27 มิ.ย. 2021 เวลา 14:06 • นิยาย เรื่องสั้น
เอิ้นขวัญ
ก่อนตะวันรอน ตอนที่ 7 : เอิ้นขวัญ
บทประพันธ์ โดย : งามดอกบัว
(ภาพจากผู้เขียน)
ณ ลานวัดหมู่บ้านดอนผักหวาน
“หมู่ชาวเมืองมา เบื้องขวานั่งซ่ายล้าย เบื้องซ้ายก็นั่งเป็นแถว"
“หนูฟ้า เอียงหัวไปด้านซ้ายด้วยลูก ดูเพื่อน ๆ” คุณครูสมัย ที่เป็นทั้งครูประจำชั้นและครูสอน ฟ้อนรำบายศรีสู่ขวัญให้กับเด็ก ๆ ที่จะไปรำงาน “เอิ้นขวัญ" ที่บ้านพ่อผู้ใหญ่ค่ำนี้ ร้องบอกให้ ม่านฟ้ารำให้อ่อนช้อยเหมือนเพื่อน ๆ
“นั่นดูเขียวเขานั่น เห็นไหมมือไม้อ่อน ตัวอ่อน” ครูสมัยแนะนำให้ดูเขียว (กรีนนี่)
“คุณครูคะหนูมีชื่อในวงการนะคะ ถ้าคุณครูจะ เมตตาเรียกหนู กรีนนี่ก็ได้ค่ะ"
กรีนนี่แนะนำชื่อตัวเองกับครูสมัยอย่างมั่นใจ
“อ้าว ! ปิดเทอมแป๊บเดียวมีชื่อในวงการแล้วรึ ?” ครูสมัยถามด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
เด็ก ๆ มองหน้ากันแล้วหัวเราคิก ๆ เมื่อนึกถึงชื่อใน วงการของตัวเองที่กรีนนี่ลงทุนตั้งให้
“อ้าว ๆ รีบมาซ้อมกันเร็วเย็นนี้จะได้รำคล่อง ๆ ซ้อมอีกสองสามรอบจะได้แยกย้ายกันไปรับผิดชอบ หน้าที่ตัวเอง" ครูสมัยกำชับเด็ก ๆ
ที่ลานหน้าบ้านพ่อผู้ใหญ่ ชาวบ้านกำลังขะมักเขม้น เตรียมอาหารคาวหวานและสถานที่จัดงานเอิ้นขวัญในช่วงค่ำ บรรดาแม่บ้านรับผิดชอบเรื่องอาหาร ส่วนเหล่าพ่อบ้านก็จัดเตรียมคบเพลิงวางเป็นแนว ขนาบสองข้างลานหน้าบ้านพ่อผู้ใหญ่
(ภาพจากผู้เขียน)
ส่วนตรงกลางปูเสื่อไว้ให้สมาชิกในหมู่บ้านได้นั่ง เพื่อประกอบพิธีเอิ้นขวัญและกินข้าวร่วมกันหลัง พิธีเสร็จ
“เชิด ๆ ทางนี้หล่า มา ๆ มาซ่อยบักเขื่อนยกเตียง ไปตั้งหน้าพิธีแน" พ่อผู้ใหญ่เรียกบ่าวเชิดที่กึ่งวิ่งกึ่ง เดินเข้ามาหาตน
“ครับ ๆ เฒ่าพ่อ เดี๋ยวจัดให้ครับ” เชิดตอบพ่อผู้ใหญ่พลางยักคิ้วให้บ่าวเขื่อน
“มึงคือช้าแท้หมอ ? คาไปเล่นสาวยุติ ?” บ่าวเขื่อนถามเพื่อนทำสีหน้ารู้ทัน
“พุสาวทางได๋อี้ก ให้เว้าแฮง ๆ สาวขาวมาได้ยิน เอากูตายแท้หล่ะ" บ่าวเชิดตอบเสียงเบากลัวว่า ขาวหรือใครจะผ่านมาได้ยิน
“โตนั่นหล่ะขี้หลีไปทั่ว ถ้าสาวขาวเคียดบ่ปากนำโต เฮาบ่ซ่อยเว้าเด้อ” บ่าวเขื่อนปรามเพื่อนเพราะ เห็นว่าบ่าวเชิด ชอบพูดหยอกเย้าสาว ๆ ไปทั่ว
“เออหน่ะ เฮาสิระวังหมอบ่มีปัญหาดอก จังได๋กะ ฮักเดียวใจเดียวกับสาวขาวพุเดียวนิหล่ะ” ขณะที่บ่าวเชิดกำลังพูดกับบ่าวเขื่อนอยู่นั้น ตาก็ เหลือบไปเห็นว่าสาวขาวกับสาวต้อยกำลังถือ เหยือกน้ำและถาดของว่างมาทางตนและเขื่อน
“แมนบ่ ? ขาวน้องหล่าคนงามของอ้าย” บ่าวเชิดรีบร้องถามสาวขาวเป็นการเพิ่มคะแนนพิศวาสให้ตัวเอง
“โอ้ย ! กูหล่ะงึดมึงอีหลีเดะหมอปากกะไวตากะไว บ่แพ้เลย ฮ่า ฮ่า" บ่าวเชิดอดที่จะขำในความกะล่อน หาตัวจับยากอย่างบ่าวเชิดไม่ได้
“อัน..แมนหยังก็อ้ายเชิด เห็นพุสาวแนบ่ได้น้อฟ้าว ฮ้องใส่กันโลด ย้านพุสาวลืมหวา ?” สาวต้อยถาม บ่าวเชิด แต่หันหน้าไปทางขาวพร้อมทำแววตา กรุ้มกริ่มหยอกเพื่อนสนิท
“โอ้ย ! เซาแนเถาะต้อย ไปถือไปซาอ้ายเชิดบ่ได้ ดอกเว้าไปทั่วทีบทั่วแดน มื้อนี้เว้านำเฮามื้อหน้า กะเว้านำพุอื่นแล้ว" สาวขาวรีบเบรกเพื่อนสาว ให้เลิกพูดหยอกเสียที เพราะตนก็เอือมความ กะล่อนของเชิดอยู่ไม่น้อย
“เอ๊า ! เซากะเซา มา ๆ มากินบักม่วงนำกันนิ สิได้ ซ่วงมีแฮงเฮ็ดเวียกเฮ็ดงาน เดี๋ยวเวทีเอิ้นขวัญสิ บ่แล้ว” ต้อยรีบตัดบท ด้วยการเรียกรวมพล เพื่อมา กินมะม่วงป่ากับน้ำพริกข้าวคั่วรสแซ่บฝีมือตัวเอง
(ภาพจากผู้เขียน)
ทางฝั่งเด็ก ๆ และครูสมัยที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องการ แสดงก็เข้ามาซ้อมใหญ่บริเวณลานเอิ้นขวัญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้แยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัว เพื่อทำการแสดงในช่วงค่ำต่อไป
เมื่อถึงเวลา 18:00 น. ที่ลานเอิ้นขวัญหน้าบ้านพ่อ ผู้ใหญ่ ชาวบ้านทุกคนนั่งล้อมวงกันเป็นวงกลม โดยตรงกลางมีหนุ่มสาวชาวบ้านที่เดินทางกลับมา จากทำงานกรุงเทพ ฯ ได้นั่งเรียงแถวหน้ากระดานแยกฝั่งสองข้าง เว้นที่ว่างตรงกลางให้ขบวน บายศรี และนางรำเดินผ่านเข้ามาที่หน้าลานเอิ้นขวัญได้
แสงตะวันกำลังอ่อนแรงแต่ยังหลงเหลือสีส้มรำไร พอจะส่องสว่างให้ผู้คนและสรรพสัตว์น้อยใหญ่ได้ขับเคลื่อนกิจกรรมในช่วงย่ำค่ำเช่นนี้ไปได้โดยไม่ลำบากนัก เสียงลูกนกร้องเรียกหาพ่อแม่ให้กลับรังดังเจื้อยแจ้ว กบเขียดหลงฤดูก็ร้องหาคู่ดังระงมอยู่กลางห้วยฟังแล้วเพลินดีแท้
