22 มิ.ย. 2021 เวลา 12:30 • นิยาย เรื่องสั้น
“ณัฏครับ” ผมบอกณัฏฐาเด็กสาวหน้าสวยรูปร่างได้สัดส่วนเหมาะสมกับตำแหน่งดาราดังที่ผมคาดเอาเองว่าเธอต้องไต่ระดับไปถึงแน่ในอนาคตอันใกล้ ที่ผมพามาที่บ้าน “นี่พ่อแม่ผม”
ณัฏฐาไหว้พ่อแม่นอบน้อม กิริยาท่าทีไม่มากไม่น้อยเกินไป
“พ่อ แม่” ผมแนะนำให้ท่านรู้จักเพื่อนใหม่ พ่อแม่กำลังจะไปงานเลี้ยง “นี่ณัฏฐาครับ จบเศรษฐศาสตร์ แต่อยากเป็นผู้จัดรายการโทรทัศน์ เลยไปเรียนการแสดงที่โรงเรียนไอ้เสกเพื่อนผม”
พลันผมก็ชะงัก รอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจในความสวยน่ารักของณัฏฐาที่ผมเพิ่งรู้จักเลือนหายเมื่อเห็นอาการพ่อแม่
ท่านทั้งสองยืนนิ่ง ไม่พูดไม่จา
อาการท่านเหมือนคนที่กำลังช็อคจนไม่อาจเปล่งเสียงอะไรออกมาได้มากกว่าจะตลึงกับความสวยน่ารักของณัฏฐา และดูเหมือนท่านจะตาค้างด้วย โดยเฉพาะพ่อ
พ่อทั้งผิดหวังทั้งหัวเสียชนิดที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
“แกไปพาผู้หญิงคนนี้มาจากไหนภูมิ”
พ่อถามหลังท่านกลับจากงานเลี้ยงและผมพานัฏฐาว่าที่ดาราดังไปส่งบ้านแล้ว แม่อยู่ด้วย ท่านทั้งสองหน้าดำคร่ำเครียดจนผมนึกว่านี่มันเยอะไปมั้ย การที่ผมคบหาใครมันไม่น่าจะใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ถ้านัฏฐาเป็นผู้ชายซีพ่อแม่ถึงควรตกใจเพราะผมคงผลิตทายาทสืบสกุลให้ท่านไม่ได้ นี่เธอเป็นผู้หญิง แถมหน้าตาดี แล้วท่านจะหัวเสียไปทำไม
“โรงเรียนสอนการแสดงครับ” ผมตอบ “ผมบอกพ่อแม่เมื่อตอนกลางวันแล้ว”
“ไปรู้จักกันได้ยังไง” แม่ถาม น้ำเสียงสีหน้าท่าทีจริงจังถึงขั้นคอขาดบาดตายพอกับพ่อ
“ผมแวะไปหาไอ้เสกครับแม่” ไอ้เสกที่ผมอ้าง ชื่อเต็มคือเสกสรร เป็นเพื่อนสมัยเรียนปริญญาตรี พอจบมันก็หันเข้าหาวงการบันเทิงด้วยใจรักด้านการแสดงการร้องการเต้นหน้าเวที ต่อมา ด้วยความที่เงินหนา มันจัด
แจงเปิดโรงเรียนสอนคนที่อยากทำงานทั้งหน้ากล้องหลังกล้องขณะที่ผมไปเรียนโทที่อังกฤษและกลับมาทำบริ
ษัทของพ่อ “ผมกะจะทำ content เป็นรายการเสริมให้ลูกค้าที่ติดตั้ง internet ที่ต่างจังหวัด เลยเตร่ไปแถวโรงเรียนสอนการผลิตรายการโทรทัศน์ของไอ้เสก เผื่อจะเกิด idea อะไร แล้วก็เจอณัฏฐา เขาเพิ่งสมัครเข้าไปเรียนครับ ”
“แกเลยจีบเขา” พ่อว่า “เพื่อให้เขามาทำคอนเทนต์ให้แก”
 
“เปล่าครับ” ผมตอบ อารมณ์เริ่มมา ทำไมพ่อแม่ถึงคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ จะคบใครต้องกะเก็งว่าจะได้อะไรแทนที่จะคิดว่าคบเพราะถูกชะตา คบแล้วสบายใจ คบเพราะเคมีตรงกัน “ก็แค่พูดคุยกันถูกอัธยาศัย”
“พ่อจะบอกให้นะภูมิ” พ่อพูด เสียงท่านดังขึ้นเรื่อยๆด้วยอารมณ์บางอย่างที่อัดแน่นอยู่ข้างในที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ “การให้บริการเชื่อมต่อข้อมูล การให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ และงานติดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคม” สิ่งที่พ่อแจกแจงคืองานหลักของบริษัทเราที่ผมกำลังทำงานหัวปักหัวปำเพื่อพัฒนาให้เจริญก้าวหน้า “สิ่งที่สำคัญสุดคืองานติดตั้งโครงข่ายฯ เพราะถ้าไม่มีสิ่งนี้ ก็ไม่มีสองอย่างแรก และในที่สุดก็จะไม่มีบริษัทเรา เพราะโดนคู่แข่งเบียดตกเวที และคนที่ช่วยให้เราเดินหน้าเรื่องติดตั้งโครงข่ายฯจนสามารถอยู่ในเวทีนี้ได้คือหนูอัจฉรียาธร เพราะนอกจากบริษัทพ่อเขาจะเป็นรายใหญ่ด้านอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ น้าเขายังเป็นคนในเครื่องแบบ เป็นเส้นสายให้เราได้ เราจะประมูลงานใหญ่ๆในอนาคตสำเร็จเพราะหนูอัจ ไม่ใช่หนูณัฏฐาว่าที่ดาราใหญ่ของแกที่เขาจะช่วยได้อย่างมากแค่เรื่องการทำคอนเทนต์ ซึ่งมันเป็นธุรกิจปลายน้ำของบ้านเรา ไม่ใช่ธุรกิจต้นน้ำที่หนูอัจจะหยิบยื่นให้ครอบครัวเรา ให้ตระกูลเรา !”
