21 มิ.ย. 2021 เวลา 12:08 • กีฬา
สรุปแล้วการหยิบขวดโค้กของโรนัลโด้ ออกจากเฟรมกล้อง ทำให้หุ้นโค้กตก 4 พันล้านดอลลาร์จริงหรือไม่ นี่คือดราม่าเบาๆ ของเรื่องนักเตะเซเล็บ กับสปอนเซอร์ในยูโร 2020
2
ในปี 2016 อ็อกซ์ฟอร์ด ดิคชันนารี ยกให้คำศัพท์ว่า "Post-Truth" เป็นคำศัพท์แห่งปี
1
Post-Truth ถ้าแปลให้เข้าใจง่ายที่สุดคือ "ความจริงเป็นอย่างไร ไม่เห็นสำคัญ ก็ฉันเชื่อแบบนี้ของฉัน ตามอารมณ์ ตามฟีลลิ่ง แล้วใครจะทำไม"
1
การที่อ็อกซ์ฟอร์ดยกให้เป็นคำศัพท์แห่งปี เพราะคนในยุคปัจจุบันมีจำนวนไม่น้อย ที่มีนิสัยแบบนั้น กล่าวคือ คิดว่าสิ่งต่างๆ ต้องเป็นอย่างที่ตัวเองรู้สึก และคิดไว้แน่ๆ จนไม่ได้สนใจว่าข้อเท็จจริงนั้น มันคืออะไร
1
คำว่า Post-Truth ถูกสื่อมวลชนสายเศรษฐกิจ เอามาใช้วิพากษ์วิจารณ์ กรณี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ ดราม่าขยับขวดโค้กเมื่อสัปดาห์ก่อน
เรื่องสั้นวันอาทิตย์นี้ วิเคราะห์บอลจริงจังจะย้อนกลับไปเล่าเรื่องโรนัลโด้กับโค้ก ให้ฟังอีกครั้ง
ก่อนเกมเปิดสนามของทีมชาติโปรตุเกส ในยูโร 2020 คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เข้าห้องแถลงข่าวตามปกติ แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นการคุยกับสื่อ ด้านหน้าโต๊ะของโรนัลโด้ มีขวดโค้ก 2 ขวดวางอยู่ ในฐานะสปอนเซอร์หลักของรายการ และมีขวดน้ำเปล่า 1 ขวด
โรนัลโด้เห็นดังนั้น ก็เลยหยิบเอาโค้ก 2 ขวด ออกจากเฟรมกล้องไป แล้วชูน้ำเปล่าขึ้นมา ก่อนพูดภาษาโปรตุเกสว่า "อะ-กวา!" (น้ำเปล่า)
ซึ่งคนก็ตีความว่า โรนัลโด้ชวนให้คนมาดื่มน้ำเปล่า อย่าไปดื่มน้ำอัดลมเลยจะดีกว่า
การกระทำแบบนี้ ในมุมหนึ่งคือการฉีกหน้าสปอนเซอร์เหมือนกัน เพราะสินค้าเขาวางโปรโมทของเขาอยู่ดีๆ ก็โดนยกหายไปจากเฟรมเฉยเลย แทนที่จะคนดูงานแถลงข่าวทั่วโลก จะเห็นขวดโค้ก ก็กลายเป็นไม่เห็นซะงั้น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โรนัลโด้มีดราม่ากับเครื่องดื่มโค้ก เพราะย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ มีนักข่าวเคยไปถามเกี่ยวกับลูกชายของโรนัลโด้ ที่เป็นนักบอลเยาวชน ซึ่งโรนัลโด้กล่าวว่า "ผมเข้มงวดกับเขาในบางครั้ง เพราะเขาชอบดื่มโคคา-โคล่า และแฟนต้า ซึ่งมันทำให้ผมโกรธเขา เพราะเขารู้อยู่แล้วว่า ผมไม่ชอบให้ดื่มโค้ก"
1
หลังจากโรนัลโด้ขยับขวดโค้กออกจากเฟรม ก็นำมาสู่การแซวกันมากมาย เช่นน้ำแร่เอวิยอง ที่เป็นแบรนด์น้ำเปล่า ก็ทวีตข้อความว่า "CR7 คือยอดนักเตะในดวงใจ" เพราะคำพูดของโรนัลโด้ แนะนำให้คนเลิกกินน้ำอัดลม แล้วมาดื่มน้ำเปล่าแทน ซึ่งก็เข้าทางเอวิยองพอดี
2
ถ้าจะถามว่าโรนัลโด้ทำไปทำไม เหตุผลที่คนวิจารณ์กัน มีอยู่ 2 ข้อ
ข้อแรกคือโรนัลโด้เป็นพวกรักสุขภาพมาก และอยากให้คนรอบตัวกินน้ำเปล่าเยอะๆจริงๆ พอเห็นขวดโค้กปั๊บก็เลยหงุดหงิดทันที หยิบออกอย่างเร็ว แล้วพยายามแนะนำให้คนอื่นๆ หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม คืออาจทำไปตามสัญชาตญาณไม่ได้คิดอะไรมาก
กับข้อสอง คือโรนัลโด้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ Herbalife ดังนั้นจึงแซะการกินน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลเยอะ เพื่อให้คนหันมาเลือกเสพอาหารแนว Healthy ดีกว่า แล้วก็จะได้โยงไปถึงสปอนเซอร์ของเขาด้วย
ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ในวันที่โรนัลโด้พูดคำว่า "อะ-กวา" ออกมา หุ้นของโคคา-โคล่า ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ก็หล่นลง จากเดิม 242,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เหลือ 238,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นตกไป 4,000 ล้านเหรียญ
นั่นทำให้สื่อต่างๆ แชร์กันแหลกว่า คำพูดของอินฟลูเอนเซอร์หนึ่งคน ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อแบรนด์ขนาดนี้ และเครื่องดื่มโค้ก ต้องโมโหโรนัลโด้มากๆ แน่ๆ ที่มาทำให้หุ้นของบริษัทต้องร่วงลงอย่างน่าใจหาย
กระแสข่าว โรนัลโด้ทำหุ้นตก กระจายไปทั่วทั้งโลก และใครๆก็เชื่อแบบนั้น ว่าอินฟลูเอนเซอร์หนึ่งคน มีผลกระทบอย่างมหาศาลกับโปรดักต์ได้จริงๆ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นานนัก สื่อมวลชนสายเศรษฐกิจ ก็ออกมาวิเคราะห์ว่า การหุ้นตกของโค้ก ไม่ได้เกี่ยวกับโรนัลโด้ขนาดนั้นเสียหน่อย
ถ้าเราไปดูไทม์ไลน์ กันอย่างละเอียด จะพอเห็นภาพชัดเจนขึ้น
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พอตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการ มูลค่าของโคคา-โคล่า อยู่ที่ 242,000 ล้านดอลลาร์
เสาร์ที่ 12 และ อาทิตย์ที่ 13 ตลาดหุ้นปิดทำการ มาเปิดอีกวันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน เวลา 09.30 ที่อเมริกา ซึ่งพอตลาดหุ้นเปิดได้ 10 นาที ( 09.40 น.) มูลค่าหุ้นของโคคา-โคล่า ร่วงไปอยู่ที่ 238,000 ล้านดอลลาร์
ส่วนโมเมนต์ ที่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ พูดคำว่า "อะ-กวา" เกิดขึ้นในเวลา 09.43 น. ดังนั้นจากหลักฐานพอจะบอกได้ว่า หุ้นของโคคา-โคล่า มันก็ร่วงของมันอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวว่าโรนัลโด้จะพูดหรือไม่พูด เพียงแค่เป็นจังหวะที่ตรงกันพอดี
1
ในเช้าวันที่ 14 มิถุนายนเป็นจังหวะที่ตลาดซบเซาพอดี แม้แต่หุ้นของฟอร์ด มอเตอร์ ก็ลดลง 2 พันล้านดอลลาร์เช่นกัน ดังนั้นการไปบอกว่า ที่โรนัลโด้เลื่อนขวดโค้ก จะทำให้หุ้นตกในระดับพันล้านดอลลาร์ ถือว่าเป็นการเหมารวมเกินไปหน่อย
1
เรื่องนี้ที่ต่างประเทศ มีดราม่าระหว่างนักข่าวเศรษฐกิจกับนักข่าวกีฬาอยู่เหมือนกัน
โดยสายนักข่าวเศรษฐกิจก็วิจารณ์บางสื่อว่า เสนอข่าวไปเรื่อยแบบไม่รับผิดชอบสังคม เสนอข่าวแบบนี้ทำให้โรนัลโด้อาจโดนผู้ถือหุ้นด่าฟรีๆ ทั้งๆที่เขาไม่ได้เป็นส่วนสำคัญของการหุ้นตกเสียหน่อย แล้วอีกอย่าง ทำให้ประชาชนเข้าใจกลไกของหุ้นผิดเพี้ยน ว่าขึ้นหรือลงได้แค่เพราะคำพูดของคนคนเดียว ซึ่งเอาจริงๆ มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น
1
Forbes อธิบายว่า คำพูดของคนที่จะทำให้หุ้นขึ้นหรือลงได้ ต้องเป็นคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับธุรกิจนั้นโดยตรง อย่างเช่น อีลอน มัสก์ เคยทวีตข้อความว่า "หุ้นเทสล่าตอนนี้ชักจะสูงเกินไป" ส่งผลให้เวลาต่อมา หุ้นของเทสล่าร่วง 13,000 ล้านเหรียญ
1
แต่กับกรณีของโรนัลโด้ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่คำพูดของนักกีฬาคำเดียว (อะ-กวา) และการขยับขวดโค้ก จะมีผลต่อหุ้นขนาดนั้น
