28 มิ.ย. 2021 เวลา 12:19 • การศึกษา
คำถาม วิธีฝึกภาษา เป็นคำถามที่กว้างมาก เพราะการฝึกภาษาเป็นเรื่องของมิติ ซึ่งแยกออกได้เป็น 4 ส่วน เพื่อประกอบกันเป็นองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการเรียนภาษา
ในสมัยโบราณ ภาษายิ่งโบราณมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะไม่มีภาษาเขียน คงจะมีแต่ภาษาพูดเท่านั้น เช่น ภาษาสันสกฤตที่มีอายุหลายพันปีที่มีการระบุว่าเป็นภาษาของชาวอารยันที่มีต้นกำเนิดในพื้นที่ของเปอร์เซียซึ่งกลายเป็นประเทศอิหร่านในปัจจุบัน โดยที่ภาษาสันสกฤตไม่มีอักษร คนรุ่นหลังจึงถ่ายทอดเสียงไว้โดยอาศัยอักษรเทวนาครีของอินเดีย อักษรโรมัน และอักษรไทย
1
ปัจจุบันทุกภาษาจะมีอักษรของตัวเองบ้าง ยืมอักษรโรมันมาใช้บ้าง หรือญี่ปุ่นยืมอักษรจีนมาใช้โดยเรียกว่า'คันจิ'
สมมุติว่าเราจะเรียนภาษาจีน คนจีนบอกว่ามีอักษรจีนเป็นล้านตัว แต่คนที่รู้อักษรจีนประมาณ 3000 ตัว ก็ถือว่ามีความรู้ภาษาจีนในระดับที่ดีแล้ว แต่ในทัศนะของชาวตะวันตก โดยเฉพาะคนที่พูดภาษาอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส บอกว่า สำหรับพวกเขา พวกเขารู้ว่าเสียงของคำในภาษาจีน มีแค่ 80 หน่วยเสียงเท่านั้น พวกเขาจึงเลียนการออกเสียงให้ครบทั้ง 80 หน่วยเสียงก่อน เมื่อออกเสียงชัดเจนแล้ว จึงค่อยเริ่มออกเสียงคำต่างไปในรูประโยค และต่อไปก็เรียนการเขียนตัวอักษรจีนที่เรียกว่าการเขียนเส้นสโตรค คือลากเส้นขวางจากซ้ายไปขวา แล้วลากเส้นดิ่งจากบนลงล่าง
ส่วนการเรียนภาษาอื่นๆในตระกูลภาษายุโรป ก็ต้องเรียนทั้งการออกเสียงและการเขียนตัวอักษร รวมทั้งสระทุกรูปที่ใช้ในภาษานั้นๆ โดยผู้เรียนอาจจะใช้วิธีการเรียนการออกเสียงโดย
1. อ่านจากตัวอ่านที่เรียกว่า Phonetic ของภาษานั้นๆ หรือ ตัวอ่านของภาษาสากล คือ IPA หรือ International Phonetic Alphabet คือภาษาไหนที่ใช้ตัวอักษรของ IPA กำกับ และเราอ่านออกเสียงไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด เราก็จะออกเสียงได้ถูกต้องหรือใกล้เคียงอย่างยิ่ง
2. ฟังการออกเสียงจากพจนานุกรมที่มีการออกเสียงคำออนไลน์หรือออฟไลน์ เช่น ดิกชันนารี Merriam Webster ซึ่งเป็น แอพพลิเคชั่นฟรี ที่ผู้ใช้โทรศัพท์ทุกค่ายสามารถโหลดมาใช้ได้ฟรี และเมื่อสงสัยการออกเสียงของคำก็สามารถกดดูคำและกดลำโพงเพื่อฟังเสียงซ้ำ จนกว่าเราจะออกเสียงได้เหมือนหรือใกล้เคียง
ส่วนในเรื่องการอ่าน ผู้จะเรียนจะต้องอ่านบทความหรือหนังสือทั้งที่เป็นรูปเล่มหรือเป็นอีบุ๊ค หรือ PDF
