บทสวดมนต์ที่สอง : ท่านต้องบอกคนอื่นว่าท่านรู้อะไร ไม่รู้อะไร และเมื่อใดจะกลับมาบอกและหารือในสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ในตอนนี้
ในสถานการณ์วิกฤติ การแบ่งปันข้อมูลที่ท่านรู้ ควรจะให้ข้อมูลอย่างง่ายที่สุดและซื่อสัตย์ที่สุดเท่าที่จะให้ได้ แม้จะเป็นสิ่งที่คนไม่อยากจะได้ยินก็ตาม
การบอกคนอื่นให้ทราบในสิ่งที่ท่านไม่รู้มักจะเป็นเรื่องยากสำหรับผู้นำ แต่การบอกสิ่งที่ท่านไม่รู้ เป็นหัวใจในการสร้างความน่าเชื่อถือกับผู้เกี่ยวข้อง หากเราไม่บอก คนอื่นๆก็จะไม่รู้สึกว่าท่านมีส่วนร่วมกับพวกเขา และอาจจะคิดว่าเชื่อใจท่านไม่ได้อีกต่อไป หรืออาจจะทำให้ความจริงดูเลวร้ายกว่าที่เป็น
สุดท้ายคือ ต้องบอกให้คนอื่นๆทราบว่า เมื่อใดท่านจะกลับมาตอบสิ่งที่ท่านยังไม่สามารถให้คำตอบได้
บทสวดมนต์ทั้งสองนี้ ไม่ได้ช่วยคนอื่นอย่างเดียว แต่ยังช่วยท่านปกป้องชื่อเสียงของตนเองและขององค์กร เพราะหากไม่มีการสื่อสารอย่างทั่วถึง คนอื่นจะไม่เข้าใจ และจะคิดว่าท่านปกปิดหรือเอาตัวรอดไปเรื่อยๆ และท่านจะเสียความน่าเชื่อถือ ดิฉันเชื่อว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจดีว่า ในสถานการณ์วิกฤติ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ความไม่แน่นอนก็มีอยู่ตลอดเวลา การปรับตัวให้เร็ว เป็นหนทางของความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติค่ะ
นอกเหนือจากชื่อเสียงแล้ว บทสวดมนต์ก็ยังใช้เป็นกรอบในการจัดการองค์กรให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติ และมีแนวทางในการดำเนินงาน ไม่เกิดความตระหนก วิ่งวุ่นไปทั่ว
“ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในวิกฤตินี้ คือ มีผู้นำเยอะเกินไป รวมถึงรัฐบาลด้วย ที่ไม่ได้บอกให้ชัดเจนว่า รู้อะไร ไม่รู้อะไร และจะวางแผนอย่างไรเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมให้กับประชาชนในภายหลัง” อาจารย์เครมเมอร์กล่าว
ที่แย่ที่สุดคือการที่คน “แปลกใจ” เมื่อทราบความจริงทั้งหมด เพราะฉะนั้น หากมีการสื่อสารที่ดี และมีการติดตาม เราจะสามารถลดความ “แปลกใจ” ของประชาชนได้
หลายองค์กรที่นำหลักการนี้ไปใช้และประสบความสำเร็จในการจัดการสถานการณ์ เช่น การให้เงินช่วยเหลือพนักงานระหว่างวิกฤติ ซึ่งกระทบผลกำไรในระยะสั้น และระยะยาวก็มีผลเป็นบวกอย่างมาก เพราะ “ทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
ขอบคุณข้อมูลจาก “How to Develop a Leadership Mindset for Uncertain Times” จากวารสาร Kellogg Insight ฉบับเดือนตุลาคม 2563