“สลายยังไง” ลุงวิชญ์ที่ฟังอย่างใจจดใจจ่อถามทันทีที่ผมเว้นวรรคเพื่ออัดลมหายใจเข้าปอด
ถ้ามองไม่ผิด สีหน้าลุงวิชญ์ซีดสลดราวกับเป็นคนที่ฝันสลายเสียเอง
แกคงอินกับเรื่องราวมากกว่าอย่างอื่น
“อยู่ๆปู่ก็แตกไลน์ธุรกิจไปทำอสังหาริมทรัพย์กับเพื่อนโดยให้พ่อผมกับลูกน้องปู่ช่วยกันดูแลกิจการเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์” ผมเล่าต่อ “ปู่กับหุ้นส่วนอสังหาฯ กู้เงินต่างประเทศมาพันล้าน ดอกเบี้ยถูกมาก แล้วขยายงานใหญ่โต ถ้าขายบ้านจัดสรรชุดนั้นหมด ปู่กับหุ้นส่วนจะรวยเป็นหมื่นล้าน ตอนนั้นพ่อดูแลกิจการปู่พร้อมกับเรียนวิศวะฯปีสุดท้ายและฝึกอบรบวิชาเกี่ยวกับบริหารธุรกิจไปด้วย แล้วทันใดเหตุร้ายในบ้านเมืองก็อุบัติ”
“วิกฤตปี 2540 ใช่มั้ย” ลุงวิชญ์ถาม
“ใช่ครับ” ผมตอบ ไม่แปลกใจที่ลุงวิชญ์เดาถูก แกเป็นคนร่วมสมัยของยุคนั้น “ประเทศตะวันตกขึ้นดอกเบี้ยนโยบายโครมๆๆ” ผมเล่าต่อ พยายามรวบรัดเพราะอยากฟังความเห็นเรื่องณัฏฐา “เงินดอลลาร์ที่ฝรั่งให้ฝั่งเอเชียกู้ดอกเบี้ยต่ำ ถูกกระชากกลับเพื่อไปกินดอกเบี้ยทางโน้น อันเป็นธรรมชาติของเงินที่ต้องวิ่งไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ก่อนกลับก็เอาบาทแลกดอลลาร์ ทันใดเงินบาทก็ท่วมระบบ รัฐจำต้องลดค่าเงิน จาก 25 บาทต่อดอลลาร์ ลงมาเป็น 50-60 บาทต่อดอลลาร์ หนี้ปู่กับเพื่อนจาก 1 พันล้านกลายเป็น 2 พันล้านในพริบตา ซึ่งไม่มีทางหาเงินมาเคลียร์หนี้ได้ ทรัพย์สินทุกอย่างถูกเจ้าหนี้ยึด ครอบครัวไม่มีที่ซุกหัว ไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ในภาวะที่ปั่นป่วน ปู่ย่าขับรถ แล้วไปประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตทั้งคู่”
“โอ้ย คุณพระคุณเจ้า” ลุงวิชญ์อุทาน “แล้วคุณพ่อคุณแม่กับตัวคุณภูมิล่ะ”
“ตอนนั้นพ่อเรียนวิศวะฯจบ แต่งงานกับแม่ และมีผมแล้ว และพ่อกำลังเตรียมจะขยายงานของปู่” ผมตอบ “เมื่อทุกอย่างหายวับ ไม่เหลือเงินสักบาท แทนที่พ่อจะถอยหรือถอดใจ ท่านกลับเดินหน้าเต็มกำลังโดยมีแม่เทเงินทั้งหมดที่แม่มีลงมาช่วย จนเกิดบริษัทรับจ้างวางระบบสื่อสารฯบริษัทเล็กๆขึ้น แม่บอกว่าสิ่งเดียวที่เป็นฝันร้ายของพ่อคือความกลัวต้องสูญเสียเหมือนที่ปู่เคยสูญสีย และสิ่งเดียวที่พ่อปรารถนาคือการได้เอากิจการของปู่กลับคืน และทำให้มันใหญ่กว่าเดิมร้อยเท่า”
แล้วผมกับลุงวิชญ์ก็เงียบพร้อมกันราวกับเทวดาเดินผ่าน
“ลุงวิชญ์ว่าพ่อแม่ทุ่มเทฝากความหวังไว้ที่อัจฉรียาธรแบบหมดตัวหมดใจเลยหรือ” ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น
“แล้วคุณภูมิคิดว่าไง” ลุงวิชญ์ถามย้อน
“ผมว่าไม่น่าเป็นไปได้” ผมตอบ “พ่อแม่ไม่ใช่คนประเภทที่เอะอะก็เอาแต่พึ่งใครๆ โดยเฉพาะพ่อ แม่ว่า
ช่วงฟื้นฟูฐานะพ่อทำงาน 3 วัน 3 คืนต่อเนื่อง 72 ชั่วโมงจนแม่ต้องแอบเอายานอนหลับให้กิน ไม่งั้นพ่อตาย พ่อไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใคร พ่อพยายามสร้างทุกอย่างเอง แล้วพ่อจะคิดพึ่งอัจฉรียาธรแบบสุดตัวได้ยังไง”
“ก็ไม่แน่” ลุงวิชญ์พูด ท่าทีครุ่นคิด “ใจอยู่ข้างใน ใครจะมองเห็น”
“โดยไม่สนไม่แคร์ความรู้สึกใครทั้งสิ้นโดยเฉพาะผมที่เป็นลูกงั้นน่ะหรือ” ผมเอะอะ ไม่เข้าใจความคิด
ลุงวิชญ์โดยสิ้นเชิง
“อย่าลืมนะคุณภูมิ” ลุงวิชญ์พูด “วิกฤตคราวนั้นทำให้ปู่ย่าหรือพ่อแม่ของคุณพ่อคุณภูมิตาย เราไม่มีวันรู้ได้ว่าคุณพ่อคุณกับคุณปู่คุณย่าคุณผูกพันกันขนาดไหน ความสะเทือนใจในอะไรที่รุนแรงมันอาจฝังแน่นในใจใครบางคนได้มากเกินกว่าที่เราจะคาดคิด” แล้วคนอายุเกือบ 100 ปีก็สรุป “เอางี้ ผมจะเล่าเหตุการณ์ในอดีตเรื่องนึง ฟังแล้วคุณภูมิเอาไปคิดเองว่าควรเดินหน้าต่อกับหนูนัฏฐาหรือไม่อย่างไร”
“เหตุการณ์อะไร” ผมถาม “เกี่ยวกับใคร”
“เกี่ยวกับตัวผม”
******************************