“เด็ก ๆ มาทางนี้ลูก ! มาเข้าแถวเตรียมรำกันได้ แล้ว” ครูสมัยกวักมือเรียกเด็ก ๆ ให้ไปยืนเป็นแถวตอนสองแถวเรียงขนาบข้างกัน เพื่อที่จะรำอัญเชิญพาขวัญเข้าไปในลานพิธีเอิ้นขวัญ
เด็ก ๆ ตื่นเต้นกันใหญ่กับการแสดงรำในพิธีเอิ้นขวัญครั้งนี้ ซึ่งนาน ๆ ถึงจะได้รำที เดอลา ม่านฟ้า นกแก้ว กรีนนี่และเด็กคนอื่น ๆ รีบจัดแถว ให้ตรงตามที่ครูสมัยบอก
ก่อนที่จะเริ่มรำออกไปยังลานพิธี โดยมีเอกกับ อาร์ตลูกชายของครูสมัย เดินถือบายศรีนำขบวน นางรำเข้าไปวางไว้หน้าลานเอิ้นขวัญ
(ภาพจากผู้เขียน)
“แป๊ะ ๆ ๆ สาม สี่” ครูสมัยปรบมือให้สัญญาณทีมนักร้องและนางรำ เพื่อเริ่มการแสดงได้
“มาเถิดเย้อ มาเยอขวัญเอย มาเย้อขวัญเอย
หมู่ชาวเมืองมา เบื้องขวานั่งส่ายล้าย เบื้องซ้ายก็นั่งเป็นแถว
ยอพาขวัญไม้จันทน์เพริศแพร้ว
ขวัญมาแล้วมาสู่คิงกลม เกศแก้วหอมลอยลม ทัดเอื้องชวนชม เก็บเอาไว้บูชา ยามฝนพรำเจ้าอย่าแข็ง แดดร้อนแรงเจ้าอย่าฝ่า อยู่ที่ไหนจงมารัดด้ายชัยยา มาคล้องผ้าแพรกระเจา”
คณะนักร้องและนางรำร้องและรำกันต่อจนจบเพลงบายศรีสู่ขวัญด้วยท่วงท่าและทำนองที่ไพเราะจับใจ ส่วนหนุ่มน้อยเอกกับอาร์ตหลังจากที่ถือพาขวัญไปไว้ที่หน้าลานเอิ้นขวัญเรียบร้อยแล้ว ก็ถอยออกมานั่งข้าง ๆ ครูสมัยผู้เป็นแม่ เพื่อดูการแสดงต่อไป
การแสดงรำของเด็ก ๆ นำโดยครูสมัยผ่านพ้น ไปด้วยดี สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคนดู และคนแสดงเป็นอย่างมาก เพราะนาน ๆ ทีจะได้ จัดงานเอิ้นขวัญแบบนี้ แถมเสื้อผ้านางรำที่เด็ก ๆ สวมใส่นั้นสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของชาวดอน ผักหวาน ที่สำคัญยังเป็นฝีมือการทอและตัดเย็บ ของบรรดาพี่ป้าน้าอาชาวดอนผักหวานอีกด้วย
หลังจากการร่ายรำอัญเชิญบายศรีสู่ขวัญเข้ามาที่ หน้าลานเอิ้นขวัญเสร็จเรียบร้อยแล้ว คณะนางรำ ก็เดินไปนั่งอยู่ด้านข้างบายศรีทั้งสองข้าง เมื่อทุกคน ประจำที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พ่อใหญ่ศรี ที่ทำหน้าที่จ้ำประจำหมู่บ้านดอนผักหวานก็เริ่ม บริกรรมคาถาบทสวดชุมนุมเทวดา
