ความผูกพันระหว่างหลวงปู่แหวนกับหลวงพ่อหนู
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ กับ หลวงพ่อหนู สุจิตฺโต ท่านมีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง เกินกว่าที่พวกเราคนธรรมดาจะเข้าใจได้ เพียงแต่ว่า หลวงพ่อหนูไปรับเอาหลวงปู่แหวน มาปรนนิบัติดูแลที่วัดดอยแม่ปั๋ง เมื่อขณะที่หลวงปู่แหวนป่วยอยู่นั้น เพียงแค่นั้น ไม่น่าเป็นสาเหตุที่ผูกพันกันลึกซึ้งมากมายนักเลย
ว่ากันว่า เวลาที่หลวงปู่แหวน ท่านอาพาธ ถ้าหากหลวงพ่อหนูไม่อยู่ หลวงปู่แหวน จะไม่ยอมฉันยาเอาเลยทีเดียว และตั้งแต่หลวงปู่ มาอยู่วัดดอยแม่ปั๋งแล้ว ท่านตั้งปณิธานว่า จะไม่ไปไหน อีกเลย แม้มีกิจนิมนต์ก็ไม่รับ แม้เจ็บป่วยก็ไม่ยอมไปรักษานอกวัด หมายความว่า ท่านจะอยู่ และมรณภาพที่วัดดอยแม่ปั๋งที่เดียว
เหตุการณ์ที่แสดงถึงความผูกพันระหว่างหลวงปู่แหวน กับหลวงพ่อหนูมีมากมาย
เมื่อครั้ง หลวงปู่แหวนท่านล้มในห้องน้ำ ต้องเข้ารับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล หลวงพ่อหนูจะต้องไปนอนค้างเฝ้าหลวงปู่ มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อหนู ต้องไปรับผ้าป่าและไปค้างที่วัดอื่น พอหลวงพ่อหนูกลับมาถึง ปรากฏว่า หลวงปู่ ท่านเมินหน้าหนี ไม่ยอมพูดกับหลวงพ่อหนู ยาที่จัดถวายก็ไม่ยอมฉัน หลวงพ่อหนู ต้องอธิบายอยู่นาน
อีกครั้งหนึ่ง เมื่อหลวงปู่แหวน กลับจากโรงพยาบาลไปอยู่วัด ร่างกาย หลวงปู่ยังไม่แข็งแรง ดี ยังต้องฉันยาอยู่ เป็นช่วงออกพรรษา วัดบ้านเกิด ที่ยโสธรได้นิมนต์หลวงพ่อหนู ไปรับกฐิน ท่านเห็นว่า ดีเหมือนกัน จะได้ไปเยี่ยมบ้านสัก ๕-๖ วัน
พอหลวงพ่อหนู ไปได้ ๒ วัน หลวงปู่แหวน ท่านไม่เห็นหลวงพ่อหนู จึงได้ถามหา พอรู้ว่า หลวงพ่อหนูไปโดยไม่ได้บอกท่าน (ทิ้งท่านไป) หลวงปู่ไม่ยอมพูด ไม่ฉันข้าว ไม่ฉันยา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ เสด็จมาพระราชดำเนิน ไปยังวัดดอยแม่ปั๋งในทันที ทรงเยี่ยมทอดพระเนตรอาการของหลวงปู่ ทรงป้อนยา และป้อน อาหาร ถวายหลวงปู่ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง หลวงปู่ฉันอาหารได้ ๓ คำ
ภายหลังหลวงพ่อหนู ท่านเล่าว่า ในวันที่ล้นเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินสู่วัดดอยแม่ปั๋งนั้น หลังจากเสด็จกลับแล้ว ตกกลางคืน หลวงพ่อหนู นั่งสมาธิ ภาวนาอยู่ที่ยโสธรนั้นเอง ท่านได้นิมิตเห็นพญาครุฑ บินเข้ามาในกุฏิ เป็นนิมิตที่แจ่มชัดมาก
วันรุ่งขึ้น หลวงพ่อหนู รีบจัดแจงหารถเดินทางกลับดอยแม่ปั๋งทันที ทั้งที่คิดว่า จะอยู่ยโสธร ๕-๖ วัน ท่านเดินทางไปถึงดอยแม่ปั๋ง เกือบ ๒ ยาม แล้วรีบกราบหลวงปู่แหวนบนกุฏิทันที
หลวงปู่ยังไม่จำวัด ภัตตาหารและยา ก็ไม่ยอมฉัน ทั้งวันนั่งเงียบๆ ไม่พูดกับใคร พอหลวงพ่อหนู เข้าไปหาและถามว่า ทำไมพระอาจารย์ไม่ฉันยา ไม่ฉันอาหาร หลวงปู่ท่านหัวเราะ บอกไปเอายามา จะฉันเดี๋ยวนี้และเช้าวันรุ่งขึ้น หลวงปู่ก็ฉันภัตตาหารตามปกติ
ตั้งแต่หลวงปู่ล้มในห้องน้ำคราวนั้นแล้ว ร่างกายของหลวงปู่ก็อ่อนแอ ออดๆ แอดๆ เรื่อยมา จนถึงกับมีผู้ปล่อยข่าวว่า หลวงปู่มรณภาพแล้ว แต่ท่านก็ยังอยู่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลาที่ท่านจะละ สังขารนั่นเอง
หลวงพ่อหนู ท่านเล่าว่า หลวงปู่ท่านสามารถข่มเวทนาได้ดีเป็นเลิศ ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป อย่าว่าแต่จะหกล้มจนกระดูกต้นขาหักเลย แค่ช้ำบวมก็ร้องลั่นโอดโอย กันแล้ว แต่หลวงปู่ท่านยังทรงสังขารเป็นที่พึ่งทางใจให้กับบรรดาสาธุชนเรื่อยมา จนกระทั่งครั้งสุดท้าย หลวงปู่แหวนเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่างก็พยายามกันอย่างเต็มที่
“ใครเล่าจะรดน้ำตอที่ผุกร่อนแล้ว ให้มีดอกมีใบขึ้นมาได้อีก”
พระอาจารย์ใหญ่มั่น อาจารย์ของหลวงปู่แหวน ท่านเคยพูดไว้อย่างนี้ เมื่อครั้งที่ท่านอาพาธหนักครั้งสุดท้าย ที่บ้านหนองผือ และคำพูดนี้ก็มาถึงหลวงปู่แหวน ทำให้เห็นชัดว่า คำพูดของ หลวงปู่มั่น เป็นสัจจธรรมโดยแท้ ที่ใครๆ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ก่อนหลวงปู่จะละวางสังขาร หลวงพ่อหนูท่านให้รื้อศาลาสร้างใหม่ ทั้งๆ ที่ศาลาหลังเก่า ยังอยู่ในสภาพดี ท่านบอกว่า ถ้าไม่รีบสร้างเดี๋ยวนี้ หลวงปู่ไปก่อนจะไม่ทันการ
หลวงพ่อหนูบอกว่า หลวงปู่ท่านจะไปเมื่อไรหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ศาลาหลังใหม่ต้อง สร้างเสร็จ และก็สร้างเสร็จก่อนหลวงปู่ละสังขาร
หลวงปู่แหวน บอกกับหลวงพ่อหนู ว่า เมื่อหลวงปู่มรณภาพ ให้รีบเผาท่านตามแบบของพระกรรมฐาน
หลวงปู่แหวนมรณภาพที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เวลา ๓ ทุ่ม ๕๗ นาที ของวัน อังคารที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๘ เมื่อท่านอายุได้ ๙๘ ปี ๗๘ พรรษา