร้านอาหารอยู่ร้านหนึ่งเห็นมีคนบ้างพอประปราย คนไม่เยอะมาก ข้าพเจ้าเลยเดินเข้าไปในร้านทันที ทางร้านถามว่าต้องการให้ช่วยอะไร ข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้าจะมากินข้าวเย็นและมาคนเดียวนะ ทางร้านก็พาข้าพเจ้าเดินไปที่โต๊ะพร้อมทั้งวางเมนูเอาไว้ให้ ข้าพเจ้าบอกว่าอยากกินอะไรเผ็ดๆ อะไรก็ได้ ทางร้านเลยจัดให้ข้าพเจ้ามา 1 อย่าง กับข้าวอีกหนึ่งจาน ข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้ ลักษณะอาหารจะเป็นไก่กับแกงกะหรี่ที่มีรสเผ็ด ที่รสชาติอร่อย ถูกปากข้าพเจ้าเป็นยิ่งนัก :)
หลังจากข้าพเจ้าอิ่มหนำสำราญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในตอนแรกก็กะว่าจะไปเดินย่อยสักหน่อย แต่ข้าพเจ้าแถบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้วเลยตัดสินใจเดินกลับที่พักดีกว่า… เมื่อมาถึงที่พักแล้วข้าพเจ้าก็ได้เจอกับพนักงานอยู่ด้านล่างเห็นคุยอยู่กับลูกค้าท่านหนึ่ง พอเห็นข้าพเจ้าเดินผ่านมาก็ทักถามข้าพเจ้าว่าได้ไปมั้ยตลาดที่ถามน่ะ ข้าพเจ้าบอกว่าไม่ได้ไปจ้าเพราะเหนื่อยเกินไป ฮ่าๆๆ แต่เหมือนพี่พนักงานโฮสเทลก็รู้ทันข้าพเจ้าแหละว่าคงไม่ได้ไปเดินหรอกดูจากสภาพแล้ว ฮาาา… ข้าพเจ้าถึงที่พักและอาบน้ำอีกหนึ่งรอบและเข้านอนอย่างไวสำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์จ้า
21 OCT 2019 - Penang - ข้าพเจ้าตื่นแต่เช้าตรู่เหมือนเช่นเคย รู้สึกกระปี้กระเปร่ามากเพราะจะได้เที่ยวแล้ว ^^ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในยามเช้าแล้วข้าพเจ้าก็เดินชมบ้านชมเมืองไปเรื่อยๆ กะว่าจะหาข้าวเช้ากินก่อน ซึ่งบรรยากาศในตอนเช้าของเมืองจอร์จทาวน์ ณ เกาะปีนังแห่งนี้นั้นแลดูคึกคักเป็นอย่างยิ่ง และข้าพเจ้าคิดว่าที่เมืองจอรจทาวน์แห่งนี้เป็นเมืองที่มีความเก่าๆ คลาสสิค บ้านเรือนเป็นสีโทนเก่าๆ มันมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก แค่เดินดูตึกรามบ้านช่องอย่างเดียว ข้าพเจ้าก็ฟินด์มากแล้ว >< ยิ่งได้เห็นวิถีความเป็นอยู่ของผู้คนในยามเช้าก็ยิ่งดึงดูดข้าพเจ้าเข้าไปอีก ที่นี่มีทั้งชาวมาเลเซีย ชาวจีน ชาวอินเดีย และชนชาติอื่นๆ อีกที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้
สำหรับ “เมืองปีนัง” นั้น ข้าพเจ้าขอบอกเลยว่า ณ ดินแดนแห่งนี้มีความเป็นมาอย่างยาวนานมาก โดยว่ากันว่าที่แห่งนี้เป็นเมืองที่ถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ซึ่งในตอนนั้นกัปตันฟรานซิส ไลท์ (Francis Light) แห่งบริษัทเดินเรือทีมีชื่อว่า British East Indian Company ได้ทำการตกลงทำสัญญาเช่าเกาะปีนังแห่งนี้และได้ก่อตั้งที่นี่ให้เป็นเมืองท่าปลอดภาษีขึ้นมานั่นเอง โดยในตอนนั้นบนเกาะแห่งนี้ยังเป็นเพียงเกาะที่ไร้ร้างผู้คน จะมีก็เพียงแต่หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้เท่านั้น
สำหรับวันนี้ข้าพเจ้าตั้งใจที่จะเดินทางไปยัง “ปีนังฮิลล์ (Penang Hill)” ซึ่งข้าพเจ้าก็มิได้วางแผนอะไรมากมาย ข้าพเจ้าเปิดอากู๋ว่าถ้ามาที่ปีนังจะต้องไปที่ไหน แล้วข้าพเจ้าก็เห็นว่าคนมาเที่ยวที่ปีนังฮิลกันเยอะ ข้าพเจ้าก็เลยโอเคเซเยสกับตัวเองว่าขึ้นไปดูวิวเมืองปีนังที่นี่ดีกว่า! และอีกอย่างคือข้าพเจ้าเห็นว่าที่นี่มีหลายโซนให้เดินเที่ยว และก็มีสกายวอร์คให้เดินดูต้นไม้ใบหญ้า และนกน้อยต่างๆ อีกด้วย ข้าพเจ้าก็เลยคิดว่าจะไปที่ปีนังฮิลเป็นที่แรกนี่แหละ! ฮ่าๆ โดยปีนังฮิลนั้นก็เป็นอีกหนึ่งจุดแลนมาร์คของเมืองจอร์จทาวน์เลยก็ว่าได้ เพราะที่นี่เป็นจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมจากทั้งนักท่องเที่ยวและชาวท้องถิ่นเองเช่นกัน เพราะนอกจากท่านจะได้ชมวิวของเมืองปีนังแบบ 360 องศา กันแล้ว ท่านก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับโซนกิจกรรมต่างๆ ได้อีกด้วยนะจ๊ะ
ข้าพเจ้าตั้งใจที่จะเดินทางไปขึ้นรถเมล์ที่สถานีขนส่ง Komtar เพื่อที่จะขึ้นรถเมล์สาย 204 ไปยังปีนังฮิลล์ ซึ่งสถานีขนส่ง Komtar ก็อยู่ไม่ไกลจากที่พักของข้าพเจ้านัก ข้าพเจ้าก็เลยเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ข้าพเจ้าก็เดินทางมาถึงและในตอนแรกก็กะว่าจะเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่าข้าพเจ้าต้องรอรถบัสสาย 204 ที่ป้ายรถเมล์ไหน แต่บังเอิญว่าข้าพเจ้าได้เจอกับพี่คนไทยกลุ่มหนึ่งมากันเป็นครอบครัวเลย ข้าพเจ้าเห็นพี่ๆ พูดภาษาไทยกัน เลยเดินเข้าไปถามดู ปรากฏว่าพี่ๆ ก็จะไปที่ปีนังฮิลล์เหมือนกันและข้าพเจ้าก็เลยเดินตามพี่ๆ ไปนั่งรอรถเมล์ด้วยซะเลย ฮ่าๆ ข้าพเจ้าก็สนทนากับพี่ๆ เล็กน้อยและก็เลยขอถ่ายรูปกันสักหน่อย พอถ่ายรูปเสร็จข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้เช็ครูปให้ดีดี รถเมล์ก็มาเสียแล้ว ข้าพเจ้าก็เลยเดินไปขึ้นรถเมล์ พอตอนหลังข้าพเจ้าเข้ามาเช็ครูปดูอีกที ก็เป็นเศร้าเพราะรูปมันเบลอหมดเลย ฮ่าๆ แต่ก็ไม่เป็นไร :)
สำหรับรถเมล์ที่เกาะปีนังแห่งนี้นั้น ข้าพเจ้าบอกได้เลยว่าแอบไปไกลกว่าบ้านเรานะ เพราะว่าที่นี่เค้ามีที่ให้ใส่เหรียญและธนบัตรแบบญี่ปุ่นแล้วนะจ๊ะ และไม่มีคนมาเดินเก็บตังเหมือนบ้านเราแล้ว ข้าพเจ้าถูกใจสื่งนี้เป็นยิ่งนักแล :)
ใช้เวลาเพียงไม่นานนักประมาณ 40 - 45 นาที ข้าพเจ้าก็เดินทางมาถึงแล้ว “ปีนังฮิลล์” โดยหลังจากที่ข้าพเจ้าลงจากรถแล้วข้าพเจ้าก็ขอแยกตัวออกมาจากครอบครัวพี่ๆ ที่มาจากประเทศไทยเพื่อไปเข้าห้องน้ำก่อน แล้วจากนั้นข้าพเจ้าก็ไปต่อแถวซื้อตั๋วเพื่อที่จะขึ้นไปยังปีนังฮิลล์ ซึ่งราคาตั๋วจะอยู่ที่ 30 ริงกิต (ประมาณ 228 บาท) โดยราคานี้จะเป็นราคาตั๋วแบบไปกลับจ้า หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ตั๋วมาแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินไปต่อคิวเพื่อที่จะไปขึ้นรถรางเพื่อเดินทางขึ้นสู่ปีนังฮิลล์ ซึ่งสำหรับ “ปีนังฮิลล์ (Penang Hill)” นั้น ถือได้ว่าเป็นจุดที่สูงที่สุดของเกาะปีนังเลยก็ว่าได้ โดยที่นี่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 880 เมตร และยังเป็นจุดชมวิวของเกาะปีนังที่ดีที่สุดอีกด้วยจ้า
ใช้เวลาไม่นานนักในการรอรถราง และในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้ขึ้นรถรางเสียที บรรยากาศตอนอยู่บนรถรางค่อนข้างแออัดแต่ว่าบรรยากาศดีมากๆ ข้าพเจ้าเพลิดเพลินกับการชมนกไม้ ชมป่าสีเขียวๆ จนกระทั่งถึงบนยอดของปีนังฮิลล์แล้ว ใช้เวลาเพียงไม่นานน่าจะสักประมาณ 15 นาที ข้าพเจ้าก็ถึงแล้ว :)
ข้างบนของปีนังฮิลล์นั้นช่างกว้างขวางเป็นยิ่งนัก พอข้าพเจ้ามาถึงก็ยืนงงอยุ่สักพักเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มเดินไปทางไหนก่อน ฮ่าๆๆ แต่เห็นหลายๆ คนเดินไปถ่ายรูปกันตรงจุดชมวิวที่ข้าพเจ้าคาดว่าน่าจะสามารถมองเห็นวิวเมืองปีนังได้ถึง 360 องศา กันเลยทีเดียว ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเดินไปดูบ้าง แต่ถึงกระนั้นแล้วข้าพเจ้าก็ขอเดินถอยออกมาก่อนดีกว่า เนื่องจากผู้คนช่างหนาแน่นเสียนี่กระไร ฮ่าๆๆ
บรรยากาศ ณ วันที่ข้าพเจ้าได้ไปเยือนนั้น อากาศค่อนข้างเปลี่ยนแปลงบ่อย ซึ่งข้าพเจ้าเดินไปสักพักอยู่ๆ ฝนก็ตก พอเดินไปสักพักฝนก็หยุด ฮ่าๆๆ แต่ก็ถือว่าสภาพอากาศเป็นปรกติของที่นี่อยู่แล้ว คล้ายๆ กับอากาศที่ภาคใต้บ้านเราเลย เช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าก็เลยพกมาทั้งร่มทั้งเสื้อกันฝนเลยจ้า ฮ่าๆๆ ข้าพเจ้าเดินต่อไปเรื่อยๆ จนไปเจออีกหนึ่งจุดชมวิว ข้าพเจ้าเห็นว่าที่นี่ก็มีที่คล้องกุญแจเหมือนที่เกาหลีเลย แอบโรแมนติกเหมือนกันนะเนี่ยปีนังฮิลล์ ฮิ้วๆๆ ฮ่าๆๆๆ
ข้าพเจ้าเดินมาสักพักก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อ พอดีสายตาของข้าพเจ้าก็เหลือบไปเห็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์อยู่ ข้าพเจ้าก็เลยเดินไปหาเพื่อสอบถามว่าที่นี่มีกิจกกรรมอะไรอีกมั้ย และข้าพเจ้าก็ได้ความว่ากิจกรรมที่ข้าพเจ้าสามารถจับต้องได้ และราคาไม่แรงมากนั่นก็คือ ไปเดินดูป่าสีเขียวๆ ที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติซะ! ฮ่าๆๆ และข้าพเจ้าก็กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่แล้วเดินไปยังเส้นทางศึกษาธรรมชาติทันทีทันใด
เมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาถึงแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ทำการซื้อตั๋วเข้าชมในราคา 47
ริงกิต (ประมาณ 357 บาท) แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเดินเข้าไปชมด้านใน ข้าพเจ้าก็ขอใช้บริการห้องน้ำกันเสียก่อน และข้าพเจ้าขอบอกเลยว่า ห้องน้ำสะอาดมากๆ จ้า
หลังจากที่ข้าพเจ้าเดินเข้ามาด้านในแล้ว ข้าพเจ้าก็สัมผัสได้ถึงความชุ่มช่ำของต้นไม้สีเขียวๆ บรรยากาศร่มรื่นเป็นอย่างมาก แต่ไม่ทันไรฝนก็ปรอยๆ ลงมาซะงั้น แต่ข้าพเจ้าพกร่มมา ฉะนั้นแล้วฝนไม่สามารถทำอะไรข้าพเจ้าได้ (ฮ่าๆ หัวเราะอย่างผู้มีชัย) ข้าพเจ้าเดินเล่นไปเรื่อยๆ เพลินๆ
ข้าพเจ้าเดินไปสักพักก็ถึงตรงบริเวณสกายวอร์คที่ท่านทั้งหลายสามารถเดินขึ้นไปชมวิวเมืองปีนังกันได้ถึง 360 องศากันเลยทีเดียว ซึ่งในตอนแรกฝนก็ได้หยุดลงไปแล้วล่ะ แต่พอข้าพเจ้ากำลังจะขึ้นไปฝนก็ดันตกลงมาอีก ฮ่าๆๆ ข้าพเจ้าเลยรอให้ฝนมันซาลงสักหน่อยแล้วค่อยเดินขึ้นไปอีกครั้ง
ไม่กี่นาทีถัดมา ฝนก็ซาๆ ลงแล้ว ข้าพเจ้าก็เลยเดินขึ้นไปชมวิวสักหน่อย ข้าพเจ้าขอบอกเลยว่าวิวด้านบนช่างสวยสดงดงามเป็นยิ่งนัก เพียงแต่ว่าบรรยากาศมันออกจะครึ้มฟ้าครึ้มฝนไปหน่อย แต่ข้าพเจ้าก็ดีใจที่ได้เห็นวิวสวยๆ นะ
ข้าพเจ้าใช้เวลาอยู่บนปีนังฮิลล์เกือบทั้งวันสำหรับวันนี้ และข้าพเจ้าก็หมดเรียวแรงที่จะเดินต่อไป ฮ่าๆ สำหรับวันนี้ข้าพเจ้าขอพักผ่อนให้หายเหนื่อยแล้วเจอกันใหม่วันพรุ่งนี้จ้า :)
22 OCT 2019 - Penang - สำหรับเช้าวันนี้ข้าพเจ้าตั้งใจที่จะไปเดินเล่นในเมืองจอร์จทาวน์แห่งนี้แหละ ซึ่ง “เมืองจอร์จทาวน์ (Georgetown)” นั้น เป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดโลกด้วยกันกับเมืองมะละกาในปี พ.ศ. 2551 เนื่องจากเป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่งดงามและมีคุณค่า ที่ยังคงมีการอนุรักษณ์อาคารบ้านเรือนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีเยี่ยม! โดยเฉพาะรูปแบบสถาปัตยกรรมโคโลเนียลสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ซึ่งข้าพเจ้าชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้ามองเห็นถึงความมีเสน่ห์ของอาคารบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายตลอดสองข้างทาง รวมไปถึงผู้คนที่อยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของเชื้อชาติและศาสนาก็ตาม ^^
“ย่านไชน่าทาวน์ (Chinatown)”
สำหรับที่แรกที่ข้าพเจ้าตั้งใจที่จะไปนั่นก็คือ “ย่านไชน่าทาวน์ (Chinatown)” โดยย่านไชน่าทาวน์แห่งนี้ถือได้ว่าเป็นย่านที่เต็มไปด้วยของกิน! ทั้งร้านขึ้นชื่อต่างๆ ที่ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่หรอก รวมไปถึงร้านรถเข็นข้างทางที่น่าสนใจมิใช่น้อย เพราะข้าพเจ้าเดินไปและสะดุดกับร้านขายขนมอยู่ร้านนึง ซึ่งหน้าตาของขนมที่ว่านั้นก็ละม้ายคล้ายกับขนมเบื้องบ้านเราเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งข้าพเจ้าเหลือบไปเห็นป้ายที่ติดอยู่ตรงตู้กระจกด้านหน้าเขียนว่า “Ko Cha Bi Pan Cake” ข้าพเจ้าเลยสั่งมาลองชิมหนึ่งชิ้น ซึ่งขนมเบื้องมาเลมีไส้ให้เราได้เลือกอยู่ทั้งหมด 4 แบบ โดยข้าพเจ้าเลือกแบบที่ 4 คือ “Penut + Sweet Corn + Egg (ถั่ว + ข้าวโพดหวาน + ไข่)” นั่นเองจ้า หลังจากที่ข้าพเจ้าสั่งเสร็จก็ยืนดูวิธีการทำแบบเพลินๆ และด้วยเวลาไม่นานนักข้าพเจ้าก็ได้มาแล้ว :) ข้าพเจ้ากัดเข้าไปหนึ่งคำด้วยความหิวโหย และขอบอกเลยว่ารสชาติอร่อยมากพี่น้อง! มันหวานๆ มันๆ เค็มหน่อย แต่รวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน...เอ้ย! มีความอร่อยเหลือเกิน ฮ่าๆๆ
“Ko Cha Bi Pan Cake”
ข้าพเจ้าเดินออกจากร้านขนมรถเข็นมาได้ไม่ไกลนักก็เหลือบไปเห็นร้านข้าวมันไก่อยู่ร้านนึง ข้าพเจ้าเห็นว่ายังไม่มีคนเลยอาจจะเพราะเพิ่งเปิดร้านด้วยแหละ ข้าพเจ้าเลยเดินเข้าไปลองสั่งข้าวมันไก่กินสักหน่อย ใช้เวลาไม่นานข้าพเจ้าก็ได้ข้าวมันไก่มาโซ้ย ข้าพเจ้าขอบอกเลยว่า “มัน อร่อย มาก” ฮ่าๆๆ ข้าพเจ้ากินอะไรก็อร่อยไปหมดช่วงนี้ ^^
หลังจากมื้อเช้า ข้าพเจ้าก็เริ่มออกเดินทางต่อไปตามกูเกิ้ลแมป ฮ่าๆ โดยสถานที่ต่อไปนั่นก็คือหมู่บ้านชาวประมงที่มีชื่อว่า “Chew Jetty” โดยชุมชนชาวประมงแห่งนี้เค้าว่ากันว่า แรกเริ่มเดิมทีนั้นได้มีการเข้ามาอยู่อาศัยของชาวจีน ซึ่งเป็นชาวจีนที่อพยพมาจากเมืองกวางโจว โดยหมู่บ้านแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 220 ปีมาแล้ว เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีเพียงไม่กี่หลังคาเรือนเท่านั้น
นอกจากนั้น หมู่บ้านชาวประมง Chew Jetty ยังได้รับรางวัล Unesco World Heritage Site อีกด้วย เนื่องจาก 90% ของชาวจีนดั้งเดิมหรือบรรพบุรุษที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้้นั้นเป็นคนจีนที่มาจากเมืองฟูเจี้ยนและเมืองกวางโจว โดยการเข้ามานตั้งรกรากอาศัยกันอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1882 โดยประกอบอาชีพชาวประมงเป็นหลักนั่นเองจ้า ซึ่งถ้าได้ลองสังเกตุดีดี อีกอย่างหนึ่งที่โดดเด่นมากๆ เลยก็คือ บ้านเรือนที่ยังเป็นบ้านเรือนแบบเก่าที่สร้างจากไม้ผสมเข้ากับศิลปะแบบจีน ที่มีความเป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะที่มีเสน่ห์และน่าหลงไหลเป็นอย่างยิ่ง
หมู่บ้านชาวประมง Chew Jetty ยังมีท่าเรืออื่นๆ อีก 6 ท่าเรือด้วยกัน โดยแต่ละชื่อนั้นก็เป็นชื่อแซ่ของผู้ที่เข้ามาตั้งรกรากอาศัยกันอยู่ที่นี่นั่นเอง ได้แก่ Chew Jetty, Tan Jetty, Lim Jetty, Lee Jetty, Mixed Jetty และ Yeoh Jetty เป็นต้น
"หมู่บ้านชาวประมง Chew Jetty"
หลังจากแวะเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวประมง Chew Jetty แล้ว ข้าพเจ้าก็ออกเดินทางต่อไปโดยกูเกิ้ลแมปอีกครั้ง ฮ่าๆๆ ซึ่งข้าพเจ้าตั้งใจที่จะเดินไปดูย่านชุมชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ ณ เมืองปีนังแห่งนี้ โดยข้าพเจ้าก็เดิมาเรื่อยๆ และระหว่างทางก็มีชาวมาเลเซียนี่แหละ หรือชาติอื่นข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจ ได้เดินเข้ามาถามทางไป Chew Jetty ด้วยนึกสงสัยว่าข้าพเจ้าน่าจะเป็นชาวมาเลแหละ เดินเข้าไปถามสักหน่อย ซึ่งข้าพเจ้าก็เพิ่งเดินออกมาจาก Chew Jetty ได้ไม่นาน จึงสามารถบอกทางได้ ฮ่าๆๆๆ ข้าพเจ้านึกขำตัวเองเป็นยิ่งนักที่ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ประเทศไหน ข้าพเจ้าก็ดูกลมกลืนไปกับคนประเทศนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี ฮ่าๆๆ ข้าพเจ้าถูกใจสิ่งนี้ยิ่งนัก ^^