ทุกอย่างดูวุ่นวาย นอกจากเสียงธรรมชาติรอบ ๆ ตัวแข่งกันดังระงมแล้ว ยังมีชาวบ้านที่กำลังง่วน ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอยู่นั้น เป็นอันต้องชะงัก เมื่อจู่ ๆ ก็มีลมหัวกุดพัดวนรอบ ๆ ลานเอิ้นขวัญ และทำท่าจะพัดเข้ามากลางวง แต่แล้วกำลังลมก็ ลดแผ่วลง เหลือเพียงแค่ความเย็นที่พัดผ่านเข้ามา ภายในลานพิธีเท่านั้น
(ภาพจากผู้เขียน)
“ศรี ศรี มื้อนี้แม่นมื้อสรรวันดี วันดิถีอมุตโชค โตกนี้แม่นโตกไม้จันทร์ ขันนี้แม่นขันไม้แก้ว ตกแต่งแล้วจั่งยกยอมา ฯลฯ” เสียงพ่อใหญ่ศรี เริ่มบดสวดเรียกขวัญ เพื่อให้ขวัญลูกหลาน ชาวบ้านดอนผักหวาน ที่รอนแรมไปทำงานต่าง บ้านต่างเมือง ให้กลับคืนมาบ้านเกิดเมืองนอน
“มาเด้อขวัญเอ้ย มาเด้อขวัญเอ้ย มาเด้อขวัญเอ้ย" พ่อใหญ่ศรีได้ร้องนำเพื่อเอิ้นขวัญสามรอบ พร้อมกับ ชาวบ้านดอนผักหวานได้ร้องขานรับ “มาเด้อขวัญเอ้ย" สามรอบเช่นกัน
“เอ้า ! พากันหยับเข้ามาลูกหล่า พ่อใหญ่แม่ใหญ่สิ ผูกแขนให้ มาเข้ามา” พ่อใหญ่ศรีเรียกชาวคณะ ที่เดินทางมาจากกรุงเทพ ฯ ให้เข้าไปผูกแขนกับตน และผู้เฒ่าผู้แก่คนอื่น ๆ
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คือสิพอใจหลายน้อหมอซ้อมเข้า พาขวัญวะติ ฮ่า ฮ่า" บ่าวเชิดปากไวเท่ากับสายตา ที่เหลือบไปเห็นสาวต้อยกับบ่าวเขื่อนเพื่อนเกลอนั่งข้าง ๆ กันเพื่อให้ผู้เฒ่าผู้แก่ผูกแขนให้ในพิธี เอิ้นขวัญ
“เงียบ ๆ เลยมึงเหมอ หยับไปหาสาวขาวพุ้นคาแต่ฝอย ระวังพุบ่าวทางอื่นสอยไปก่อนเด้อ ฮ่า ฮ่า” บ่าวเชิดยิ้มพอใจที่เพื่อนรักยุส่งให้ แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แถมยังแกล้งเพื่อนต่อ
“ครับ ครับ ครับ ไปแล้วครับหมอ" บ่าวเชิดยักคิ้วให้ เพื่อนเป็นอันรู้กัน ก่อนที่จะขยับไปนั่งข้าง ๆ สาวขาว
“มา ๆ ลูกหล่า นางหลอกนางรำกะหยับเข้ามา ให้พ่อใหญ่แม่ใหญ่เพิ่นผูกข้อต่อแขนให้ สิได้อยู่ดีมีแฮง" พ่อผู้ใหญ่เรียกบรรดาเด็ก ๆ ที่ไปรำเข้าไปให้ผู้ใหญ่ผูกแขนให้
“โอ๊ย ! ไผวะ ?” เดอลาหันขวั่บไปหาคนที่ผลักเธอล้มถลาไปข้างหน้า จนชนเข้ากับลูกชายครูสมัย เธอจำไม่ได้ว่าเป็นเอกหรืออาร์ต เพราะสองคนเป็นคู่แฝดกัน นานทีปีหนถึงจะติดสอยห้อยตามครูสมัยมาที่โรงเรียน นี่ก็เกือบจะสองปีแล้วที่ไม่ได้เห็นทั้งสอง คราวนี้ดูเป็นหนุ่ม..
