ราว 532-516 ปีก่อนคริสตกาล ณ เมืองครอตันซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรกรีกโบราณ (ปัจจุบันเมืองนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี) มีชายคนหนึ่งนามว่าไมโล มุ่งมั่นฝึกซ้อมร่างกายให้แข็งแกร่งเพื่อลงแข่งมวยปล้ำ กีฬาโบราณที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคสมัยนั้น
มีบันทึกว่าในวัยเด็ก ไมโลเป็นคนตัวเล็กจนถูกเพื่อนหัวเราะเยาะ แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ มุมานะฝึกซ้อม หาทางพัฒนาร่างกายให้แข็งแรงใหญ่โต ไมโลพยายามฝึกฝนด้วยวีธีการต่างๆ มากมาย หนึ่งในวิธีที่เขาเลือกใช้ในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายคือการแบกของหนัก
สิ่งที่เขาแบกไม่ใช่ข้าวของธรรมดา หากแต่เป็นลูกวัวที่มีชีวิต
ในแต่ละวันไมโลมักจะอุ้มลูกวัวและยกขึ้นเหนือศีรษะ วางพาดบ่า แล้วออกเดินไปรอบๆ หมู่บ้าน ไมโลทำแบบนี้เป็นประจำตลอดระยะเวลา 4 ปี วันเดือนเคลื่อนผ่าน ลูกวัวเติบใหญ่ จากลูกวัวแรกเกิดที่มีน้ำหนัก 13-15 กิโลกรัม กลายเป็นวัวตัวโตน้ำหนักร่วม 600 กิโลกรัม ระหว่างนั้นร่างกายของไมโลก็ค่อยๆ มีพัฒนาการใหญ่โตแข็งแรงขึ้นตามน้ำหนักวัวที่เขาค่อยๆ แบกเพิ่มขึ้นทีละน้อย
ไมโลไม่ได้ยกลูกวัวแรกเกิดแล้วเปลี่ยนมายกแม่วัวตัวใหญ่ในทันที แต่เลือกเพิ่มความทนทรหดแก่ร่างกายทีละน้อยอย่างใจเย็น ไม่หักโหม ไม่ผลีผลาม เขาเลือกทำเป็นประจำสม่ำเสมอ สะสมความเข้มข้นของการฝึกซ้อมตามน้ำหนักวัวที่เพิ่มขึ้น
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าในการยกตัววัวตัวใหญ่ๆ ถึงแม้ต่อให้เป็นคนร่างการสูงใหญ่กำยำ หรือแชมเปี้ยนมวยปล้ำก็อาจไม่สามารถทำได้สำเร็จในทันที แต่ที่ไมโลทำสำเร็จเพราะเขาฝึกยกวัวตัวนี้ทุกวัน น้ำหนักของวัวที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวันได้สร้างพละกำลังให้แก่ไมโลอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนในที่สุดร่างกายของชายคนนี้ก็เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อที่คุ้นชินกับน้ำหนักวัว
มีบันทึกว่านอกเหนือจากการแบกลูกวัว ไมโลยังให้ความสำคัญกับการกินอาหารโดยเฉพาะเนื้อสัตว์และขนมปัง หลังแบกวัวและกินอาหารแล้วเขาจะมุ่งมั่นกับการฝึกมวยปล้ำ
ในที่สุดความฝันของเขาก็เป็นจริง ไมโลได้เป็นนักมวยปล้ำสมใจ และก้าวไปเป็นแชมป์มวยปล้ำในยุคโอลิมปิกโบราณถึง 6 สมัยซ้อน ชนะเลิศการแข่งขันมวยปล้ำอื่นๆ อีกหลายรายการ ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักมวยปล้ำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในยุคโบราณ ชื่อของนาย “ไมโลแห่งครอตัน” (Milo of Croton) ยังได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ในฐานะพลทหารคนสำคัญของกองทัพกรีก วีรกรรมการนำทัพชนะสงครามที่ข้าศึกมีจำนวนไพร่พลมากกว่า ถึงขนาดทำให้ไมโลถูกนำไปเปรียบเทียบกับตำนานกรีกโบราณอย่างเฮอร์คิวลีส แต่เรื่องราวของไมโลที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงมากที่สุดมาจนถึงทุกวันนี้คือเทคนิคการฝึกซ้อมเพื่อเคี่ยวกรำตัวเองที่ไม่เหมือนใคร
การสะสมเพิ่มความเข้มข้นหรือเพิ่มน้ำหนักที่แบกขึ้นทีละน้อยของไมโลสอดคล้องกับการทำ Progressive Training หรือ “ทฤษฎีการเพิ่มความหนักในการฝึก” (the principle of progressive overload) ในแวดวงกีฬายุคปัจจุบัน เทคนิคการฝึกซ้อมของไมโลถูกเรียกว่า “ทฤษฎีไมโล” (Milo’s principle) ที่นักกีฬาหลายคนนำมาประยุกต์ใช้
ทุกวันนี้วงการกีฬาสมัยใหม่ยังคงฝึกความแข็งแกร่งเพิ่มศักยภาพให้แก่นักกีฬาตามทฤษฎีไมโล เรื่องเล่าในตำนานประหนึ่งนิทานพื้นบ้านอายุยาวนานหลายพันปี ไม่มีนักวิทยาศาสตร์การกีฬาคัดค้าน ไม่เว้นกระทั่งในหลักสูตรผู้พิชิตมาราธอน
สิ่งสำคัญที่ทฤษฎีไมโลบอก หัวใจสำคัญของการฝึกฝนคือความมีวินัย สิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาตนเองคือความต่อเนื่องในการฝึกซ้อม เหมือนดั่งที่ไมโลแห่งครอตันได้แสดงให้เห็นเป็นแบบอย่างไว้เมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว