"วังจันทรเกษม" ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ทำการกระทรวงศึกษาธิการนี้ ตั้งอยู่ที่ถนนราชดำเนินนอก ในอดีตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานที่ดินบริเวณนี้เพื่อสร้างเป็นวังที่ประทับให้แก่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ รัชกาลที่ 6 โดยเรียกชื่อว่า "วังจันท์"
.
โดยได้พระราชทานเงินค่าก่อสร้างหมื่นชั่ง เริ่มก่อสร้างในปี 2450 เสร็จประมาณปี 2454 แต่รัชกาลที่ 6 ก็ไม่ได้เสด็จมาประทับเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคตเสียก่อนที่วังจะสร้างเสร็จ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวังจันทรเกษมสร้างแล้วเสร็จ จึงไม่ได้มาประทับที่นี่
.
แต่เดิมนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริจะสร้างวังริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดราษฎร์บูรณะ แต่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯไปศึกษาวิชาทหารที่ยุโรปจึงระงับไว้ เมื่อ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ กลับ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดฯ ให้ไปประทับที่วังสราญรมย์
เมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างพระราชวังดุสิตขึ้น พระองค์มีพระราชประสงค์ให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่ใกล้ชิดพระองค์ จึงมีพระราชดำริสร้างวังจันทรเกษม แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์ ก็ได้พระราชทานตำหนักใหญ่เป็นที่ตั้งสถานพยาบาลสำหรับข้าราชบริพาร
.
หลังจากนั้นก็ใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียนการเรือน จนถึง พ.ศ.2483 ได้ย้ายโรงเรียนการเรือนไปด้านหลัง
.
เมื่อใช้วังจันทรเกษมเป็นที่ทำการกระทรวงศึกษาธิการ พระตำหนักใหญ่แห่งนี้ก็ใช้เป็นสำนักปลัดกระทรวง ภายในวังนอกจากพระตำหนักใหญ่แล้วยังประกอบด้วยโรงละครและโรงโขน มีอยู่ตึกหนึ่งที่เป็นตำหนักเก่าที่นี่มีดาบโบราณเก็บไว้ 2 เล่ม
.
ซึ่งภายหลังปรากฏเรื่องเล่าน่าสะพรึงสถานที่เก่าแก่โบราณเช่นนี้ย่อมมีตำนาน มีเรื่องเล่าสารพัดถึงความลี้ลับหรือความเฮี้ยนของบรรดา "วิญญาณ" ที่ยังคงวนเวียนอยู่ในวังเก่า ในสมัยรัฐบาลของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม พ.ศ.2482 มีมติให้ย้ายกระทรวงธรรมการ หรือภายหลังเปลี่ยนเป็นกระทรวงศึกษาธิการ มาอยู่ที่วังจันทรเกษม
.
ซึ่งเวลานั้นเป็นโรงเรียนการเรือน ในเรื่องความเฮี้ยนหรือความดุของวิญญาณ ที่นี่ผู้สื่อข่าวอาวุโสประจำกระทรวงท่านหนึ่งเล่าว่า คงเพราะเป็นวังเก่าซึ่งต้องมี "เจ้าของเก่า" จึงมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมา และยังเคยถูกใช้เป็นที่ตั้งโรงพยาบาล ซึ่งต้องมีคนตาย จึงมีหลายคนเคยเห็นวิญญาณอยู่บ่อยครั้ง มีทั้งเด็กชายผมจุก ผีผู้หญิงในชุดไทยโบราณ หรือชายโบราณในชุดนักรบ
.
เล่ากันอีกว่าสมัยก่อนที่นี่...ผีดุ จนข้าราชการที่นอนเวรเฝ้าตึกไม่กล้านอนที่อาคารราชวัลลภ ต้องไปนอนที่ป้อมยามหน้าประตู เพราะเหตุที่ในยามดึกมักได้เห็น "เจ้าจุก" ผีเด็กโบราณวิ่งเล่นตึงๆ อยู่บนตึกแทบทุกคืน อีกทั้งบริเวณซึ่งเป็นอาคารของกรมอาชีวศึกษาในปัจจุบันด้านสะพานมัฆวานรังสรรค์ ว่ากันว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งโรงเก็บร่างของผู้เสียชีวิต มีประตูผีเป็นช่องทางขนย้ายร่างออกจากวัง ปัจจุบันช่องประตูที่ว่านี้ถูกปิดตายห้ามเข้าออก
.
ในสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระองค์จะทรงงานดนตรีรับแขกบ้านแขกเมือง และใช้วังจันทรเกษมนี้เป็นที่พักของบรรดาข้าหลวงมหาดเล็กและผู้สนองงานของพระองค์ สมัยนั้นจะมีเรือนไม้หลายหลัง ซึ่งปัจจุบันผุพังถูกรื้อไปและสร้างตึกขึ้นมาแทน จึงมีเรื่องเล่าว่าระหว่างการก่อสร้างตึกสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชนได้มีการขุดพบหัวกะโหลกและไหบรรจุกระดูก
.
ขณะที่สร้างตึก 10 ชั้น ของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ
อีกเรื่องหนึ่งที่เล่ากันมาก็คือ บริเวณชั้น 2 ของอาคารราชวัลลภเคยมีหุ่นผู้หญิงขนาดเท่าคนจริงแต่งชุดไทยตั้งอยู่ หุ่นนี้คือตัวละครจากบทละครเรื่องต่างๆ ที่รัชกาลที่ 6 ทรงประพันธ์เป็นหุ่นที่กรมศิลปากรสร้างถวาย ซึ่งเคยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงท่านหนึ่งเคยเล่าให้ผู้ที่ทำงานด้วยกันฟังว่า เวลานั่งทำงานที่โต๊ะซึ่งรายรอบไปด้วยหุ่น รู้สึกเหมือนมีใครมายืนจ้องอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดท่านต้องขอให้เก็บหุ่นไปไว้ที่กรมศิลปากร
.
ยังมีผู้ที่มีประสบการณ์เล่าให้ฟังอีกว่า เคยมีนักศึกษาต่างจังหวัดเดินทางมาทำกิจกรรมที่กระทรวงฯ แล้วใช้ตึกซึ่งเป็นตำหนักเก่าเป็นที่พัก ภายในตึกนี้มีดาบโบราณเก็บไว้ 2 เล่ม ปรากฏว่าพอนอนพักได้ก็หลับสนิท จนรุ่งเช้าตื่นขึ้นมาปรากฏว่าทุกคนนอนกลับหัวกลับหางกันหมด เป็นเรื่องแปลกที่ต้องอึ้งไปตามๆ กัน
.
จนครั้งหนึ่งมีพระภิกษุมาจากกาญจนบุรี มาฉันเพลที่กระทรวง ท่านนั่งสมาธิเห็นดวงวิญญาณที่ยังวนเวียนไม่มีทางไป ยังอยู่ที่นี่อีกมากมาย จนผู้ใหญ่ในกระทรวงที่มีความเชื่อในเรื่องนี้เคยสั่งให้ขุดลงไปดูด้านข้างพระตำหนักเก่า และพบกระดูกคนที่เสียชีวิตฝังเอาไว้มากมาย จนต่อมาได้ทำการตั้งศาลพระภูมิให้ที่ริมกำแพงด้านเหนือ
.
ในสมัยที่ ท่านสัมพันธ์ ทองสมัคร หรือฉายา "หมอผี" เข้ามาเป็นรัฐมนตรีประจำกระทรวง วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งท่านคงพอจะรู้ประวัติของที่นี่มาพอสมควร จึงเปรยกับข้าราชการว่า "ร่ำลือกันว่าที่นี่ผีดุ ผมเป็นหมอผี จะมาปราบผี" แต่เมื่อท่านนั่งทำงานในห้องไม่กี่วันก็ต้องนิมนต์พระมาสวดที่ห้องทำงาน เพราะเหตุที่เล่ากันว่า ท่านได้ยินเสียงคนเดินในห้องทั้งๆ ที่ท่านนั่งทำงานคนเดียว เสียงก๊อกน้ำเปิดเอง ประตูเปิดปิดเอง ถ้าอยู่ทำงานดึกๆ บางวันจะได้ยินเสียงดนตรีไทยบรรเลงที่ไพเราะมากดังแว่วมา จนครั้งที่แรงที่สุดเห็นจะเป็นเมื่อท่านนั่งทำงานอยู่คนเดียวเงียบๆ ในห้อง แล้วจู่ๆ ไม่ทราบนึกยังไงทำให้เหลียวไปมองข้างหลังที่มีดาบโบราณแขวนอยู่ แต่พอหันไปก็ต้องผงะสะดุ้งสุดตัวเพราะเห็นคนโบราณ 2 คน ถือดาบตั้งท่าจะฟัน เท่านั้นเองหลังจากวันนั้นท่านก็ขอย้ายห้องทำงานทันที
.
ห้องทำงานที่ว่านี้สมัยก่อนเล่ากันว่าแรงและเฮี้ยนมาก ถึงกับนั่งทำงานกันไม่ได้ และผู้ที่ทำงานในกระทรวงนี้แทบทุกคนจะไม่มีใครกล้าลองของ เพราะถ้าเผลอปากท้าเมื่อไหร่เป็นต้องเจอ...