ข้าพเจ้าเดินมาไม่นานนักก็ได้เจอกับ “Little India” ซึ่งที่นี่ถือได้ว่าเป็นย่านชุมชนชาวอินเดียที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจอจร์จทาวน์เลยก็ว่าได้ โดยสำหรับตัวข้าพเจ้ามองว่าที่นี่มีขนาดย่อมๆ พอๆ กับย่านพาหุรัดบ้านเรานี่แหละ ซึ่งที่นี่มีทั้งที่อยู่อาศัย ร้านค้า ร้านอาหาร และเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวของเมืองจอร์จทาวน์อีกด้วยจ้า ^^
“Little India”
เดินมาเรื่อยๆ ข้าพเจ้าก็ไปสะดุดกับบ้านหลังหนึ่ง หากจะบอกว่าเป็นบ้านก็คงมิใช่ เพราะด้วยขนาดที่ใหญ่โตโอฬาร อาจเรียกได้ว่าที่นี่น่าจะเป็นคฤหาสน์เสียมากกว่า โดยคฤหาสน์แห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ห่างจากย่านลิตเติ้ลอินเดียมากนัก ซึ่งข้าพเจ้าเห็นมีคนเดินเข้าออกมากมายหลากหลาย ข้าพเจ้าเลยลองเดินเข้าไปดูบ้างว่าที่นี่คือที่ไหน
“คฤหาสน์เปอรานากัน (Pinang Peranakan Mansion)”
หลังจากเดินเข้ามาแล้วข้าพเจ้าก็ถึงบางอ้อ เพราะที่นี่เป็นคฤหาสน์จริงๆ มีชื่อว่า
“คฤหาสน์เปอรานากัน (Pinang Peranakan Mansion)” เป็นคฤหาสน์ที่งดงามตระการตาเป็นยิ่งนักแล ซึ่งหลังจากที่ข้าพเจ้าเดินผ่านประตูเข้าไปก็เจอกับเจ้าหน้าที่ที่คอยให้การต้อนรับอยู่ โดยข้าพเจ้าได้ทำการซื้อตั๋วเข้าชมด้วยราคาประมาณ 21 ริงกิต (160 กว่าบาท) จากนั้นก็สามารถเดินชมได้เลย แต่หากใครอยากรอให้ไกด์พาเดินชมก็ได้เช่นกัน เพราะที่นี่เค้าจะมีได์พาเดินชมเป็นรอบๆ ไป ซึ่งในตอนแรกข้าพเจ้าคิดว่าเดินดูเองก็ได้ แต่คิดไปมาเดินดูเฉยๆ มันก็แกร่วๆ อยู่ เลยคิดว่ารอไกด์พาเดินชมดีกว่า ฮ่าๆๆ
เวลาบ่ายโมงตรง ในที่สุดไกด์ก็มาแล้ว ^^ จากนั้นไกด์ของเราก็ได้เริ่มบรรยายถึงที่มาที่ไปของคฤหาสน์แห่งนี้ ซึ่งที่นี่เมื่อก่อนนั้นเป็นที่พักของ ชุงเค็งกวี่ (Chung Keng Kwee) ผู้ที่เป็นทั้งคนงานเหมือง ผู้นำองค์กรลับไห่ซาน ผู้นำชุมชนชาวจีน และเศรษฐีผู้มั่งคั่งร่ำรวย ไอ้ย่ะ! คนอะไรทำหลายอาชีพจัง ฮ่าๆ โดยคฤหาสน์หลังนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1890 โดยในปัจจุบัน คฤหาสน์แห่งนี้ได้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเปิดให้ผู้ที่สนใจเรื่องราวของชาวเปอรานากันได้เข้าชมกัน โดยภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้รวบรวมวัตถุโบราณ เครื่องเรือน เสื้อผ้าของชาวเปอรานากัน รองเท้า เครื่องประดับ และอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นพวกของสะสมกว่า 1,000 ชิ้น ให้เราได้เดินทอดน่องรับชมกันอย่างเพลิดเพลินกันเลยทีเดียว ^^
ข้าพเจ้าสนใจสิ่งหนึ่งที่ไกด์ของเราได้เกริ่นๆ เอาไว้ในตอนแรกว่าคฤหาสน์หลังนี้เป็นของครอบครัวชาวเปอรานากัน หรือเรียกอีกอย่างว่า บ่าบ๋า-ย่าหยา (Baba-Nyonya) ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าไปสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมมาว่าชาวเปอรานากัน หรือ บ่าบ๋า-ย่าหยา แท้จริงนั้นคือใครกันแน่ โดยจากการสืบค้นข้อมูลในครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่า “ชาวเปอรานากัน (Peranakan)” คือกลุ่มลูกครึ่งชาวมาลายู-จีน นั่นเอง ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากการที่มีกลุ่มพ่อค้าชาวจีนที่ได้มาทำการค้าขายในบริเวณคาบสมุทรมาลายู และได้ตัดสินใจตั้งถิ่นฐานรกรากในเมืองมะละกา และได้แต่งงานกับชาวมลายูท้องถิ่น ทำให้เกิดเป็นการผสมผสานและสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมา โดยคำว่า “เปอรานากัน (Peranakan)” มีความหมายว่า “เกิดที่นี่” นั่นเอง
นอกจากนั้น คำว่า “บ่าบ๋า (ฺBaba)” เป็นคำที่ภาษามลายูยืมมาจากภาษาเปอณ์เซีย ซึ่งคำนี้เป็นคำเรียกเพื่อให้เกียรติแก่ปู่ย่าตายาย และมักจะใช้เรียกชาวเปอรานากันที่เป็นผู้ชาย ส่วนคำว่า “ย่าหยา (Nyonya)” เป็นภาษาชวาที่ยืมมาจากภาษาดัตช์ โดยมีความหมายว่า “ผู้หญิงต่างประเทศแต่งงาน” นั่นเองจ้า
