21 มิ.ย. 2021 เวลา 08:49 • สัตว์เลี้ยง
นับส์ เป็นหนึ่งในสุนัขจรจัดหลายตัวที่อยู่บริเวณเขตปะทะในประเทศอิรัก สัตว์ที่เป็นเพื่อนมนุษย์เหล่านี้กลับกลายเป็นเหยื่อสงครามที่ชาวอิรักใช้ประโยชน์จากมันเป็นเสมือน “ระบบเตือนภัยล่วงหน้า” ของพวกเขา เพื่อให้มันคอยเห่าเตือนเมื่อเจอคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้
1
ชาวอิรักนำสุนัขเหล่านี้ มาปล่อยให้พวกมันอาศัยอยู่บริเวณเขตแนวรบระหว่างทหารสหรัฐอเมริกาและผู้ก่อความไม่สงบในช่วง ”สงครามอิรัก”
”สงครามอิรัก” มันเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศอิรัก โดยมีเรื่องราวเริ่มมาจาก คอลิน พาวเวลล์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวหา ซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำของประเทศอิรักในขณะนั้น ว่าได้ครอบครองอาวุธทำลายล้างสูงไว้ในประเทศอิรัก
การกล่าวหาแบบไม่มีมูลที่แท้จริงนี้ นำไปสู่การรุกรานและยึดครองประเทศในปีค.ศ.2003 ตามมาด้วยการจับกุมตัว ซัดดัม ฮุสเซน และประหารชีวิตเขา โดยรัฐบาลใหม่ของประเทศอิรักในที่สุด
แต่ความรุนแรงนี้ได้นำไปสู่การก่อความไม่สงบในประเทศอิรักและการต่อสู้ระหว่างหลายกลุ่มไปเป็นเวลานาน
ในเดือนตุลาคม ปีค.ศ.2007 ไบรอัน เดนนิส นักบินของหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกาที่ประจำในประเทศอิรัก ได้เห็นนับส์เข้า ในตอนนั้นนับส์ก็เป็นเพียงหนึ่งในหมู่สุนัขจรจัดจำนวนมากที่อยู่ในประเทศอิรัก มันวิ่งไปมาเป็นฝูงบริเวณแนวรั้วลวดหนามที่กั้นระหว่างแนวปะทะของแต่ละฝ่าย
หูของนับส์รวมถึงเพื่อนๆ สุนัขของมันถูกเฉือนออกไปโดยชาวอิรัก จากเหตุผลว่าจะทำให้พวกมันแข็งแกร่งขึ้นและทะเลาะกันเองน้อยลง แต่การกระทำอันโหดร้ายนี้มันไม่ได้สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
นับส์เป็นสุนัขพันทาง มันดูเหมือนสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดที่ผสมกับพันธุ์บอร์เดอร์ คอลลี่เล็กน้อย และเนื่องจากหูของมันที่ขาด ทำให้เหล่านาวิกโยธินที่เดินผ่านและเจอมันบ่อยๆ จึงเรียกมันว่านับส์ “Nubs” (Nub หมายถึงชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ยื่นออกมา ซึ่งในที่นี่หมายถึงส่วนของหูที่ยังเหลืออยู่จนเป็นเหมือนติ่ง)
ภาพถ่ายแรกๆ ของนับส์ที่ประเทศอิรัก
การเจอกันครั้งแรกของเดนนิสและนับส์ ทั้งสองกลับถูกชะตากัน มันกระโดดเข้าหาเดนนิส และทั้ง 2 ก็เริ่มเล่นทันที นับส์พลิกตัวไปมา โดยให้เดนนิสถูท้องของมัน และไม่ใช่นับส์จะสนิทกับแค่เดนนิส แต่มันกลับเป็นสุนัขตัวโปรดของนาวิกโยธินหลายคนเลย
อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่เดนนิสออกไปลาดตระเวนในพื้นที่ที่นุบส์อาศัยอยู่ เดนนิสกลับพบว่านับส์นั้นบาดเจ็บสาหัส มันมีบาดแผลขนาดใหญ่จากการถูกแทงที่ด้านซ้ายของลำตัว ชาวอิรักคนหนึ่งบอกเดนนิสว่ามีทหารอิรักโกรธจัดและมาระบายด้วยการแทงนับส์เข้าที่ลำตัวด้วยไขควงขนาดใหญ่
เมื่อเดนนิสให้แพทย์สนามดูอาการและปฐมพยาบาลนับส์เบื้องต้นแล้ว มันดูแย่มาก มันทรุดลงเรื่อยๆ จากอาการติดเชื้อ และไม่น่าจะมีชีวิตรอดได้ถึงวันพรุ่งนี้
เดนนิสไม่ยอมแพ้ เขาจะไม่ยอมให้เพื่อนของเขาต้องมานอนตายอยู่กลางถนนแบบนี้ ถึงแม้ว่านาวิกโยธินและทหารของสหรัฐอเมริกาทุกคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงในที่แห่งนี้ แต่เดนนิสยอมฝ่าฝืนกฏแอบอุ้มเอานับส์กลับที่พักด้วย เมื่อถึงห้อง เขาทายาต้านเชื้อแบคทีเรียที่บาดแผลของนับส์ และอุ้มมันมันไปนอนข้างๆ เขา
เขาคิดว่ามันจะไม่มีชีวิตรอด
คืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายที่มันจะได้นอนอย่างสงบ
แต่รุ่งเช้าถัดมา ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น
เดนนิสตื่นขึ้นและพบว่านุบส์นั้นยังมีชีวิตอยู่และอาการของมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เขาให้มันพักจนอาการของมันเริ่มหายเป็นปกติจึงเอามันไปส่งที่เดิม
ทั้ง 2 สนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม ทุกครั้งที่เดนนิสเดินผ่านบริเวณที่นับส์อยู่ มันจะเดินเข้ามาทักทายและตามด้วยการเล่นกันทุกครั้ง เดนนิสไม่เคยพลาดที่จะนำของกินมาให้นับส์ และนับส์ก็จะไม่พลาดที่จะรอคอยเพื่อนของมันที่จุดเดิมอยู่เสมอ
นับส์และเดนนิส ขณะอยู่ที่ประเทศอิรัก ภาพจาก Facebook page : Nubs the Dog
แต่การพบกันย่อมมีการจากลา
ในที่สุด เดนนิสและหน่วยนาวิกโยธินของเขา ก็ได้รับมอบหมายให้ไปยังฐานทัพแห่งใหม่บริเวณพรมแดนประเทศอิรักและประเทศจอร์แดน ซึ่งอยู่ห่างที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ออกไปประมาณ 120 กิโลเมตร
เดนนิสไม่สามารถเอานับส์ไปด้วยได้ เขาไปลานับส์เป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเดนนิสก็ปีนขึ้นไปบนรถฮัมวีพร้อมกับโบกมือลามัน
นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอกัน
เดนนิสคิดในใจ
นับส์เหมือนรู้ว่าเพื่อนของมันกำลังจะจากไป มันวิ่งไล่ตามขบวนรถจนแทบลับสายตา สุดท้ายเมื่อไม่มีใครเห็นมันแล้ว ทุกคนก็ต่างคิดว่านับส์นั้นคงหยุดวิ่งตามแล้วกลับไปที่เดิมที่มันเคยอยู่
3 วันต่อมา ในขณะที่เดนนิสอยู่ในตึกกองบัญชาการที่ฐานทัพแห่งใหม่ นาวิกโยธินคนหนึ่งได้วิ่งเข้ามาในอาคารอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตะโกนบอกเดนนิสด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ
“คุณจะต้องไม่เชื่อแน่นอนว่าใครอยู่ข้างนอก!”
“ใครอยู่ข้างนอก?”
เดนนิสถามเขาด้วยความสงสัย เขาคิดว่า”ใคร”ในที่นี้น่าจะเป็นคน
“นับส์อยู่ข้างนอก!!!”
นาวิกโยธินคนนั้นตอบกลับด้วยอาการตื่นเต้น
เดนนิสตกใจมาก มันแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่สุนัขตัวนั้นจะบากบั่นมาถึงนี่ด้วยระยะทางที่ไกลมาก รวมถึงสภาพแวดล้อมสุดแสนจะโหดร้าย
เดนนิสวิ่งออกไปดูทันที มันใช่นับส์จริงๆ! ทันทีที่มันเห็นเขา นับส์ก็กระโจนเข้าหาเดนนิสทันที ทั้งสองกอดกันท่ามกลางเสียงดีใจและแปลกใจของนาวิกโยธินคนอื่นๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่านับส์หาพวกเขาเจอได้อย่างไร
กฎของฐานทัพแห่งนี้คือห้ามเลี้ยงสัตว์ทุกชนิด แต่เดนนิสกับนาวิกโยธินคนอื่นๆ รู้แล้วว่าสุนัขตัวนี้มันแสนวิเศษเกินกว่าจะปล่อยให้มันต้องอาศัยอยู่ด้านนอกในสภาพแวดล้อมที่มันไม่รู้จักอีกต่อไปแล้ว
ที่ประเทศอิรักในตอนนั้นแม้แต่ชาวบ้านยังต่างต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และแน่นอนว่าสำหรับสุนัขนั้นมันยิ่งลำบากกว่าหลายเท่า
มันเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากรวมถึงการสูญเสียมากมายในประเทศ สงครามที่เริ่มต้นมาจากคำกล่าวอ้างหลอกลวงของประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นเหตุผลในการบุกประเทศอิรัก นอกจากอาคารบ้านเรือนที่ถูกถล่มจนย่อยยับแล้วนั้น ยังมีผู้ที่เสียชีวิตในช่วงระหว่างความขัดแย้งนี้มากกว่า 500,000 คน
เดนนิสและเหล่านาวิกโยธินได้แอบทำบ้านเล็กๆ ให้กับนับส์ในที่พักของพวกเขา โดยพวกเขายอมแหกกฏระเบียบเพื่อไม่ให้มันต้องไปเสี่ยงชีวิตข้างนอกอีกต่อไป
แต่กฏระเบียบก็ต้องเป็นกฏระเบียบ หลังจากนับส์มาอยู่ได้ไม่นาน ก็มีคนที่อยู่ในฐานทัพร้องเรียนเรื่องการเลี้ยงสุนัขที่ผิดกฏนี้ไปยังผู้บังคับบัญชาของเดนนิส
ผู้บังคับบัญชาจึงเรียกเดนนิสเข้ามาพบ และสั่งเขาสั้นๆ ว่า
“กำจัดสุนัขออกไปซะ”
ณ วินาทีนั้น เดนนิสจึงตัดสินใจว่าสิ่งเดียวที่ต้องทำในตอนนั้น คือส่งนับส์ไปที่เมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย บ้านของเขานั้นเอง เพราะเดนนิสทนไม่ได้ที่จะต้องปล่อยให้สุนัขตัวนี้เผชิญชะตากรรมเพียงลำพังในประเทศอิรัก เขาไม่อยากให้มันตายที่นี่
แต่การส่งสุนัขไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากเรื่องของเอกสารที่วุ่นวายและการดำเนินการที่ยาวนานแล้วนั้น มันยังต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากถึง 5,000 ดอลลาร์ (ราวๆ 157,000 บาท)
เดนนิสอีเมลหาเพื่อนๆ ของเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากนั้นเรื่องราวของเดนนิสและนับส์ก็แพร่หลายไปทั่วอินเตอร์เน็ต ความช่วยเหลือจากคนมากมายเริ่มหลั่งไหลเข้ามาทันทีนับตั้งแต่นั้น