อืมม... โอ้ยยย ! “ยิ่งคิดก็ยิ่งเขินทำไมรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวอย่างนี้ หรือว่าเราแอบชอบสองพี่น้องนี้ โอย โอย ไม่ได้นะ” เดอลาสลัดความคิดตัวเองทิ้ง แล้วกลับมาหาต้นตอที่ทำให้ตัวเองล้มไปชนกับชายหนุ่มเข้า
“สรุปว่ามันแมนไผชนเฮาหว่างได๋นั่น ?” เดอลาทำสีหน้าเคืองกลบเกลื่อนความเขินอาย ที่เผลอไปคิดว่าลูกชายครูสมัยหล่อถูกใจ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังเป็นเด็ก
“หืมมม..คือเนาะหญิง ได้ชนกับอ้ายอาร์ตสุดหล่อ ทำเป็นหลาย” กรีนนี่แซวเพื่อนสาว หลังจากที่ผลักเดอลาให้เข้าไปชนกับอาร์ตจะได้ให้สองคนใกล้กัน
“เป็นเฮาบ่ได้สิล้มคุบเอาเลย อิอิ" นกแก้วไม่พูดเปล่าแต่ยังทำสีหน้าอยากไปนั่ง แทนที่เดอลาตรงนั้นเลย
“ออกนอกหน้านอกตาเนาะหญิง เช็ดน้ำหมากแน" กรีนนี่เหน็บนกแก้ว
“หึย ! ฉันกะเว้าเล่นไปซื่อ ๆ นิหล่ะ ทำเป็นหลาย" นกแก้วสวนกลับกรีนนี่
“เซา ๆ สองคนนิกัดแต่กัน ฟ้าวหยับเข้าไปนั่น คะเจ้าสิแล้วเหมิดแล้ว" ม่านฟ้าผลักให้กรีนนี่และนกแก้วที่อยู่ตรงหน้าขยับ เข้าไปผูกแขนให้เสร็จ ๆ
“ฮ้ายกวดหนี ดีกวดเข้า ให้ลูกหล่าอยู่ดีมีแฮง ให้ขวัญมาอยู่กับเนื้อกับโต หยิบจับหยังกะให้เป็นเงินเป็นทอง นอนหลับกะให้ได้เงินหมื่น นอนตื่นกะให้ได้เงินแสน ไปร่ำไปเรียนกะให้ได้เป็นเจ้าคนนายคนเด้อลูกเด้อ" พ่อใหญ่ศรีผูกแขนให้เดอลา โดยมีพ่อกับแม่ของ เดอลาเอาฝ่ามือมาช้อนที่แขน ของสาวน้อยเพื่อรับพรจากพ่อใหญ่ศรีด้วย
หลังจากที่พิธีเอิ้นขวัญและผูกข้อต่อแขนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่น้องชาวดอนผักหวานก็ร่วมกินข้าวพาแลงด้วยกัน ส่วนเมนูหลักก็หนีไม่พ้นลาบกับต้มเนื้อ ของแซ่บอีสานที่มีไว้ต้อนรับแขกไปไทมา หรือเวลามีงานใหญ่อย่างงานเอิ้นขวัญในค่ำคืนนี้
ในระหว่างที่ชาวดอนผักหวานกำลังกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อยที่ลานเอิ้นขวัญ บริเวณหน้างานก็มีพ่อเฒ่าก้อนหมอแคนประจำหมู่บ้านพร้อมด้วยสมาชิกวงหมอหมอลำสี่ห้าคน ออกมารำเพลินและร้องผญา ให้ความบันเทิงกับชาวบ้านได้สนุกสนานผ่อนคลายตลอดค่ำคืน โดยเฉพาะท่วงท่าการเป่าแคนของพ่อเฒ่าก้อนที่คอยส่ายเอวเด้งไปเด้งมา
(ภาพจากผู้เขียน)