“คุณภูมิรู้ประวัติพ่อแม่สมัยท่านยังเด็กมั้ย” ลุงวิชญ์ถาม
ปัญหาข้อข้องใจของผมมาลงเอยที่ลุงวิชญ์จนได้หลังจากเพียรหาคำตอบเรื่องอาการของพ่อแม่อยู่นานแต่ไม่สำเร็จ ผมเชื่อว่าคนอายุเกือบ 100 ปีอย่างลุงวิชญ์น่าจะมองเรื่องพวกนี้ออก เลยมาถาม
หลังฟังผมเล่าจบ แกก็คิด และคิด จนผมนึกว่าแกยืนหลับไปแล้วด้วยความชรา
ในที่สุดแกก็ถาม
“รู้ครับ” ผมตอบ “ทั้งของพ่อของแม่” เราคุยกันที่ถนนริมทะเลสาบกลางหมู่บ้าน สถานที่ที่เราวิ่งออกกำลังกายประจำ “แม่เป็นคนเล่า ของแม่ไม่เท่าไหร่ แค่ไม่รวย ไม่มีสิทธิ์ไปเที่ยวรอบโลกกับซื้อของหรูๆแพงๆที่ห้างแฮร็อดหรือแถวกรุงปารีส แต่ไม่ถึงกับอดอยากขาดแคลน แต่ของพ่อหนักกว่าเยอะ”
“หนักยังไง”
“ตอนพ่อยังเด็ก” ผมเริ่ม “ท่านมีกินมีใช้ตามปกติ ปู่เป็นช่างซ่อมวิทยุ โทรทัศน์ เครื่องใช้ไฟฟ้า
พ่อจึงคลุกคลีงานพวกนี้มาตั้งแต่จำความได้ พ่อมุ่งมั่นจะขยายกิจการเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์
ให้ใหญ่โตโดยจะเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ แล้วหาโอกาสฝึกอบรมวิชาบริหารธุรกิจ ทุกคนในบ้านเห็นด้วย และพากันเชียร์ แต่แล้วฝันพ่อก็สลาย..”
“สลายยังไง” ลุงวิชญ์ที่ฟังอย่างใจจดใจจ่อถามทันทีที่ผมเว้นวรรคเพื่ออัดลมหายใจเข้าปอด
ถ้ามองไม่ผิด สีหน้าลุงวิชญ์ซีดสลดราวกับเป็นคนที่ฝันสลายเสียเอง
แกคงอินกับเรื่องราวมากกว่าอย่างอื่น
“อยู่ๆปู่ก็แตกไลน์ธุรกิจไปทำอสังหาริมทรัพย์กับเพื่อนโดยให้พ่อผมกับลูกน้องปู่ช่วยกันดูแลกิจการเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์” ผมเล่าต่อ “ปู่กับหุ้นส่วนอสังหาฯ กู้เงินต่างประเทศมาพันล้าน ดอกเบี้ยถูกมาก แล้วขยายงานใหญ่โต ถ้าขายบ้านจัดสรรชุดนั้นหมด ปู่กับหุ้นส่วนจะรวยเป็นหมื่นล้าน ตอนนั้นพ่อดูแลกิจการปู่พร้อมกับเรียนวิศวะฯปีสุดท้ายและฝึกอบรบวิชาเกี่ยวกับบริหารธุรกิจไปด้วย แล้วทันใดเหตุร้ายในบ้านเมืองก็อุบัติ”
“วิกฤตปี 2540 ใช่มั้ย” ลุงวิชญ์ถาม
“ใช่ครับ” ผมตอบ ไม่แปลกใจที่ลุงวิชญ์เดาถูก แกเป็นคนร่วมสมัยของยุคนั้น “ประเทศตะวันตกขึ้นดอกเบี้ยนโยบายโครมๆๆ” ผมเล่าต่อ พยายามรวบรัดเพราะอยากฟังความเห็นเรื่องณัฏฐา “เงินดอลลาร์ที่ฝรั่งให้ฝั่งเอเชียกู้ดอกเบี้ยต่ำ ถูกกระชากกลับเพื่อไปกินดอกเบี้ยทางโน้น อันเป็นธรรมชาติของเงินที่ต้องวิ่งไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ก่อนกลับก็เอาบาทแลกดอลลาร์ ทันใดเงินบาทก็ท่วมระบบ รัฐจำต้องลดค่าเงิน จาก 25 บาทต่อดอลลาร์ ลงมาเป็น 50-60 บาทต่อดอลลาร์ หนี้ปู่กับเพื่อนจาก 1 พันล้านกลายเป็น 2 พันล้านในพริบตา ซึ่งไม่มีทางหาเงินมาเคลียร์หนี้ได้ ทรัพย์สินทุกอย่างถูกเจ้าหนี้ยึด ครอบครัวไม่มีที่ซุกหัว ไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ในภาวะที่ปั่นป่วน ปู่ย่าขับรถ แล้วไปประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตทั้งคู่”
“โอ้ย คุณพระคุณเจ้า” ลุงวิชญ์อุทาน “แล้วคุณพ่อคุณแม่กับตัวคุณภูมิล่ะ”
“ตอนนั้นพ่อเรียนวิศวะฯจบ แต่งงานกับแม่ และมีผมแล้ว และพ่อกำลังเตรียมจะขยายงานของปู่” ผมตอบ “เมื่อทุกอย่างหายวับ ไม่เหลือเงินสักบาท แทนที่พ่อจะถอยหรือถอดใจ ท่านกลับเดินหน้าเต็มกำลังโดยมีแม่เทเงินทั้งหมดที่แม่มีลงมาช่วย จนเกิดบริษัทรับจ้างวางระบบสื่อสารฯบริษัทเล็กๆขึ้น แม่บอกว่าสิ่งเดียวที่เป็นฝันร้ายของพ่อคือความกลัวต้องสูญเสียเหมือนที่ปู่เคยสูญสีย และสิ่งเดียวที่พ่อปรารถนาคือการได้เอากิจการของปู่กลับคืน และทำให้มันใหญ่กว่าเดิมร้อยเท่า”
แล้วผมกับลุงวิชญ์ก็เงียบพร้อมกันราวกับเทวดาเดินผ่าน
“ลุงวิชญ์ว่าพ่อแม่ทุ่มเทฝากความหวังไว้ที่อัจฉรียาธรแบบหมดตัวหมดใจเลยหรือ” ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น
“แล้วคุณภูมิคิดว่าไง” ลุงวิชญ์ถามย้อน
“ผมว่าไม่น่าเป็นไปได้” ผมตอบ “พ่อแม่ไม่ใช่คนประเภทที่เอะอะก็เอาแต่พึ่งใครๆ โดยเฉพาะพ่อ แม่ว่า
 
ช่วงฟื้นฟูฐานะพ่อทำงาน 3 วัน 3 คืนต่อเนื่อง 72 ชั่วโมงจนแม่ต้องแอบเอายานอนหลับให้กิน ไม่งั้นพ่อตาย พ่อไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใคร พ่อพยายามสร้างทุกอย่างเอง แล้วพ่อจะคิดพึ่งอัจฉรียาธรแบบสุดตัวได้ยังไง”
“ก็ไม่แน่” ลุงวิชญ์พูด ท่าทีครุ่นคิด “ใจอยู่ข้างใน ใครจะมองเห็น”
“โดยไม่สนไม่แคร์ความรู้สึกใครทั้งสิ้นโดยเฉพาะผมที่เป็นลูกงั้นน่ะหรือ” ผมเอะอะ ไม่เข้าใจความคิด
ลุงวิชญ์โดยสิ้นเชิง
“อย่าลืมนะคุณภูมิ” ลุงวิชญ์พูด “วิกฤตคราวนั้นทำให้ปู่ย่าหรือพ่อแม่ของคุณพ่อคุณภูมิตาย เราไม่มีวันรู้ได้ว่าคุณพ่อคุณกับคุณปู่คุณย่าคุณผูกพันกันขนาดไหน ความสะเทือนใจในอะไรที่รุนแรงมันอาจฝังแน่นในใจใครบางคนได้มากเกินกว่าที่เราจะคาดคิด” แล้วคนอายุเกือบ 100 ปีก็สรุป “เอางี้ ผมจะเล่าเหตุการณ์ในอดีตเรื่องนึง ฟังแล้วคุณภูมิเอาไปคิดเองว่าควรเดินหน้าต่อกับหนูนัฏฐาหรือไม่อย่างไร”
“เหตุการณ์อะไร” ผมถาม “เกี่ยวกับใคร”
“เกี่ยวกับตัวผม”
******************************
โฆษณา