26 มิ.ย. 2021 เวลา 07:18 • ปรัชญา
แนวคิดวิทยาศาสตร์
นิวตันกับไอน์สไตน์
สำหรับแนวคิดที่สอง คือ แนวคิดแบบวิทยาศาสตร์...
แนวคิดแบบวิทยาศาสตร์แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ แนวคิดแบบวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนของกาลิเลโอ นิวตันและ เดสคาร์ต และแนวคิดแบบฟิสิกส์ใหม่ ซึ่งมีองค์ความรู้ที่แหวกกรอบหรือมีลักษณะที่ขัดแย้งกับองค์ความรู้แบบวิทยาศาสตร์เก่าเป็นอย่างมาก
นักวิชาการกำหนดนับยุคของแนวคิดแบบฟิสิกส์ใหม่ นับตั้งแต่ไอน์สไตน์ (Einstein) ได้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Relative theory) เป็นต้นมา
แนวคิดวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอน....
แนวคิดแบบวิทยาศาสตร์เก่ามีความเชื่อว่า องค์ความรู้ (body of knowledge) ที่เป็นความจริง น่าเชื่อถือ เป็นมาตรฐานสากลนั้นจะต้องเกิดจากประสบการณ์ที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ หู ตา จมูก ลิ้น และ กายเท่านั้น
และองค์ความรู้เหล่านั้นจะต้องมีความเป็นเหตุผล (Rationality) ตามหลักตรรกวิทยานิรนัย (deductive) หรือหลักตรรกวิทยาอุปนัย (inductive) หรือจากตรรกวิทยาทั้ง 2 ระบบรวมกัน
แนวคิดแบบวิทยาศาสตร์เก่ามีความแตกต่างไปจากแนวคิดของปรัชญา กล่าวคือ นักปรัชญาจะใช้วิธีคิดโดยระบบเหตุผลอย่างเดียว จะไม่ไปทดลอง หรือไปหาประสบการณ์ใดๆ แต่จะคิดพิจารณาจากข้อมูลที่ได้มาเท่านั้น
ส่วนวิทยาศาสตร์เก่านอกจากจะใช้ระบบเหตุผลแล้ว ความรู้ที่เป็นความจริงจะต้องเกิดจากประสบการณ์ด้วย ซึ่ง อาจจะเป็นการทดลอง สังเกต สัมภาษณ์ ฯลฯ เป็นต้น
ความเป็นมาของแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์เก่าข้างต้นมีความเป็นมาดังนี้....
วิชาการทั้งหลายในโลกตะวันตกต่างก็แยกออกมาจากปรัชญาตะวันตกทั้งสิ้น
ก่อนหน้าที่จะมีวิชาการแยกออกเป็นสาขาต่างๆ นั้น มีการศึกษาเฉพาะปรัชญาอย่างเดียว
เมื่อมีการศึกษาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเจาะลึกมากยิ่งขึ้น และมีผู้มีความเชี่ยวชาญในเฉพาะสาขามากขึ้น
มีการเขียนหนังสือเพื่อความรู้ชัดแจ้ง (Explicit knowledge) มากขึ้น
ก็แยกออกมาตั้งเป็นสาขาวิชาของตนเอง เช่นวิชานิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา เป็นต้น
ในทางทฤษฎีความรู้/ญาณวิทยา (Epistemology) มีนักปรัชญาแยกออกเป็น 2 กลุ่ม ตามความเชื่อในวิธีการหาความรู้คือ
[1].. เหตุผลนิยม (rationalism)
[2].. ประสบการณ์นิยม (empiricism)
พวกเหตุผลนิยมเชื่อว่า ความรู้ที่เป็นความจริงจะได้จากกระบวนการคิดด้วยเหตุผล (reason)
พวกประสบการณ์นิยมเชื่อว่า ความรู้ที่เป็นความจริงจะได้จากประสบการณ์นิยม
ทั้ง 2 กลุ่มก็ยังถกเถียงกันมาถึงปัจจุบัน
แนวคิดแบบวิทยาศาสตร์เก่าได้นำเอาทั้งเหตุผลและประสบการณ์มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
จึงเกิดเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method)
ที่สามารถประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์ที่สร้างความสะดวกสบายให้กับมนุษย์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อย่างไรก็ดี วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) ก็ไม่ใช่ว่า จะไม่มีข้อบกพร่องเสียเลย
เป็นต้นว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ไม่ศึกษาหรือเกี่ยวข้องกับจริยธรรม
หรือเวลาจะศึกษาสิ่งใดก็ศึกษาแบบแคบๆ โลกจึงมีมลพิษเต็มไปหมด
หรือนักวิชาการเชื่อกันผิดๆ ว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการเดียวที่จะหาความจริงได้
ซึ่งจะได้กล่าวถึงในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
แนวคิดแบบวิทยาศาสตร์เก่าซึ่งเข้ามาในประเทศไทยพร้อมๆ สนธิสัญญาบาวริ่ง (Bowring treaty)
ประมาณปี พ.ศ. 2398 ได้ส่งผลกระทบต่อความเห็น/ความเชื่อของพุทธวิชาการในประเทศไทยเป็นอย่างมาก
เกิดการตีความ (interpret) พระไตรปิฎกแบบใหม่อย่างหลากหลาย ซึ่งทำให้เกิดผลเสียต่อองค์ความรู้ของพุทธเถรวาทเป็นอย่างยิ่ง
เช่น พุทธวิชาการเชื่อว่า มนุษย์เกิดมาเพียงชาติเดียว นรก สวรรค์ พรหม อรูปพรหมไม่มี เป็นต้น
มีการตีความนิพพานแบบใหม่ ซึ่งหมายถึงว่า นิพพานไม่มีตัวตน หรือสูญไปเลย เป็นต้น
เนื่องจากพุทธวิชาการมีโอกาสที่จะคิดค้นและตีพิมพ์ความเห็น/ความเชื่อของกลุ่มตนได้มากกว่าพุทธปฏิบัติธรรมและพุทธทั่วไป
ในวงวิชาการหรือแวดวงการศึกษาจึงดูเหมือนว่า กลุ่มความคิดของพุทธวิชาการจึงเป็นแนวคิดกระแสหลักของพุทธเถรวาทในประเทศไทยไปโดยปริยาย
แนวคิดของพุทธวิชาการจึงได้เบียดบัง กดทับทำให้มีความเห็น/ความเชื่อว่า แนวคิดของพุทธเถรวาทแบบเดิมซึ่งถูกต้องอยู่แล้วว่า ไม่จริง เป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง ไม่ทันสมัย
[เนื่องจากในยุคที่วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนได้รับความนิยมนั้น นักวิชาการกำหนดเรียกชื่อยุคนั้นว่า ยุคสมัยใหม่ (Modern) ปัจจุบันนี้ นักวิชาการกำหนดยุคว่า ยุคหลังสมัยใหม่ (Post Modern)]
ผลของการเผยแพร่ความเห็น/ความเชื่อของพุทธวิชาการดังกล่าว จึงทำให้พุทธวิชาการไม่เชื่อว่า นรก-สวรรค์มีจริงๆ เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาหรือเป็นเรื่องมายา (myth) เพื่อต้องการให้คนทำความดีเท่านั้น
เขียนโดย ดร. มนัส โกมลฑา Ph.D. (สหวิทยาการ)
Line ID : manas4299
โทรศัพท์ : 083-4616989
โฆษณา