ด้วยความที่มีกองทัพที่แข็งแกร่งและอำนาจทางการค้าที่มหาศาล ทำให้คู่แข่งต่างยำเกรง ดินแดนหลายแห่งก็ไม่กล้าขัดใจ ต้องยอมทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของ “ภาษี” ซึ่ง British East India ก็มีอำนาจต่อรองอย่างเต็มที่
British East India ซึ่งเป็นบริษัทเกิดใหม่ ได้กลายเป็นบริษัทที่ผูกขาดทางการค้าในอินเดียตะวันออก ชนิดที่บริษัทอื่นๆ ในอังกฤษไม่สามารถสู้ได้ และยังไม่มีสิทธิทำการค้าในดินแดนแถบนั้น
3
แต่ถึงอย่างนั้น บริษัทก็ยังต้องเผชิญกับคู่แข่งอย่างสเปนและโปรตุเกส ซึ่งทั้งสองชาติก็มีสถานีการค้าอยู่ในอินเดีย รวมทั้งบริษัท Dutch East Indies ซึ่งก่อตั้งในปีค.ศ.1602 (พ.ศ.2145)
หากแต่การเดินทางๆ ทะเลเพื่อนำเข้าสินค้าจากตะวันออกก็มีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการถูกปล้นจากโจรสลัด หรือปะทะกับเรือของคู่แข่ง รวมทั้งโรคระบาด ซึ่งอัตราการเสียชีวิตของลูกเรือ British East India ก็สูงถึง 30%
พนักงานของบริษัท British East India สามารถทำการค้าตามกฎหรือนอกกฎของบริษัทก็ได้ ซึ่งก็มีโอกาสสำหรับพนักงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการโกง หรือลักลอบนำเข้าสินค้าต่างๆ ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล และเหล่าพนักงานก็มักจะลักลอบ มุบมิบสินค้าบางส่วน และนำไปขายเอง
2
ก่อนที่ British East India จะก่อกำเนิด เสื้อผ้าส่วนใหญ่ในอังกฤษ จะเป็นเสื้อผ้าธรรมดา เน้นการใช้งานมากกว่าความสวยงาม
ในเวลานั้น จักรวรรดิโมกุลมีอำนาจหลักๆ อยู่ภายในอินเดีย หากแต่เมืองท่าต่างๆ นั้นเปิดรับชาติตะวันตกอย่างเสรี ซึ่งนั่นทำให้สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ British East India เร่งหาเงินทุนจำนวนมาก ก็เพื่อการสร้างสถานีการค้าในเมืองท่าหลายๆ แห่งในอินเดีย
1
ต่อมา เมื่อจักรวรรดิโมกุลล่มสลายในศตวรรษที่ 18 ก็ได้เกิดสงครามภายในอินเดีย ทำให้พ่อค้าอินเดียจำนวนมากต้องเข้าหาบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งเพื่อหาที่พึ่ง ทำให้ British East India ยิ่งเติบโตและทรงอำนาจเกินใครจะต้านทาน
1
ปัญหาก็คือ “British East India จะปกครองดินแดนที่กำลังวุ่นวายเหล่านี้ยังไง และจะใช้หลักการอะไรในการปกครอง?”
จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกอย่าง ที่เปลี่ยน British East India จากบริษัทการค้าสู่อาณาจักรมหาอำนาจ ได้มาถึงในภายหลังจากยุทธการที่ปลาศี (Battle of Plassey) ในปีค.ศ.1757 (พ.ศ.2300)
ยุทธการที่ปลาศี เป็นการต่อสู้ระหว่าง British East India กับแคว้นเบงกอลของจักรวรรดิโมกุลที่มีฝรั่งเศสหนุนหลัง
3
ยุทธการที่ปลาศี (Battle of Plassey)
ยุทธการนี้เป็นการสู้รบระหว่างทหารอินเดียกว่า 50,000 นาย กับทหารของ British East India เพียง 3,000 นาย
1
ในเวลานั้น คนใหญ่คนโตในอินเดียต่างไม่พอใจที่ British East India ขูดรีดภาษี จึงเกิดความรุนแรงตามมา
1
แต่สิ่งที่เหล่าคนใหญ่คนโตไม่ทราบเลยก็คือ ในเวลานั้น ผู้นำทางการทหารฝ่าย British East India ในแคว้นเบงกอล นั่นก็คือ “โรเบิร์ต ไคลฟ์ (Robert Clive)” ได้แอบไปตกลงลับๆ กับเหล่านายธนาคารในอินเดีย มีผลประโยชน์ร่วมกัน และทำให้กองทัพอินเดียไม่ยอมออกรบ
1
โรเบิร์ต ไคลฟ์ (Robert Clive)
ชัยชนะของ British East India ทำให้บริษัทยิ่งแข็งแกร่ง และมีอำนาจในการจัดเก็บภาษีในเบงกอลอย่างเต็มที่ ซึ่งในเวลานั้น แคว้นเบงกอลคือหนึ่งในดินแดนที่ร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดีย
ชัยชนะครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริษัทไปอย่างสิ้นเชิง จากบริษัทที่มุ่งไปยังการสร้างผลกำไร ไปเป็นมุ่งในการจัดเก็บภาษี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า British East India มีอำนาจมากยิ่งกว่ารัฐบาลอินเดียซะอีก
1
ต่อมาในปีค.ศ.1784 (พ.ศ.2327) สภาอังกฤษได้ออก “พระราชบัญญัติอินเดีย (India Act)” ซึ่งเป็นการกำหนดให้รัฐบาลอังกฤษมีอำนาจปกครองดินแดนที่อยู่ใต้อำนาจของ British East India ในอินเดีย เนื่องจากรัฐบาลเล็งเห็นว่าบริษัทเริ่มจะมีอำนาจมากเกินไปแล้ว จำเป็นต้องลดทอนอำนาจลง
3
แต่การขูดรีดของ British East India ก็ยังไม่จบ ในช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่ดำมืดของบริษัท
British East India ได้ทำการลักลอบนำเข้าฝิ่นเข้ามายังจีน แลกกับสินค้าที่ล้ำค่าในยุคนั้น
3
นั่นก็คือ “ชา”
ที่ผ่านมา จีนจะทำการค้า แลกเปลี่ยนใบชากับแร่เงินเท่านั้น ซึ่งอังกฤษก็ไม่ได้มีแร่เงินเพียงพอต่อความต้องการชา British East India จึงทำการจัดหาและลักลอบนำเข้าฝิ่นสู่จีนผ่านตลาดมืด แลกกับใบชา
เมื่อทางการทราบถึงพฤติกรรมของ British East India ก็ได้ทำการยึดฝิ่นและห้ามปรามการกระทำของบริษัท ซึ่งทำให้อังกฤษไม่พอใจและส่งกองเรือเข้ามารุกราน จุดประกายให้เกิด “สงครามฝิ่น (Opium War)” ในปีค.ศ.1839 (พ.ศ.2382)
สงครามฝิ่น (Opium War)
สงครามครั้งนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของจีน ทำให้จีนต้องส่งมอบฮ่องกงให้อยู่ในอำนาจของอังกฤษ และทำให้เห็นว่า British East India นั้นหาผลประโยชน์ได้ทุกวิถีทาง
2
ต่อมา อังกฤษได้ออก “พระราชบัญญัติรัฐบาลอินเดีย ค.ศ. 1858 (Government of India Act 1858)” ในปีค.ศ.1858 (พ.ศ.2401) ซึ่งกำหนดให้ British East India มาขึ้นตรงกับราชสำนักอังกฤษ
1
หลังจากนั้น British East India ก็ปิดตัวลงในปีค.ศ.1874 (พ.ศ.2417) ภายหลังจากครองความยิ่งใหญ่มานานกว่า 200 ปี
1
British East India ปิดตัวลงไปนานเกือบ 150 ปีแล้ว แต่เรื่องราวของบริษัทนี้ยังเป็นกรณีศึกษาของบริษัทต่างๆ และวงการธุรกิจมาจนถึงปัจจุบัน