ข้าพเจ้าเดินชื่นชมความงดงามของคฤหาสน์สักพักนึง ก็เดินออกมาด้านนอกและเดินต่อไปเรื่อยๆ ตามท้องถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่องมีความคลาสสิค มีเสน่ห์มากๆ อากาศค่อนข้างร้อนคล้ายๆ บ้านเรา โดยข้าพเจ้าเดินมาสักพักฝนก็เริ่มลงเม็ด ข้าพเจ้าเลยเดินไปหาคาเฟ่นั่งพักสักครู่ และคิดว่าถ้าฝนหยุดตกข้าพเจ้าก็จะเดินทางต่อไป ^^
“Blue Mansion”
ในที่สุด ฝนก็หยุดตกและในระหว่างที่ข้าพเจ้านั่งพักอยู่ที่คาเฟ่แห่งหนึ่งนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นว่ามีอีกสถานที่หนึ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือ “Blue Mansion” เป็นคฤหาสน์เก่าแก่ของคหบดีเศรษฐีชาวจีนฉกเกี้ยนที่มีความงดงามไม่แพ้เปอรานากันแมนชั่นกันเลยทีเดียว ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่รอช้า พอฝนหยุดข้าพเจ้าก็กูเกิ้ลแมปไป แต่ทว่าข้าพเจ้ามัวแต่เดินถ่ายรูปเรื่อยเปื่อยเลยทำให้มาไม่ทันเวลาปิดทำการของพิพิธภัณฑ์ แต่ก็ไม่เป็นไรข้าพเจ้าบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าขอถ่ายรูปบริเวณด้านนอกตัวคฤหาสน์ไว้ได้มั้ยเพื่อเป็นที่ระลึก โดยเจ้าหน้าที่ก็อนุญาติให้สามารถถ่ายรูปได้ ข้าพเจ้าแอบเสียดาย แต่ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวมีโอกาสค่อยมาใหม่ :)
สิ้นสุดการเดินทางในวันนี้ ตอนแรกข้าพเจ้าคิดว่าจะเรียกแกร็ปให้พาไปเดินตลาดหาข้าวเย็นกิน แต่คิดไปคิดมาบวกกับความเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน ข้าพเจ้าเลยเปลี่ยนใจไปหาอะไรกินแถวที่พักแล้วกลับไปพักผ่อนดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ข้าพเจ้าต้องออกเดินทางไปกัวลาลัมเปอร์แต่เช้าตรู่ ^^
23 OCT 2019 - Penang - KL - ข้าพเจ้าตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะออกเดินทางไปยังเมืองหลวงของมาเลเซียอย่าง “เมืองกัวลาลัมเปอร์” นั่นเอง ซึ่งชาวมาเลเซียนิยมเรียกกันย่อๆ ว่า KL โดยกัวลาลัมเปอร์มีพื้นที่ 243 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 1.6 ล้านคน
กัวลาลัมเปอร์เป็นหนึ่งในสามดินแดนสหพันธ์ของมาเลเซีย (Malaysian Federal Territories) ซึ่งมาเลเซียมีการปกครองโดยระบบสหพันธรัฐ และแบ่งการปกครองออกเป็น 13 รัฐ และ 3 ดินแดนสหพันธ์ที่ได้กล่าวไปข้างต้น โดยเป็นดินแดนที่รัฐบาลกลางปกครอง ได้แก่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองปุตราจายา (เมืองราชการ) และเมืองลาบวน (ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศนอกชายฝั่ง) โดยทั้งกรุงกัวลาลัมเปอร์และปุตราจายาอยู่ในพื้นที่รัฐสลังงอร์ ส่วนลาบวนอยู่ใกล้รัฐซาบาร์นั่นเองจ้า
“เมืองกัวลาลัมเปอร์”
หลังจากที่ข้าพเจ้าทำภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้วก็ทำการเรียกแกร็ปให้มารับเพื่อที่จะพาข้าพเจ้าเดินทางไปยังท่ารถที่สถานีขนส่งกอมตาร์ โดยการเดินทางไปยังกัวลาลัมเปอร์ในครั้งนี้ข้าพเจ้าเลือกใช้วิธีการเดินทางโดยรถบัสโดยการจองผ่านเว็ปไซต์ ซึ่งสำหรับข้อมูลการจองรถบัสท่านทั้งหลายสามารถถามอากู๋กันได้เลยน้า มีข้อมูลหลากหลายและมัวิธีการจองที่ไม่ยากเลย :) หลังจากที่ข้าพเจ้าลงจากรถแล้วก็เดินไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อโชว์อีเมลยืนยันการจองรถให้กับเจ้าหน้าที่ดูเพื่อทำการออกตั๋วให้ข้าพเจ้า หลังจากข้าพเจ้าได้ตั๋วมาแล้วก็ขึ้นรถไปนั่งรอได้เลยจ้า ซึ่งรถคันนี้จะพาข้าพเจ้าไปยังสถานีขนส่งอีกแห่งหนึ่งเพื่อทำการเปลี่ยนไปขึ้นรถอีกคันหนึ่งเพื่อที่จะเดินทางไปยังเมืองกัวลาลัมเปอร์
ข้าพเจ้านั่งรถออกมาได้ไม่นานก็ถึงสถานีขนส่ง และลงไปยืนรอรถอยู่สักพักโดยในตอนแรกข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่าต้องยืนรอตรงไหนแต่ก็อาศัยถามเพื่อนข้างๆ ที่มาด้วยกันนี่แหละ ผ่านไปไม่นานรถก็มาแล้ว ข้าพเจ้าทำการเก็บกระเป๋าและเดินขึ้นไปหาที่นั่งของตัวเอง ระหว่างทางที่ข้าพเจ้านั่งรถออกมาจากเมืองปีนังและนั่งข้ามสะพานออกมา ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่าวิวที่ข้าพเจ้าได้เห็นนั้นมันช่างงดงามเสียนี่กระไร :)
ข้าพเจ้านั่งชมวิวไปตลอดทาง จนในที่สุดรถบัสก็จอด ณ สถานที่แห่งหนึ่งเพื่อให้เราลงไปเข้าห้องน้ำ และสามารถซื้ออาหารขึ้นมากินได้อีกด้วย ข้าพเจ้าก็ไม่รอช้าเพราะปวดฉี่มาก หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จข้าพเจ้าก็เดินไปหาของกินและก็ได้ลูกชิ้นมาสองสามไม้กับน้ำมากินบนรถ จากนั้นรถบัสของเราก็วิ่งยาวจนมาถึงกัวลาลัมเปอร์เลย ในที่สุดข้าพเจ้าก็เดินทางมาถึงแล้วกัวลาลัมเปอร์แล้ว เย้ๆๆ นั่งมานานเหลือเกิน ก่อนที่ข้าพเจ้าจะลงจากรถบัสนั้น ข้าพเจ้าต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ เนื่องจากข้าพเจ้าทำน้ำหวานหกเบาะนั่งเนื่องจากรีบร้อนที่จะลงจากรถบัสจนเกินไป เลยไม่ทันที่จะทำความสะอาดให้ TT
หลังจากลงจากรถบัสแล้วข้าพเจ้าก็ต้องมาหาที่นั่งเพื่อที่จะจองห้องพักแห่งใหม่ เนื่องจากห้องพักที่ข้าพเจ้าได้จองไว้ก่อนหน้านี้ถูกแคนเซิลเพราะข้าพเจ้าไม่ได้เช็คอินเข้าที่พักตามวันและเวลาที่จองไว้ เนื่องจากข้าพเจ้าเปลี่ยนแผนกระทันหันในการอยู่ปีนังต่อที่อีกคืนเลยลืมที่จะเข้าไปปรับเปลี่ยนการจองในแอป booking.com แต่ก็ไม่เป็นไรหาใหม่ละกัน ฮ่าๆๆ ข้าพเจ้านั่งหาที่พักอยู่สักครู่ก็ได้จองที่พักเป็นที่เรียบร้อย และออกเดินทางไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ซึ่งรถไฟใต้ดินของที่นี่นั้นก็เหมือนกับบ้านเราเลยเพียงแต่ว่าราคาถูกกว่ากันเยอะ ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าประมาณเท่าไหร่ต่อสถานี แต่ถูกกว่าบ้านเราแน่นอน ฮ่าๆๆ
ในที่สุดข้าพเจ้าก็เดินทางมาถึงที่พักแล้วจ้า โดยที่พักจะเป็นห้องดอมมิทอรี่แบบรวมชายหญิงเช่นเคย มีทั้งหมด 4 เตียง เป็นเตียงสองชั้น ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้เจอกับเพื่อนร่วมห้องและได้ทำการทักทายกันนิดหน่อย คนแรกเป็นสาวใหญ่ชาวฟิลิปปินส์ ถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิดจากการสอบถามก็ได้ความว่าพี่คนนี้เช่าห้องพักที่นี่แบบเป็นรายเดือนเพราะทำงานอยู่ที่นี่ ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มใหญ่มาจากซีเรีย เค้าบอกว่าเค้ามาอยู่ที่นี่เพื่อหลบหนีจากสงครามสักพักหนึ่งแล้วค่อยหาทางต่อว่าจะเอายังไงกันต่อไป ยินดีที่ได้รู้จักทั้งสองท่านนะจ๊ะ ^^ หลังจาการทักทายกับรูมเมทข้าพเจ้าก็ไปอาบน้ำและนอนพักสักครู่ก่อนจะออกไปเดินเล่นถ่ายรูป และหาของกินยามเย็น :)
เสร็จสิ้นภารกิจในวันนี้แล้วจ้า ข้าพเจ้ากลับมาก็อาบน้ำอีกรอบและเตรียมตัวเข้านอนเพื่อที่จะลุยต่อในวันพรุ่งนี้ที่ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของข้าพเจ้าแล้ว ณ ดินแดนแห่งนี้ ราตรีสวัสดิ์...
24 OCT 2019 - KL - เช้าวันใหม่ที่ข้าพเจ้าตื่นแต่เช้าตรู่เหมือนเช่นเคย ซึ่งในวันนี้ก็ไม่มีอะไรมากเหมือนเดิม ฮ่าๆๆ เพราะข้าพเจ้าจะไปท่องเที่ยวตามจุดแลนด์มาร์คต่างๆ ที่ผู้คนนิยมไปกัน โดยเริ่มจากสถานที่ยอดฮิตอย่าง “ตึกแฝดเปโตรนาส (Petronas Twin Towers)” ที่ซึ่งเป็นอาคารแฝดมีทั้งหมด 88 ชั้น และสูงถึง 452 เมตร กันเลยทีเดียว! สูงมากพี่น้อง! โดยในปัจจุบันนั้นตึกแฝดแห่งนี้ก็ได้รับการบันทึกให้เป็นตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย!
“ตึกแฝดเปโตรนาส (Petronas Twin Towers)”
หลังจากข้าพเจ้าดื่มด่ำกับความยิ่งใหญ่อลังการของตึกแฝดเปโตรนาสจนอิ่มเอมแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินทางต่อไปยัง “ย่านจตุรัสเมอร์เดก้า (Merdeka Square)” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของกรุงกัวลาลัมเปอร์เพราะที่นี่เป็นจตุรัสแห่งเอกราช เป็นสถานที่จัดพิธีคืนเอกราชให้แก่ประเทศมาเลเซียหลังจากที่ตกเป็นอาณานิคมของชนชาติตะวันตกนานถึง 446 ปี และจุดเด่นของจัตุรัสแห่งนี้คือ เสาธงชาติมาเลเซียที่สูงถึง 95 เมตร ซึ่งนับว่าเป็นเสาธงชาติสูงที่สุดในโลกกันเลยทีเดียว!
อีกฟากของถนนที่อยู่ตรงข้ามกันนั้นข้าพเจ้ามองเห็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมอันงดงามและอลังการมากนั่นก็คือ “อาคารสุลต่านอับดุลซามัด (Sultan Abdul Samad)” เป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2400 ซึ่งที่นี่เคยเป็นอดีตที่ตั้งของที่ทำการรัฐบาล ศาลสูงและศาลฎีกาของมาเลเซียนั่นเองจ้า งดงามจริงๆ ^^
“ย่านจตุรัสเมอร์เดก้า (Merdeka Square)”
ถัดจากบริเวณจตุรัสเมอร์เดก้าออกไปนิดหน่อยก็จะมีพิพิธภัณฑ์อยู่ ข้าพเจ้าเลยลองเดินเข้าไปดูสักหน่อย โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นอกจากจะบอกเล่าเรื่องลาวของประเทศมาเลเซียแล้ว ด้านในก็ยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ รวมไปถึงสินค้าที่ระลึกต่างๆ อีกด้วยนะจ๊ะ :)
หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็เดินต่อไปอีกหน่อยเพื่อที่จะไปดูอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่และงดงามเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ “สถานีรถไฟกัวลาลัมเปอร์” ที่ซึ่งเป็นสถานีรถไฟหลักของกรุงกัวลาลัมเปอร์ เปิดใช้งานในปี ค.ศ. 1910 โดยเป็นรถไฟที่วิ่งระหว่างเมืองกัวลาลัมเปอร์ไปยังเมืองเกอเรตาปีตานะฮ์เมอลายู ก่อนที่เส้นทางนี้จะถูกเปลี่ยนไปเปิดใช้บริการที่สถานีรถไปเซ็นทรัลกัวลาลัมเปอร์แทน โดยสถานีรถไฟแห่งนี้นั้นโดดเด่นมากๆ ในเรื่องของสถาปัตยกรรมที่มีการผสมผสานระหว่างตะวันตกกับตะวันออกนั่นเอง
“สถานีรถไฟกัวลาลัมเปอร์”
หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เดินถ่ายรูปเรื่อยเปื่อย จนเดินไปเจอกับ “พิพิธภัณฑ์สิ่งทอแห่งชาติ (National Textile Museum)” ของมาเลเซียเข้าให้ ข้าพเจ้าเลยขอเดินเข้าไปหลบร้อนและขอชื่นชมความงดงงามอลังการของผ้ามาเลสักหน่อย ข้าพเจ้าขอบอกเลยว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทำดีมาก มีการเล่าเรื่องราวของการทอผ้าตั้งแต่กระบวนการหาเส้นด้าย เส้นไหม ไปจนถึงการทอผ้า ย้อมสี เป็นต้น โดยผ้าแต่ละแบบก็มีเอกสักษณ์และลวดลายที่ไม่เหมือนกัน ล้วนแล้วแต่งดงามและมีคุณค่ามากๆ ข้าพเจ้าชื่นชอบที่นี่เป็นอย่างมาก ^^
“พิพิธภัณฑ์สิ่งทอแห่งชาติ (National Textile Museum)”
ก่อนจะกลับเมืองไทย ข้าพเจ้าก็ขอแวะตลาดถนนคนเดินสักหน่อย ข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้ว่าที่นี่เรียกว่าอะไร แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นตลาดที่ถูกแบ่งออกเป็น 3 โซน คือ โซนที่ขายพวกงานอาร์ตต่างๆ พวกรูปวาด งานแฮนเมด โซนถัดไปจะเป็นคล้ายๆ กับห้างขนาดเล็กติดแอร์มีสองชั้น โดยชั้นแรกจะเป็นร้านขายของที่ระลึก และชั้นสองจะเป็นศูนย์อาหาร และโซนด้านนอกจะเป็นถนนคนเดินแบ่งเป็นแถวๆ เหมือนบ้านเรา มีทั้งขนมนมเนย อาหารคาวหวาน และเสื้อผ้าต่างๆ เป็นต้น ข้าพเจ้าเดินแวะเข้าไปกินข้าวและซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือกลับมาด้วยนิดหน่อย จากนั้นข้าพเจ้าก็เดินทางกลับที่พักและเตรียมตัวเดินทางไปที่สนามบินเพื่อเดินทางกลับเมืองไทย แล้วพบกันใหม่ในทริปถัดไปจ้า :)
อ้างอิง
โฆษณา