“เด็ก ๆ กินข้าวเสร็จเดี๋ยวเราข้ามถนนไปเปลี่ยนชุดกันทีโรงเรียนเราได้เลยนะลูกพวกหนูจะได้สบายตัว ถ้ายังไม่ง่วงนอนก็มาดูหมอลำเพลินกันต่อเลย” ครูสมัยร้องบอกเด็ก ๆ ที่อาสามารำในงาน
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ายุไสคะคุณครู ?” ม่านฟ้าพยายามพูดภาษาไทยกลาง แต่ก็ไม่วายหลุดภาษาถิ่นออกมา เหมือนกับหลาย ๆ คนที่พูดแต่ภาษาถิ่นจนชิน
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ไหนคะ ? ลองพูดสิลูกม่านฟ้า อีกไม่กี่ปีพวกหนูก็จะได้ไปเรียนต่อชั้นมัธยมแล้วนะลูก หัดพูดภาษาไทยให้ถูกนะคะเวลาไปเรียนเขียนเรียนอ่านชั้นที่สูงขึ้นไปจะไม่ลำบาก” ครูสมัยแนะนำให้ม่านฟ้าและเด็กคนอื่น ๆ เตรียมตัวเรื่องการใช้ ภาษาให้ถูกต้อง
“แล้วอย่างภาษาบ้านเราที่ใช้พูดกันอยู่นี่หล่ะคะคุณครู หนูหมายถึงภาษาอีสานบ้านเราน่ะค่ะ" เดอลาถามต่อด้วยความสงสัย
“ภาษาอีสานบ้านเราเป็นภาษาถิ่นอีกหนึ่งภาษาในประเทศไทยเราลูก ถ้าหนูไปภาคเหนือเขาก็จะพูดกันภาษาเหนือ ถ้าไปทางใต้เขาก็จะพูดกันภาษาใต้ แม้แต่อีสานบ้านเรายังมีทั้งภาษาภู้ไท ภาษาส่วย และอีกหลาย ๆ ภาษาเลยนะลูก โชดดีที่เรามีภาษาไทยกลางให้เราได้เรียนรู้เพื่อที่จะสื่อสารกัน จะภาคไหน ๆ ถ้าเราใช้ภาษาไทยกลาง เราก็จะคุยกันรู้เรื่องจ้า" ครูสมัยอธิบายด้วยสีหน้าภูมิใจที่ลูกศิษย์ของตัวเองไฝ่รู้
“ถ้าคนที่มาจากภาคเหนือ อีสาน กลาง ใต้มาอยู่ด้วยกันแต่ต่างคนต่างพูดภาษาตัวเอง คงวุ่นวายน่าดูนะครับแม่ กว่าจะเข้าใจกันคงเมื่อย มือพิลึก ฮ่า ฮ่า” อาร์ตพูดไปหัวเราะไปทำให้ทุกคน อดขำด้วยไม่ได้
เดอลาแอบมองและอมยิ้มในความฉลาดพูดของอาร์ตไม่น้อย
“หญิง ! ตื่นจ้า ! ตื่น !” กรีนนี่สะกิดเดอลาให้หุบยิ้ม หลังจากที่สังเกตเพื่อนสาวมาสักพัก ว่าแอบมองหนุ่มอาร์ตลูกชายครูสมัย ตั้งแต่ออกจากลานเอิ้นขวัญแล้ว เดอลายิ้มกว้างแล้วหันไปสบตากับกรีนนี่โดยไม่พูดอะไร
“เด็ก ๆ เอาของเก็บเข้าที่แล้วเรากลับไปรวมกับผู้ใหญ่ที่ลานเอิ้นขวัญนะคะ ส่วนพวงมาลัยหนูเอากลับบ้านได้เลยจ้า" ครูสมัยบอกกับเด็ก ๆ ก่อนที่จะแวะไปลงเวลาเข้าออกงานที่ห้องพักครู
ทุกคนเริ่มทยอยกันออกจากห้องเก็บของกันแล้ว เหลือเดอลาที่ยังงุ่นง่านกับสายรองเท้าที่ขาดวันก่อนอยู่เลย ทั้ง ๆ ที่พ่อของเธอก็ซ่อมให้แล้ว
พรึ่บ !
“กรี้ดดด ! ไผปิดไฟ” เดอลาร้องเสียงหลงเพราะจู่ ๆ ห้องเก็บของก็ไฟดับ
“อ้าว ! นึกว่าไม่มีคนอยู่แล้ว ขอโทษ" อาร์ตรีบขอโทษขอโพยเดอลา
“ก็เนี่ยคน ! ตาบ่มืนเบิ่งบ่ ?!" เดอลาถามด้วยความโกรธระคนกับความกลัว จนลืมความหล่อเหลาขี้เล่นของหนุ่มอาร์ตไปแล้ว
“ก็ขอโทษแล้วไง จะเอาอะไรอีก !” อาร์ตเริ่มโมโห เพราะตัวเองต้องรีบกลับเข้าไปให้ถึงงานก่อนเอกแฝดผู้พี่ เพราะสองคนตกลงแข่งความเร็วกันไว้ แต่อาร์ตถูกแม่ขอร้องให้มาปิดไฟในห้องเก็บของก่อน
“คนอิหยังฮ้ายเป็นแท้ เสียดายความหล่อเด้ บ่น่าไปหลงฮักเลย" เดอลาคิดใจใน
“เสร็จยัง ! จะรีบไป ! ทำอะไรนักหนา" อาร์ตเร่งให้สาวน้อยให้ออกจากห้องไว ๆ
“ยัง ! ไม่เห็นรึไงว่าสายเกิบขาดอยู่เนี่ย" เดอลาบ่นอุบ
“ไหนเอามาดูสิ เกิบอะไรของเธอ แม่ไม่บอกรึไงว่าให้เรียกรองเท้า" หนุ่มอาร์ตก็ขี้บ่นไม่แพ้กัน
“บอกแต่ฉันจะเรียกเกิบ ทำไม ?! เกิบ !'เกิบ ! เกิบ ! เกิบ !" เดอลาย้อนพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“ยัยบ้าเอ๊ย ! เอาไป ! รองเท้าอะไรใส่จนขาด" อาร์ตโยนรองเท้าให้เดอลาหลังจากที่ซ่อมเสร็จแล้ว
“ดาวแท้ !” สาวน้อยตอบแต่ก็อดขำกับคำตอบของตัวเองไม่ได้
“รีบออกมาได้แล้วจะปิดไฟ” อาร์ตออกคำสั่ง ในใจก็นึกถึงคำตอบของสาวน้อยเกี่ยวกับรองเท้าดาวแท้
“ดาวแท้บ้าอะไรวะไม่เคยได้ยิน เห็นตอนรำนึกว่า จะน่ารักอ่อนหวาน ที่ไหนได้เด็กบ้าดี ๆ นี่เอง" อาร์ตส่ายหัวเดินนำออกนอกห้องไป
“เดี๋ยวก่อน !” เดอลาร้องเรียกให้อาร์ตที่รีบเดินจำอ้าวออกไปแบบไม่รอให้เขาหยุด
“อะไรของเธออีกยัยเด็กบ้า รู้ไหมว่าเธอทำให้ฉัน เสียเวลาไปเยอะแล้วนะ” อาร์ตเริ่มโมโห
“เอ๊า ! เอาไป ค่าซ่อมเกิบให้เรา"
“รองเท้า !” อาร์ตย้ำ
“เออ ๆ รองเท้าก็รองเท้า เรื่องมากจังเลย หล่อซะเปล่า” เดอลายื่นพวงมาลัยของตัวเองให้อาร์ตเป็นการตอบแทน แต่ในขณะที่อาร์ตกำลังจะยื่นมือไปรับนั้นเพื่อน ๆ ก็โผล่มา
“จ๊ะเอ๋ ! ทำอะไรกันหน่ะ ?!” กรีนนี่ นกแก้ว ม่านฟ้าและเอกที่แอบซุ่มรออยู่ก่อนหน้านี้ ถือจังหวะเข้าไปแซวเดอลากับอาร์ต
“โอ้ยย ! ตกใจเหมิด หว่างได๋กะรอบหนึ่งแล้ว" เดอลาเกาะแขนอาร์ตแน่น ก่อนจะรู้ตัวว่าโดน เพื่อน ๆ แกล้ง จึงรีบปล่อยมือออกจากอาร์ต
“ยัยบ้า ! แค่นี้ก็ตกอกตกใจ" อาร์ตบ่นทำสีหน้าระอา
เดอลาไม่โต้ตอบ แต่หันไปมองสบตากับเพื่อน ๆ แล้วมาหยุดที่กรีนนี่ นัยจะบอกว่า “เป็นยังไงหล่ะ สุดหล่อของเธอ ปากหมาชะมัด”
กรีนนี่เหมือนรู้ว่ากำลังโดนตำหนิด้วยสายตา เลยรีบเข้าไปกระทบไหล่เพื่อน
“ให้อภัยในความหล่อค่ะ ฮิ้ว !” กรีนนี่และเพื่อน ๆ หัวเราะชอบใจ
“ไปกันเถอะทุกคนเดี๋ยวผู้ใหญ่เป็นห่วงกัน” เอกเตือนในฐานะพี่ใหญ่สุด
เสียงหมอลำเพลินดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเด็ก ๆ เดินเข้ามาใกล้ถึงลานเอิ้นขวัญแล้ว ด้านหน้าพ่อเฒ่าก้อนยังคงแอ่นตัวโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเสียงแคนที่ตัวเองเป่า
เด็ก ๆ ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งมีความสนุกครึกครื้นไป ด้วย กรีนนี่และนกแก้วอาศัยความไว สอดส่อง สายตาจนเจอที่ว่างพอจะให้ตนและเพื่อน ๆ ใด้นั่ง ดูการแสดงต่อได้
“ทางโน้นทุกคน ! ตามมาเร็ว" นกแก้วรีบเดินนำทางไปยังสื่อที่ยังมีที่ว่างอยู่
“เดี๋ยวก่อน ! จะเอาไหมพวงมาลัยเนี่ย ?!” เดอลาร้องถามอาร์ต หลังจากที่เห็นว่าเพื่อน ๆ เดินทิ้งห่างไปแล้ว
อาร์ตยื่นมือไปรับ แต่ยังไม่ทันได้ขอบใจอะไร เดอลาก็รีบวิ่งแจ้นไปหาเพื่อน ๆ ซะแล้ว
“นึกว่าจะไม่ได้พวงมาลัยกลับบ้านซะแล้ว ยัยเด็กบ้าเอ้ย !”
จบตอน...เอิ้นขวัญ
แล้วเจอกันใหม่นะคะ บ๊าย ..บาย 🥰
(ภาพจากเว็บไซต์ : www.pixabay.com)
นิยายเรื่อง : ก่อนตะวันรอน
ผู้แต่ง : งามดอกบัว
สำนักพิมพ์ : อีสานพันทาง
#สงวนลิขสิทธิ์

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา