Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บทความเพื่อชีวิต
•
ติดตาม
26 มิ.ย. 2021 เวลา 12:00 • ท่องเที่ยว
บันทึกการเดินทาง
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
‘เขาใหญ่’ ใช่แค่เพียงชื่อเรียกสถานที่ หากแต่เป็นความรู้สึกที่มีต่อธรรมชาติตรงหน้า เมื่อได้นำตัวเองไปอยู่ในดินแดนที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ ทำให้รู้สึกว่าตัวเรานั้นเล็กจ้อยเพียงใด สรรพสิ่งกำลังดำเนินไปตามธรรมชาติ วัฏจักรกำลังหมุนวนไป ส่งผลเชื่อมโยงต่อทุกสรรพชีวิตบนโลกใบนี้อย่างแยกขาดจากกันมิได้ และเราก็เป็นเพียงแค่ชีวิตเล็กๆ ที่ไม่ควรไปก่อกวนขัดขวางวัฏจักรนั้น จงอ่อนน้อมและเจียมตัวเจียมตนไว้เสมอว่า
“เขาใหญ่ เราเล็ก”
สองร้อยเจ็ดสิบกว่ากิโลเมตรกับเวลาเดินทางราวๆ ห้าชั่วโมง ถือว่าไม่ไกลและไม่นานเกินไปที่จะนำพาความกระสันอยากเสพธรรมชาติของพวกเราทั้งสี่คน ดั้นด้นเดินทางจากจังหวัดกาญจนบุรี มายืนอยู่ ณ ประตูทางเข้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา สถานที่ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นมรดกของโลกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยของเรา
ทันทีที่เท้าประกบลงบนพื้นธรณีแห่งนี้ น้ำเสียงใสกังวาลของนกน้อยเจ้าถิ่นก็ดังขึ้นร้องทักทาย ไพเราะจนดึงให้หัวของผมต้องเงยขึ้นมองหาต้นตอของเสียงนี้ แต่ก็พบเจอเพียงยอดไม้เท่านั้น น้ำเสียงนั้นเสนาะหูกว่านกแถวบ้านเป็นไหนๆ นำพาให้จิตใจของผู้มาเยือนอย่างผมให้แช่มชื่นขึ้นทันทีที่ได้ยิน
สองข้างทางระหว่างขับรถจากประตูอุทยานเข้าไปนั้นถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ แม้ว่าบรรยากาศจะดูชุ่มชื้นเขียวขจีเพียงใดแต่พระอาทิตย์ก็ไม่อนุญาตให้บรรยากาศดีไปกว่านี้ แสงจ้าสาดส่องลงมาอย่างไม่ปราณี ทำให้รู้สึกว่าเสื้อคลุมที่ใส่มาเพื่อกันความหนาวเย็นจะไม่จำเป็นในเวลานี้
หลุดจากเส้นทางที่ทึบทึมไปด้วยต้นไม้ ก็เจอกับทิวทัศน์ที่โปร่งสบายตาไปด้วยทุ่งโล่งสลับกับเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า ดึงดูดให้คณะเดินทางของพวกเราต้องหยุดรถออกมาสูดดมกลิ่นของธรรมชาติ และชื่นชมทัศนียภาพกันอย่างเต็มตาแบบไร้กรอบของกระจกรถมาบดบัง ดูเหมือนว่าตรงที่เราจอดรถจะเป็นจุดเริ่มเดินไปยังเส้นทางศึกษาธรรมชาติหอดูสัตว์หนองผักชีด้วย บรรยากาศเริ่มดีขึ้นเนื่องจากสายลมได้พัดความชุ่มชื้นของป่ามาคลายความอบอ้าวจากแสงแดด จึงทำให้พวกเราอดรนทนไม่ไหวที่จะนำพาขาทั้งสี่คู่นี้เดินทอดน่องสอดส่องธรรมชาติ ตามประสานักเดินทางต่างถิ่นที่มาเยี่ยมเยือน
ไม่มีต้นไม้สูงใหญ่มากำบังแสงจากดวงอาทิตย์ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะสายลมยังคงทำหน้าที่ให้ความเย็นสบายอยู่ เดินดุ่มสอดส่องสายตามองดูสองข้างทางไปเรื่อย หามุมบันทึกภาพเก็บไว้ในกล้องบ้าง ไว้ในความทรงจำบ้าง หูก็แว่วได้ยินเสียงร้องของชะนีดังก้องออกมาจากป่าที่เชื่อมต่อกับทุ่งโล่งแห่งนี้อยู่เนืองๆ
เดินเรื่อยมาเรื่อยไปจนเห็นหอดูสัตว์ที่ตั้งเด่นตระหง่านตามาแต่ไกลและไม่รีรอที่จะขึ้นไป มุมมองที่ได้เห็นทัศนียภาพที่กว้างขวางบนหอดูสัตว์นี้ทำเอาอดคิดไม่ได้ว่า ตอนกลางคืนถ้าได้มาแอบส่องสัตว์ในสถานที่นี้คงได้พบเห็นเหล่าสิงสาราสัตว์มากมายหลายชนิดเป็นแน่ เพราะมีดินโป่งที่เป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่าอยู่ในบริเวณใกล้ๆ นี้ แต่ว่าในค่ำคืนที่สงัดแบบนั้นนอกจากจะพบเจอกับสิ่งมีชีวิตแล้ว ก็อาจจะเจอสิ่งไม่มีชีวิตแถมมาด้วยก็ได้ ไม่น่าจะใช่ความคิดที่ดีเท่าไร
..