1
Forbes วิจารณ์หนักๆว่า สื่อบางเจ้าก็ทำตัว Post-Truth คือมีหลักฐานและ ไทม์ไลน์อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แค่เช็กหน่อยก็รู้แล้ว ว่าหุ้นขึ้นหุ้นลง มันเกี่ยวกับโรนัลโด้ไหม แต่ก็ไม่ยอมทำ แล้วเสนอข่าว แบบที่ตัวเอง "คิดว่าน่าจะใช่" แทน มันพลอยให้ประชาชนเข้าใจกลไกของหุ้นผิดเพี้ยนไปด้วย
3
ที่ผ่านมา ประเด็นความดราม่าของนักกีฬากับสปอนเซอร์ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในอดีตก็มีเคสแบบนี้เยอะ ย้อนไปในปี 2008 ตอนเกรก โปโปวิช เฮดโค้ชของซานอันโตนิโอ สเปอร์ กำลังจะแถลงข่าว บนโต๊ะในเพรสคอนเฟอเรนซ์ มีเครื่องดื่มเกเตอเรดวางอยู่ โปโปวิชพูดว่า "เครื่องดื่มนี้มีแต่น้ำตาลเยอะไปหมด ผมไม่อยากมีส่วนในการโฆษณาสินค้าชิ้นนี้เลย"
1
หรือเคลย์ ธอมป์สัน ตัวชู้ตสามแต้มของโกลเด้นสเตต วอร์ริเออร์ เคยขยับเอาเกเตอเรด ออกไปจากเฟรมกล้อง เพราะเขามีสปอนเซอร์ส่วนตัวคือบอดี้อาร์เมอร์ เครื่องดื่มอีกยี่ห้อหนึ่ง
หรือตอนมาริโอ เกิตเซ่ เซ็นสัญญาย้ายจากดอร์ทมุนด์ มาบาเยิร์น มิวนิค เขามาเซ็นด้วยการใส่เสื้อยืดโลโก้ไนกี้มาเลย ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่า อาดิดาส เป็นสปอนเซอร์หลักของบาเยิร์น เรื่องนี้ก็มีดราม่ากันไปพักนึงที่เยอรมัน
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่มีเหตุการณ์ไหน ที่ส่งผลกระทบต่อตัวเลขหุ้นของบริษัทอย่างมีนัยยะสำคัญ อย่างมากก็เป็นเรื่องให้คุยกันในโลกออนไลน์วันสองวัน แต่ไม่มีดราม่าอะไรตามมาเยอะนัก
1
แล้วเอาจริงๆ ถามว่าโคคา-โคล่า โกรธโรนัลโด้ไหม ที่ขยับเอาขวดออก หลายคนเชื่อว่า สินค้าอาจจะขอบคุณมากกว่าก็ได้ ที่อยู่ๆทำให้แบรนด์ กลายเป็น Talk of the town หลายวันเต็มๆ มีคนทำมีม มาล้อเลียนมากมาย คือดีกว่าเป็นสปอนเซอร์เฉยๆ แค่นั้น การได้อยู่ในกระแสแบบนี้ เป็นเรื่องดีจะตาย ว่าไหม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยูฟ่าไม่ค่อยแฮปปี้นัก คือเมื่อเกิดเคสของโรนัลโด้ แล้วก็มีเหตุการณ์อื่นๆตามมามากมาย เช่น มานูเอล โลคาเตลลี่เลียนแบบโรนัลโด้ไปขยับขวดโค้กบ้าง ตามด้วยพอล ป็อกบาขยับขวดเบียร์ไฮเนเก้น กลายเป็นว่าประเด็นเพรสคอนเฟอเรนซ์ คนก็เทความสนใจไปที่เรื่องเครื่องดื่มกันหมด ทั้งๆที่ มันควรจะจบประเด็นนี้ได้แล้ว
สุดท้ายยูฟ่า จึงออกมากล่าวสรุปว่า "เราไม่สามารถลงโทษนักเตะที่ขยับเอาสปอนเซอร์ออกโดยตรงได้ แต่เราจะทำการลงโทษผ่านสมาคมฟุตบอลของนักเตะคนนั้น เพราะสมาคมได้เซ็นสัญญากับยูฟ่าไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เรื่องของสปอนเซอร์" เป็นการขู่นั่นแหละว่า เลิกย้ายตำแหน่งขวดน้ำกันซะที
1
ขณะที่แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ก็ออกมาแซะว่า จริงๆ นักกีฬาก็ควรให้เกียรติกับสปอนเซอร์เขาบ้าง เขาจ่ายเงินมาแล้ว เพื่อเป็นเงินรางวัลให้แต่ละทีม ดังนั้นถ้าสปอนเซอร์เขาขอวางตรงไหน ก็ปล่อยๆไปเถอะ แค่นี้เองแหม
ซึ่งหลังจากนี้ไป เมื่อมีประเด็นเยอะจนเฝือ ก็เชื่อว่า คงไม่มีใครคิดจะขยับขวดโค้กกันอีกแล้วล่ะ และดราม่าแบบงงๆ ก็เลยจบกันไปง่ายๆ แบบนั้นเอง
โฆษณา