นับส์ถูกส่งไปยังประเทศจอร์แดนโดยน้องชายของล่ามที่ทำงานให้กับหน่วยของเดนนิส เพื่อตรวจสุขภาพและทำให้ร่างกายแข็งแรงก่อนที่ถูกส่งขึ้นเครื่องบินต่อไป
เมื่อเอกสารและสุขภาพสมบูรณ์ ในเดือนมีนาคม ค.ศ.2008 นับส์ก็บินจากประเทศจอร์แดน ไปยังเมืองชิคาโก ในรัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วถูกส่งไปเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเพื่อนคนหนึ่งของเดนนิสรอรับนับส์อยู่แล้ว เขาสอนให้นับส์ปรับตัวและเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ก่อนที่เดนนิสจะสามารถตามมาหานับส์ได้ในอีก 1 เดือนต่อมา
“ทหารและนาวิกโยธินจำนวนมากมันผูกพันกับสุนัขที่นั่น ฉันได้ยินเรื่องราวจากผู้คนมากมายที่เคยอยู่ในสงครามเวียดนามและสงครามโลกครั้งที่2”
เดนนิสบอกผ่านรายการTODAY ของNBC
นับส์ในวันคริสต์มาส ภาพจาก Facebook page : Nubs the Dog
“ฉันคิดว่ามันคือการ’หลบหนี’ของสุนัข คนที่รักสุนัขน่าจะเข้าใจ สุนัขที่วิ่งเข้ามาหาคุณพร้อมกับกระดิกหาง มันเป็นการขอหลีกหนีจากชีวิตที่เลวร้ายและน่าเบื่อที่นั่น และตอนนี้มันก็ได้กลายเป็นเพื่อน”
นับส์ และลูกชายของเดนนิส
จากสุนัขจรจัดที่ถูกเชือดหูและโดนทำร้ายในสมรภูมิที่ประเทศอิรัก บัดนี้มันข้ามทวีปมาใช้ชีวิตใหม่กับเพื่อนใหม่ของมัน เพื่อนที่สามารถเอาหัวของมันไปวางอยู่บนต้นขาของเขาได้ด้วยความสบายใจ เพื่อนที่ชอบใช้มือลูบหัวมันเพื่อแสดงความรักกับมัน
นับส์และลาวา ทั้งสองถูกช่วยออกมาจากประเทศอิรัก ภาพจาก Facebook page : Nubs the Dog
เดนนิสได้เล่าเรื่องราวเหล่านี้ผ่านหนังสือชื่อว่า “Nubs: The True Story of a Mutt, a Marine & a Miracle” มันเป็นหนังสือเด็กที่เขาตั้งใจเขียนเพื่อให้เด็กๆ ได้อ่านและเข้าใจในตัวสัตว์ที่เป็นเพื่อนสนิทของมนุษย์ของพวกเขามากขึ้น
หนังสือ “Nubs: The True Story of a Mutt, a Marine & a Miracle”
นับส์ใช้ชีวิตในบ้านใหม่ของมันอย่างมีความสุข มันเสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ ปีค.ศ.2018 ด้วยวัย 12 ปี จากการต่อสู้กับภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ และโรคคุชชิงมาเป็นกว่าเกือบ 2 ปี
เดนนิสกล่าวถึงนับส์หลังจากที่มันเสียชีวิต ว่านับส์นั้นได้เปลี่ยนชีวิตของเขาและครอบครัวให้ดีขึ้น
“ขอบคุณที่ตัดสินใจลุกขึ้นมาจากพื้น และอดทนเดินไปหลายไมล์เพื่อตามหาฉันเมื่อหลายปีที่แล้ว ฉันจะไม่มีวันลืมนาย ฉันรักนาย และเราจะพบกันอีกครั้ง”
นับส์กับครอบครัวใหม่ของมัน ภาพจาก Facebook page : Nubs the Dog
บทความโดย I’m from Andromeda
แหล่งข้อมูล
Facebook page : Nubs the Dog
โฆษณา