เวลาไม่ปล่อยให้เราเอื่อยเฉื่อยบนนี้กันได้นานนัก เพราะยังมีที่ๆ น่าสนใจรออยู่อีกมาก เดินดุ่มกันต่อไป
ยิ่งระยะทางไกลมากขึ้น พลังงานจากร่างกายที่ใช้ไปก็เริ่มร่อยหรอลง น้ำเต้าหู้ปลาท่องโก๋ที่ยัดลงท้องไปเมื่อตอนเช้ามืดคงแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไปจนหมดแล้ว กระเพาะจึงปล่อยน้ำย่อยออกมาเตือนว่า “ถ้ามึงไม่รีบหาอะไรใส่ท้องมึงตอนนี้ กูจะย่อยกระเพาะมึงแล้วนะ” ไม่ใช่แค่ผมที่รู้สึก เราทั้งสี่คนต่างก็รู้สึกเช่นเดียวกัน จึงตกลงปลงใจหันหลังกลับกันดีกว่า ทิ้งความฉงนในเส้นทางข้างหน้าไว้เพียงเท่านี้
พวกเราหอบร่างกายที่หิวโซขึ้นรถแล้วบึ่งไปที่ทำการของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ทันทีที่รถจอดก็รีบปรี่เข้าไปที่ศูนย์อาหาร แกงมัสมั่นกับน่องไก่ทอดราดข้าวช่วยให้กระเพาะของผมไม่โดนย่อยไปเสียก่อน เมื่อท้องเริ่มอิ่มร่างกายที่สิ้นแรงคะนองไปก็ฟื้นคืน เริ่มตระเตรียมเสบียงแล้วหาสถานที่ละลายแคลลอรี่ออกดีกว่า
สำหรับ‘สายเดินป่า’ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่แห่งนี้มีสถานที่ให้เดินศึกษาธรรมชาติให้เลือกหลากหลายเส้นทาง อีกทั้งยังมีน้ำตกและจุดชมวิวไว้ต้อนรับ‘สายชิล’ อีกด้วย เหมาะสำหรับนักเดินทางทั้งมือใหม่และมือเก่า ส่วนพวกเราเลือกเดินไปในเส้นทางชมน้ำตกกองแก้วที่อยู่ใกล้กับที่ทำการอุทยานเพื่อย่อยอาหารที่เพิ่งกินเข้าไป และก่อนที่เวลาจะไหลเลื่อนไปมากกว่านี้คงได้เวลามานั่งคิดอย่างจริงจังกันสักทีว่าจะหาที่ซุกหัวนอนในคืนนี้กันตรงไหนที่มันดีกว่าการนอนในรถ จนมาได้คำตอบจากเจ้าหน้าที่ว่าบ้านพักหลังราคาย่อมเยาว์มีว่างสำหรับพวกเราสี่คนแล้ว นับว่าโชคดีของกระดูกสันหลังที่ไม่ต้องตั้งฉากกับพื้นโลกขณะหลับไหลในคืนนี้
ป้ายเหมารถเพื่อนั่งไปชมสัตว์ป่ายามค่ำคืนที่ตั้งอยู่ในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวดึงดูดใจให้พวกเราทั้งสี่คนต้องควักสตางค์เพิ่ม เพื่อเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ยังไม่เคยทำที่ไหนมาก่อน ขึ้นชื่อว่าเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์อันดับต้นๆ ของประเทศไทยแบบนี้ จะอดใจยังไงไหว ต้องพิสูจน์ซักหน่อย
เมื่อคลายความกังวลของค่ำคืนนี้ไปได้ก็หาที่หย่อนใจต่อ น้ำตกเหวสุวัตคือหมุดหมายที่เราเลือกไปต่อ นั่งพักชื่นชมความงามของน้ำตกท่ามกลางมวลชนที่หนาแน่นได้ครู่นึง ก็เริ่มอยากปลีกวิเวกออกมาหาธรรมชาติ เราจึงออกเดินในเส้นทางศึกษาธรรมชาติของน้ำตกผากล้วยไม้ซึ่งอยู่ติดๆ กัน เส้นทางนี้ห่างไกลจากผู้คนแต่ใกล้ชิดกับจระเข้ แม้ไม่ได้เห็นตัวเป็นๆ แต่ป้ายที่เตือนตลอดเส้นทางก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเราระแวงขา เราเดินบนเส้นทางนี้กันมาสักพักใหญ่ๆ ลึกเข้าไปก็ยังไร้วี่แววทางออก เส้นทางก็ยิ่งรกชัฏขึ้นเรื่อย แต่ดูเหมือนเส้นทางนี้จะขนานไปกับถนนเพราะได้ยินเสียงของเครื่องยนต์ผ่านไปผ่านมาอยู่ตลอดเวลา จึงลองหาเส้นทางที่มันสบายใจกว่าการเดินล่อให้จระเข้มางับขา พวกเราจึงเดินไต่เนินข้างๆ ขึ้นไปจนพบว่าข้อสันนิษฐานของเราเป็นจริง ขาทั้งสองข้างได้รับความปลอดภัยแล้ว
เวลาล่วงเลยไปจนตะวันเริ่มชิงพลบ พวกเราจึงพากันกลับที่พักเพื่อเตรียมตัวไปดูสัตว์ในค่ำคืนนี้
..
“สวัสดีครับ เรียกผมว่าลุงชัยวัฒน์ก็ได้” คือคำทักทายจากลุงเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบพาพวกเราไปดูสัตว์และให้ความรู้กับพวกเราในค่ำคืนนี้ ลุงแกบอกว่าเขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปีสองพันห้าร้อยสี่สิบ ซึ่งเท่ากับขวบปีที่ผมออกมาจากท้องแม่พอดี ด้วยความที่เจนประสบการณ์ในการให้ความรู้นักท่องเที่ยวมานาน ทำให้คำพูดที่ฉะฉานของแกน่าฟัง น่าถามไถ่ และด้วยความสงสัยใคร่รู้ในเรื่องของสัตว์ป่าและธรรมชาติของผมจึงทำให้เราคุยกันอย่างถูกคอตลอดเส้นทาง
สายตาเหลือบมองสองข้างทางอย่างฉับไว มือก็สาดไฟฉายส่องหาสัตว์ ปากก็พูดคุยกับผมไปตลอด สลับกับชี้ให้ดูสัตว์ป่าที่ออกมาหากินในยามค่ำคืน ระหว่างสองข้างทางถนนเราพบเห็น กวาง เม่น ชะมดเช็ด และหมาจิ้งจอก แม้ว่าในใจผมจะภาวนาให้เห็นช้างกับกระทิงบ้างแต่ก็ดูเหมือนจะไร้วี่แววที่สัตว์ทั้งสองจะปรากฎกายออกมา แต่ที่น่าประหลาดใจคือสัตว์ป่าที่นี่อยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ได้ขนาดนี้เลยหรอ ขนาดรถไปจอดส่องไฟอยู่ใกล้ๆ แต่เจ้ากวางน้อยก็ยังแทะเล็มหญ้าอย่างน่าตาเฉย
ลุงชัยวัฒน์แกบอกให้ลองสังเกตดูหมาจิ้งจอกดีๆ เพราะมันจะว่องไวมาก เมื่อเข้าใกล้และส่องไฟไปหา มันก็กระโจนเข้าพงหญ้าไปอย่างเร็วพลัน แกบอกว่าสัญชาตญานของพวกสัตว์นักล่าจะไม่ค่อยอยู่นิ่งกับที่ต่างจากพวกสัตว์กินพืช และสมญานามว่า “จิ้งจอกเจ้าเล่ห์” ก็มีที่มาจากพฤติกรรมการล่าของมัน เพราะมันจะทำตัวสนิทสนมกับเหยื่อก่อน เล่นกับเหยื่อจนตายใจ เมื่อได้จังหวะก็เผด็จศึกทันที
ผมคาใจกับคำพูดของครูฝึกสมัยตอนที่เรียนรด.แกเล่าประสบการณ์การเจอช้างป่ามาแล้วมันน่ากลัวจนฝังใจ จนทำแกหลอนทุกครั้งที่พบเจอช้างแม้บนท้องถนนก็ตาม แกถึงกับบอกว่า “ช้างน่ากลัวกว่าเสืออีก” ผมจึงเอ่ยถามลุงชัยวัฒน์ไปว่าจริงไหม แกตอบว่ามันน่ากลัวคนละแบบ เสือเปรียบเสมือนผู้มีอิทธิพลในป่า เพียงแค่ได้กลิ่นสาบเสือก็ไม่มีสัตว์ตัวไหนกล้าเข้าใกล้แล้ว ส่วนช้างมันน่ากลัวเพราะตัวมันใหญ่และวิ่งเร็ว ชนแหลก เนื่องจากช้างเป็นสัตว์ที่สายตาสั้นมันจะใช้งวงแตะลงพื้นเพื่อตรวจจับแรงสั่นสะเทือนหาตำแหน่งของศัตรู ผมจึงถามต่อว่า “เมื่อเจอช้างป่าเราจะเอาตัวรอดยังไง” ลุงแกบอกว่าต้องวิ่งเฉียงสลับฟันปลาแต่ระยะทางของฟันปลาต้องกว้างกว่าปกติมาก เพราะช้างมันจะวิ่งตรง ๆ เมื่อมันเริ่มตามเราทันก็ให้วิ่งเฉียงสลับไปอีกทาง
ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับสัตว์ป่าอีกมากมายที่หล่นออกมาจากปากของลุงชัยวัฒน์ มากเกินกว่าที่สมองอันเล็กกระจิดริดของผมจะบรรจุมาหมด เพราะธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะรอบรู้ได้หมดทุกเรื่อง ค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยไป
การได้เห็นสัตว์ป่าอาจไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับผม เพราะผมเคยได้ดูได้ชมสัตว์ป่าพวกนี้มาบ้างแล้วในสวนสัตว์หลายที่ แต่ความรู้สึกที่มีต่อประสบการณ์ครั้งนี้กลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง อาจเพราะได้มาเห็นวิถีชีวิตที่อิสระเสรีของเหล่าสรรพสัตว์ที่ไร้กรอบกรงมากักขังอย่างใกล้ชิด ได้มาเห็นสภาพแวดล้อมที่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ ผมรู้สึกว่ามันงดงามตามธรรมชาติอย่างแท้จริง ผมคิดว่านี่แหละคือที่ที่พวกเขาควรอยู่จริงๆ ส่วนมนุษย์อย่างเราๆ ก็แค่ทำตัวเป็นผู้สำรวจอย่างเงียบๆ ก็เพียงพอแล้ว และถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นสัตว์หลากหลายชนิดอย่างที่คิดไว้ แต่นี่ก็เพียงพอที่ทำให้ความรู้สึกดีของผมโดดเด้งขึ้นมาก จากการที่ได้มาเยือนในผืนป่าตะวันออกแห่งนี้
..
“ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่” แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติเป็นลำดับที่ 2 ของประเทศไทย รองลงมาจาก “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง” ผืนป่าแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณทิวเขาพนมดงรัก ซึ่งทอดตัวอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัดคือ นครราชสีมา สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ ประกอบไปด้วย 4 อุทยานแห่งชาติและ 1 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า คือ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติทับลาน อุทยานแห่งชาติปางสีดา อุทยานแห่งชาติตาพระยา และ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ ก่อนเคยเป็นป่าผืนเดียวกันทั้งหมดก่อนจะมีการสร้างถนนตัดผ่านในภายหลัง
“ทำไมที่นี่ถึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกละครับ” ผมถามด้วยความฉงนสงสัย ลุงแกตอบว่าป่าที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ มีทั้งป่าเบญจพรรณ ป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ก็หลากหลาย มีวัวแดงที่ถือเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของป่าอาศัยอยู่ นอกจากนั้นยังเคยมีกูปรีอาศัยอยู่ด้วย แกเล่าให้ฟังว่าเพราะเหตุการณ์การสู้รบในยุคคอมมิวนิสต์จึงทำให้กูปรีพวกนี้อพยพหนีไปทางกัมพูชาออกไปสู่ผืนป่าของประเทศเวียดนาม
“เมื่อก่อนเคยมีสนามกอล์ฟกับโรงแรมอยู่ในพื้นที่อุทยาน” ลุงแกเล่าต่อ “ เขาเคยมาสำรวจอยู่ครั้งนึงแล้วบอกว่ามรดกโลกจะมีสนามกอล์ฟ มีโรงแรมในนี้ไม่ได้ เขาจึงไม่ขึ้นทะเบียนให้จนกว่าจะเอาพวกนี้ออกไป ทุ่งใหญ่นเรศวรจึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปก่อน”
เสน่ห์อย่างหนึ่งในการได้พูดคุยกับผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานนั่นคือ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์จากปากคำของลุงแกนี่แหละ ส่วนจะจริงแท้แค่ไหนก็คงต้องไปสืบค้นกันต่อเอาเอง แต่ในห้วงเวลานั้นผมเพลิดเพลินกับเรื่องราวพวกนี้อยู่มากโข
ลุงชัยวัฒน์แกบอกผมว่า “ต้นไม้ที่เราตัดมาใช้งานกันทุกวันนี้ ต่อให้เราเริ่มปลูกทดแทนตั้งแต่ตอนนี้จนเราตายไป มันก็ยังใช้การไม่ได้เลย” น่าใจหายเหมือนกันที่ต้นไม้ต้นหนึ่งกว่าจะเติบโตมาได้จนลำต้นสูงใหญ่ เขาต้องใช้เวลาดูดซึมแร่ธาตุ สังเคราะห์แสง ผลัดใบทิ้ง แตกยอดอ่อนขึ้นมาใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตั้งกี่ฤดูกาล แต่มนุษย์กลับใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการตัดโค่นไป คิดแล้วก็เป็นกังวลในใจ
ผมพูดคุยอย่างเพลิดเพลินไปกับลุงแกตลอดเส้นทางกว่าสิบกิโลเมตร ซึ่งกินเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง แต่เป็นหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านไปไวมาก ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ผมสงสัย แต่ดูเหมือนกฎของเวลาจะไม่สนใจความประสงค์ของผู้ใด มันดำเนินไปอย่างเที่ยงตรง ไม่สามารถถ่างออกหรือย่นลงได้ หมดช่วงเวลาแห่งความอยากรู้อยากเห็นแล้วสินะ หลังจากลงจากรถมาเพื่อนผมบ่นว่า “หลังๆ ลุงเขาไม่ค่อยส่องสัตว์ให้ดูเลย มัวแต่คุยกับมึงอย่างเดียว”
สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจในการเดินทางครั้งนี้หาใช่ทิวทัศน์ที่สุดลูกหูลูกตา น้ำตกที่สูงใหญ่ หรืออากาศที่เย็นสบาย แต่เป็นการได้เฝ้ามอง เฝ้าสังเกต ธรรมชาติรอบกาย ไม่เพียงแค่ต้นไม้ใบหญ้าแต่รวมไปถึงสรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่แอบอิงอาศัยอยู่ในผืนป่าแห่งนี้อย่างกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเราเริ่มสนใจสังเกตสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในธรรมชาติมากขึ้น การเดินทางของเราก็จะมีแต่เรื่องให้น่าสนใจเต็มไปหมด และเราจะสัมผัสได้ถึงความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ได้อย่างง่ายดายขึ้นอีกด้วย
..
“นี่คือฉัน นั่นคือโลก”
มนุษย์มักแบ่งแยกตัวเองออกจากธรรมชาติ จึงไม่แปลกที่จะทำให้รู้สึกแปลกหน้าต่อกัน และเมื่อใดก็ตามที่รู้สึกแปลกหน้าต่อกัน ก็ไร้ซึ่งความใส่ใจ ไร้ซึ่งความผูกพันธ์ ไร้ซึ่งการสำนึกรู้คุณ ธรรมชาติจึงตกเป็นผู้ถูกกระทำอยู่บ่อยครั้ง ในความเป็นจริงนั้น‘ธรรมชาติดำรงอยู่ได้หากไร้มนุษย์ แต่มนุษย์จะดำรงอยู่ได้อย่างไรหากไร้ธรรมชาติ’
ในหนังสือวรรณกรรมเรื่อง “สิทธารถะ” มีฉากหนึ่งที่ผมประทับใจอย่างมาก เป็นฉากที่สิทธารถะตัวละครเอกได้หยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วบอกกับโควินทะเพื่อนรักของเขาว่า
“ นี่คือก้อนหิน เมื่อกาลเวลาผ่านไปมันจะกลายเป็นดิน และจากดินมันจะกลายเป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ หรืออาจจะเป็นมนุษย์ เมื่อก่อนนี้ผมอาจจะพูดว่าหินก็คือหิน ไม่มีคุณค่าอะไร มันอยู่ในโลกของมายา แต่บางทีในกฎของการเปลี่ยนแปลง มันอาจกลายเป็นมนุษย์และเป็นวิญญาณ ”
หากเรามองหินในกรอบของช่วงเวลาหนึ่ง เราก็จะมองเห็นว่ามันเป็นเพียงหิน ไม่มีคุณค่าอะไร แต่หากเรามองหินในสภาวะที่ไร้กาลเวลา เราจะเข้าใจว่าหินมันไม่ได้เป็นเพียงหิน แต่มันเชื่อมโยงกับทุกสิ่ง เมื่อกาลเวลาผ่านไปหินจะย่อยสลายกลายเป็นดิน เป็นแร่ธาตุต่างๆ อาจจะก่อให้เกิดต้นไม้นาๆ พันธ์ุ พืชผักนาๆ ชนิด ให้สัตว์ ให้มนุษย์อย่างเราๆ ได้หล่อเลี้ยงชีวิต และเมื่อชีวิตเหล่านั้นสูญสิ้นลง ก็ย่อยสลายกลับกลายไปเป็นดิน เป็นหิน คืนกลับสู่ธรรมชาติอีกครั้ง ฉะนั้นหินจึงมิใช่แค่เพียงหินอีกต่อไป มันคือส่วนหนึ่งของทุกสรรพชีวิตบนโลก และมันก็เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง
เรามักเข้าใจผิดคิดว่าตัวเรานั้นสิ้นสุดแค่ผิวหนัง แต่แท้จริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น ตัวเราใช่สิ้นสุดแค่เพียงผิวหนัง หากแต่รวมถึงทุกสรรพสิ่งรอบตัว อากาศที่สูดเข้าไป แสงแดดที่สาดส่องมากระทบกาย น้ำที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่าง พืชผักและเนื้อสัตว์ที่หล่อเลี้ยงให้เราเติบโต หรือหากจะมองให้ลึกซึ้งกว่านั้น อะตอมที่เคยอยู่ในดินอาจกลายมาเป็นส่วนหนึ่งกับร่างกายเรา สายน้ำที่ละลายมาจากเทือกเขาหิมาลัยอาจไหลเวียนปะปนอยู่กับโลหิตของเราตอนนี้ ลมหายใจออกของเราอาจพัดพาเกสรดอกไม้ปลิวไปตกลงบนดินแดนอันไกลโพ้นแล้วรอวันผลิบาน
ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนสถานะจากสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งหนึ่งอยู่ตลอดเวลา และจะเป็นเช่นนี้ตราบชั่วนิจนิรันดร์
“ ผมไม่ได้เคารพและรักหินเพราะมันเป็นสิ่งหนึ่งและจะกลายเป็นอีกสิ่งหนึ่ง แต่ผมรักมันเพราะมันเป็นทุกสิ่งมานานแล้ว และเป็นทุกสิ่งอยู่ตลอดไป ” สิทธารถะกล่าว
..
3 บันทึก
1
3
3
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย