23 มิ.ย. 2021 เวลา 05:38 • หนังสือ
I called him necktie
ผมเรียกเขาว่าเนคไท
ผู้เขียน : มิเลนา มิชิโกะ ฟลาซาร์
ผู้แปล : สิริยากร พุกกะเวส มารค์ควอร์ท
สำนักพิมพ์ : แมร์รี่โกราวด์ พับลิชชิ่ง จำกัด
ความหนา : 167 หน้า
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มเล็กๆที่ออกแบบหน้าปกได้อย่างสวยงาม และเพราะความที่มันเป็นหนังสือเล่มเล็ก มันก็เลยทำให้ตัวของฉันเองนั้นจะหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาจากกองดองเป็นเล่มแรก
หนังสือเล่มนี้ ติดอันดับขายดีในหลายๆร้านหนังสือ แถมยังติดอันดับขายดีมาเป็นระยะเวลานานอีกต่างหาก แต่....สิ่งแรกที่สะกิดใจของฉันน่ะ มันเป็นชื่อของผู้เขียนหนังสือมากกว่า ชื่อของผู้เขียนเป็นผู้หญิงที่เป็น คล้ายๆกับภาษาอังกฤษปนกับภาษาญี่ปุ่น ซึ่งฉันก็มารู้ทีหลังว่าตัวของผู้เขียนเองนั้น ก็เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นจริงๆเสียด้วย....
------------------------------------------------
แล้วทีนี้....ผู้เขียนจะเลือกให้เรื่องราวในเรื่องเกิดขึ้นที่ไหนล่ะ?
นี่เป็นประโยคคำถามของฉันในตอนเปิดหนังสือขึ้นอ่าน.....
------------------------------------------------
บรรยากาศที่ลอยอบอวลอยู่ในหนังสือเล่มนี้นั้น จะเป็นบรรยากาศแบบตะวันตก หรือเป็นบรรยากาศแบบญี่ปุ่นกันนะ เพราะโดยปกติแล้วน่ะ คนแต่งก็มักที่จะหยิบยกสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว หรือไม่ก็ประสบการณ์ที่ผ่านมาของตนเองเอามาแต่งงานเขียนอยู่แล้ว
ฉันอ่านหนังสือไปหลายบท.....ในขณะที่อ่านหนังสือไป.....มันก็มีบรรยากาศที่ออกแนวตะวันตก ส่งออกมาจากในนั้น แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ได้รู้ว่า ฉากหลังของตัวละครในเรื่องนี้นะ มันเกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะว่าร้านขายของ ที่พ่อกับแม่ของตัวเอกไปซื้อของเป็นประจำมันเป็นชื่อญี่ปุ่นยังไงล่ะ
จริงๆแล้วฉันน่าจะรู้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เพราะว่าตัวเอกของเรื่องถูกจั่วหัวเอาไว้ตั้งแต่แรกเลยว่าเป็นโรคฮิคิโคโมริ ซึ่งมันก็เป็นโรคที่ ผู้ป่วยชอบที่จะเก็บตัวอยู่ภายในห้องของตนเองโดยไม่พบป่ะกับใครแม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนในบ้านเดียวกับตัวเองก็ตาม.....
------------------------------------------------
และประโยคแรกที่ฉันนั้นรู้สึกโดนใจหนังสือเล่มนี้มากที่สุด ก็เป็นตรงส่วนของ คำนำสำนักพิมพ์ที่เขียนเอาไว้ว่า ต่อให้ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบอย่างไร....ชีวิตก็ยังคงเป็นชีวิต
ฉันชอบประโยคนี้เสียจริงๆ...ถึงขนาดอ่านทวนหลายรอบเลยล่ะ ก่อนที่จะพยักหน้าเห็นด้วยกับประโยคนี้
------------------------------------------------
จากประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปีของฉัน จากวัยเด็กย่างเข้าผู้สู่วัยรุ่น จากวัยรุ่นย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แต่งตัว มันทำให้ฉันเห็นด้วยกับประโยคที่ฉันพูดออกไปเมื่อครู่นี้เป็นอย่างมาก
ฉันทำอะไรผิดพลาดมามากมาย และในตอนเด็กๆฉันก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นงี่เง่าซะเหลือเกินที่ทำอย่างนั้น มีหลายครั้งที่ฉันเฝ้าพูดกับตัวเองว่าฉันไม่ควรที่จะทำสิ่งนั้นลงไป มันอาจจะเป็นเพราะความตื้นเขินทางความคิดของฉัน รวมไปถึงสังคมและวัฒนธรรมทั้งหลายที่ล้อมรอบตัวฉันอยู่ มันเลยทำให้ฉันคิดอย่างนั้น
ไม่ใช่ว่าฉันกำลังนั่งโทษสิ่งรอบตัวอยู่ ว่ามันทำให้ฉันคิดอย่างนั้น ฉันคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันในตอนนั้น มันไม่ได้สร้างรอยเปื้อนได้ให้กับชีวิตของฉันหรอก ในทางตรงกันข้ามฉันจะคิดว่า มันเป็นเหมือนอิฐก้อนนึง ที่ถูกเรียงเอาไว้สำหรับการทางเดินที่ฉันกำลังก้าวไปข้างหน้าของชีวิตฉันต่างหากล่ะ…. ฉันคิดอย่างนั้นจริงๆ….
------------------------------------------------
หนังสือเล่มนี้นั้นเป็นหนังสือ เล่มเล็กๆ…. ที่อ่านง่าย... อ่านเพลินๆแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก…. ฉันคนค่อนชอบเลยทีเดียวกับการเล่าเรื่อง ที่มีการตัดสลับฉากในอดีตและฉากในอนาคตเอามาวางเรียงต่อๆกันในขณะที่กำลังเล่าเรื่องปัจจุบัน ฉันคิดว่าตัวของผู้แต่งทำออกมาได้ดีมาก ชนิดที่ตัวของฉันเองนั้นอยากที่จะเลียนแบบงานเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราวแบบเลย....
------------------------------------------------
ฉากที่ตัวของฉันชอบอีกฉากหนึ่ง ก็คือฉากที่ตัวเอกแอบตั้งชื่อให้กับผู้ชายคนนึงที่ตัวเขาเจอที่สวนสาธารณะ เขาตั้งชื่อให้ผู้ชายคนนั้นว่าเนคไท แล้วมันก็เป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้นั่นแหละ
ตัวเอกเห็นผู้ชายคนนั้นร้องไห้ และการร้องไห้ผู้ชายคนนั้นก็เลยทำให้ตัวเอกนั้น ได้แต่บ่นออกมาในใจว่า การร้องไห้และความตายควรจะเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่หรือ
ประโยคนี้ก็เป็นประโยคอีกประโยคหนึ่งที่ทำให้ฉันฉุกใจคิด…. ตัวของฉันเองไม่ได้เป็นคนขี้แย น้อยครั้งมากๆที่ฉันจะร้องไห้ และก็น้อยครั้งมากๆอีกเหมือนกันที่จะมีใครเห็นฉันร้องไห้
มันเป็นความทรมานอยู่เล็กๆเหมือนกัน ที่ตัวของฉันเองนั้นต้องพยายามบอกกับตัวเองให้เข้มแข็งในยามที่ทุกข์ใจ แม้ว่าจะอยากร้องไห้ออกมามากเพียงใดแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำมันออกมาได้ ฉันคิดว่าตัวของฉันเองค่อนข้างเข้าใจเนคไทว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น
------------------------------------------------
ในบางครั้งการร้องไห้ ในที่ที่ไม่ได้มีใครสนใจเรา หรืออย่างน้อยเราก็คิดว่าไม่ได้มีใครสนใจเรา ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีอยู่เหมือนกัน
ในยามที่ฉันร้องไห้ออกมา ฉันไม่ได้ต้องการคำปลอบโยนจากใคร แต่ฉันเพียงแค่อยากจะให้เขานั้น นั่งมองฉันร้องไห้เป็นเงียบๆจนกว่าฉันจะพอใจนั่นแหละ ฉันคิดว่าการที่เขาคนนั้นอยู่ด้วยกันกับฉันในยามที่ทุกข์มากที่สุด งั้นก็ถือว่าเขามีน้ำใจกับฉันมากถึงมากที่สุดแล้ว
และฉันก็ไม่ค่อยเห็นด้วย กับคนที่ชอบบอกคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์และเสียใจหรือกำลังร้องไห้อยู่ว่าให้ทำตัวเข้มแข็ง
คุณลองคิดดูนะ ถ้าเขาเข้มแข็งและเขาจะร้องไห้หรือไง และบางทีน่ะคนที่เข้มแข็งมากที่สุดเขาก็แอบไปร้องไห้โดยที่ไม่ให้คุณเห็นด้วยเหมือนกันนั่นแหละ สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็คือมนุษย์ มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงมากนักหรอก มนุษย์เองก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เจ็บปวดเป็นเหมือนกับสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นนั่นแหละ
ถ้าคุณอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ มันจะทำให้คุณสบายใจเสียมากกว่า
------------------------------------------------
ชื่อนำมาซึ่งความผูกพัน
และสายตาก็บ่งบอกถึงความมีอยู่ของสิ่งนั้น
นี่เป็นอีกสิ่งฉันได้ค้นพบจากการอ่านหนังสือเรื่อง ผมเรียกเขาว่าเนคไท....การดำเนินเรื่องของหนังสือเล่มนี้นั้นเป็นไปอย่างกระชับ เหมาะสำหรับการนำไปอ่านที่กำลังนั่งรออะไรบางอย่าง แต่ข้อควรระวังของอ่านหนังสือเล่มนี้ก็คือ มันอาจจะทำให้คุณเสียน้ำตาในที่สาธารณะได้ ซึ่งตัวของฉันเองก็เสียน้ำตาไป 5 ถังจากการอ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนกัน
ตลอดเวลาที่ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ สิ่งที่ฉันตั้งคำถามก็คือว่า เหตุการณ์อะไรที่ทำให้ตัวเอกของเรื่องเป็นโรคฮิคิโคโมริ ซึ่งตัวของหนังสือก็จะค่อยๆเฉลยปมนั้นของตัวเอกออกมาอย่างแยบยล ในยามที่ฉันรู้ความจริง มันทำให้ฉันถึงกับต้องถอนหายใจออกมาเลยทีเดียว ถ้าคุณอยากรู้ว่าขออะไรก็ขอให้ไปอ่านหนังสือเล่มนี้นะคะ
ความเงียบเหงาของป่านั้นแท้จริงมันเต็มไปด้วยเสียง นี่คือประโยคประโยคนึงที่เนคไทบอกกับตัวเอกของเรื่อง ในตอนนี้นั้นเขาทั้งสองเรื่องสานสัมพันธ์เป็นเพื่อนกันเรียบร้อย จากตอนแรกที่ตัวเอกได้แต่นั่งมองเนคไทอยู่เงียบๆ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของเขาสองคนจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว
ประโยคมีที่เนคไทเป็นคนพูด ทำให้ฉันไปถึงเรื่องนึงขึ้นมาได้ มันเป็นเรื่องของชายวัยรุ่นคนนึงที่ตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง เพื่อที่จะเดินเข้าป่า เขาสร้างบ้านพักของตนเองในป่า และอยู่อาศัยในป่านั้นเป็นสิบๆปี
เขาไม่เคยออกมาข้างนอกเลยยกเว้นแต่ต้องการที่จะมาขโมยของบางอย่างที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิต ประโยคหนึ่งที่ทำให้ฉันจำได้ขึ้นใจ ก็คือประโยคที่เขาบอกว่า แท้จริงแล้วปากไม่ได้เงียบอย่างที่เขาคิด มันเต็มไปด้วยสรรพเสียงจริงๆ และเวลาตีสองของแต่ละวัน ก็จะเป็นเวลาที่เสียงดังมากที่สุด
สรรพสัตว์แต่ละชนิดก็จะออกหากินกันในเวลานั้น มันเป็นช่วงเวลาที่เขาหลีกเลี่ยงจะออกไปข้างนอก เพราะมันอาจจะเกิดอันตรายกับชีวิตของเขาได้ แต่ตัวของเขาเองนั้นก็รู้สึกดีในตอนที่เขาอยู่ภายในป่า มากกว่าที่เขาจะกลับมาอยู่ในเมือง
อ้อ...สุดท้ายแล้วผู้ชายคนนี้ก็ต้องกลับเข้ามาใช้ชีวิตในเมือง
ไม่ใช่ด้วยความเต็มใจของเขา แต่เขาโดนจับข้อหาขโมย ในตอนที่เขากำลังย่องไปขโมยหนังสือในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมันๆจะเป็นบ้านที่เขาเข้ามาขโมยหนังสือเป็นประจำ จนทำให้เจ้าของบ้านสงสัยและหาทางวางแผนจับตัวคนร้ายนั่นแหละ
สรุปแล้วหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่ควรค่าสำหรับการอ่านอีกเล่มนึง แม้ว่ารูปเล่มจะดูบางไปหน่อย แล้วราคาค่อนข้างที่จะเอาเรื่อง (แต่...ก็อย่างว่าละนะ สื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศของเรา ไม่ได้ขายดีเหมือนกับประเทศอื่น ราคามันก็เลยแพงไปด้วย)
แต่อย่างน้อยฉันก็คิดว่ามันคุ้มค่ากับการที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ บางทีคุณอาจจะได้ทบทวนชีวิตของตนเอง ไปตามเนื้อหาที่เนคไทและตัวเอกผลักกันเล่าออกมาให้กันและกันฟัง แล้วบางทีคุณก็อาจจะรู้สึกเหมือนกันก็ได้ว่า
แท้จริงชีวิตของเรามันก็เต็มไปด้วยความแหว่งหวิ่น ซึ่งเราก็....ทำเบลอๆกับมันไป แล้วก็เริ่มต้นชีวิตกันใหม่แค่นั้น เพียงเท่านี้มันก็อาจจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นก็ได้
โฆษณา