เรื่องที่อ่านควรจะเป็นเรื่องที่เป็นปัจจุบันคือข่าวรายชั่วโมง รายวัน รีวิวข่าว หรือแม้แต่ฟังการอ่านข่าวของสถานีวิทยุบีบีซีที่เราสามารถโหลดแอพมาใช้ฟังได้ ก็จะมีคำถามว่า จะฟังรู้เรื่องหรือ? ก็ขอตอบว่า ไม่ได้บอกว่าต้องฟังรู้เรื่อง แต่ฟังให้ออกว่าเขาออกเสียงว่าอะไร เช่น เขาอ่านคำว่า แอ๊มเมอเซิ่น เราก็อาจจะงง เพราะคนไทยเราจะออกเสียงว่า อะเมซอน (Amazon)
หรือ ทอทฺแน่ม (Tottenham ที่คนไม่รู้จะอ่านว่า ท็อทเท่นแฮม หรือ คำต่างๆที่ลงท้ายด้วย -ough เหมือนกัน แต่อ่านออกเสียงต่างกัน เช่น
through อ่านใกล้เคียงว่า 'ทรู' ที่อเมริกันเขียนว่า thru dough อ่านว่า 'โด' tough อ่านว่า 'ทัฟ' ฉะนั้น นักการภาษาจึงมักลงความเห็นว่า ภาษาอังกฤษนั้นเจ้าเล่ห์หรือขี้เล่น คือไม่ได้เขียนให้อ่าน แต่เขียนอย่างหนึ่งแต่ให้ออกเสียงอีกอย่าง
และสุดท้ายคือการเขียน การเขียนก็มีหลายอย่าง แค่เราจะตีวงให้แคบลงเป็นการเขียนแบบจดบันทึกสั้น หรือการเขียนเรียงความ
การเขียนแบบจดบันทึกก็จะไม่คำนึงถึงไวยากรณ์มากนัก เพราะผู้เขียนไม่ได้ต้องการให้ใครมาอ่าน ต่างจากการเขียนเรียงความที่ผู้เขียนต้องเขียนเพื่อสื่อสารกับคนอ่าน เช่น เขียนจดหมาย เขียนรายงาน บันทึกการประชุม สรุปงานเขียนต่างๆ ผู้เขียนจะต้องมีความรู้ในเรื่องของไวยากรณ์ในการเขียนที่เป็นทางการ เช่น เขียนรูปโครงสร้างประโยค กาาใช้ Tenses กาล สำหรับช่วงเวลาที่ถูกต้อง การใช้คำสรรพนามเพื่อแทนชื่อคน สัตว์ สิ่งของ เพื่อจะหลีกเลี่ยงการใช้คำนั้นซ้ำหลายๆครั้ง เช่นการเขียนเกี่ยวกับเรือบรรทุกสินค้า ฝรั่งจะใช้คำที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ความหมายเหมือนเดิม ตัวอย่าง Sea containers > Ships > Sealiners > Vessel โดยใช้คำพวกนี้สลับกันไปตลอดบทความ ซึ่งในภาษาไทยเราก็อาจจะใช้คำ เรื่องเดินทะเล เรือสินค้า ฯลฯ
รวมทั้งผู้จะเรียนจะต้องหมั่นฝึกคัดลอกคำนิยามที่ให้ความหมายจากคำที่เราหา เช่น เปิดดิกชันนารี Merriam Webster เพื่อหาคำว่า dog หรือ vaccine เราก็ต้องเขียนคัดลอกคำนิยามหรือคำอธิบายที่เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อที่ว่าเราจะได้เรียนรู้คำต่างๆต่อไปได้อีก เช่น คำ dog จะเจอคำ wild (สัตว์ป่า) และ domestic (สัตว์เลี้ยงในบ้าน)
ส่วนการฝึกภาษาแบบเริ่มต้นเรียน ก็พยายามแปลเลยทันที เช่น dog แปลว่า สุนัข หรือ หมา โดยไม่เคยดูหรืออ่านคำอธิบายคำศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ จึงไม่ใช่การฝึกภาษา แต่เป็นการข้ามขั้นไปสู่เรื่องการแปล ซึ่งทำให้ลำดับขั้นตอนการเรียนรู้ภาษา(อังกฤษ)ของคนไทยต้องสะดุดและไปต่อได้ยากขึ้น
สรุป คำอธิบายเรื่องการฝึกภาษาที่เราให้ความหมายโดยสังเขป จึงน่าจะเป็นคำตอบที่พอจะครอบคลุมคำถาม
โฆษณา