29 มิ.ย. 2021 เวลา 15:56 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Magic formula สูตรลงทุนมหัศจรรย์
[Investor Level 1 Easy 🟢⚪⚪]
ได้อ่านหนังสือ “The Little Book that Beats the Market” ของ Joel Greenblatt หนังสือที่ผู้เขียนเคยรับรู้คร่าวๆ มาบ้าง ที่ตอนแรกคิดว่าไม่มีอะไร แต่เมื่อเรียนรู้มากขึ้น ประกอบกับเคยได้เรียนในคลาสกับ รศ.ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา แล้วได้อ่านงานวิจัยของอาจารย์ จึงทำให้สนใจและกลับมาอ่านหนังสือเล่มนี้
2
Greenblatt เป็นนักลงทุน นักวิชาการ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารกองทุน Gotham Capital เป็นศิษย์เก่าจาก Wharton School of the University of Pennsylvania และเป็นอาจารย์สอนนักศึกษา MBA ที่ Columbia University Graduate School of Business
หนังสือเล่มนี้บอกวิธีการลงทุนที่เรียบง่ายมาก และเพราะความเรียบง่ายนี้อาจเป็นเหตุผลที่ไม่ค่อยมีนักลงทุนสนใจมากนัก แต่ Greenblatt กลับเรียกสูตรลงทุนที่เรียบง่ายนี้ว่า Magic formula หรือสูตรมหัศจรรย์
Magic formula นี้ใช้หลักการพื้นฐานเพียง 2 ข้อ คือซื้อหุ้นที่ดีในราคาถูกสมเหตุผล และใช้เวลาในการลงทุนที่นานสมเหตุผล จะเห็นว่ามันเรียบง่ายแค่นี้จริงๆ ที่ใครๆ ก็อาจคิดว่า "ใครๆ ก็รู้เรื่องนี้"
3
ขั้นตอนของ Magic formula
1. เลือกหุ้นที่มีมูลค่าตลาดหรือ Market cap. สูงๆ ในหนังสือระบุมากกว่า 50, 100 หรือ 200 ล้านเหรียญ เพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องความผันผวน (หุ้นตัวใหญ่มี Market cap. สูงจะมีความผันผวนน้อยกว่าหุ้นตัวเล็ก)
2. ตัดหุ้นกลุ่มธนาคาร Finance และกลุ่มสาธารณูปโภคออก (เช่นกลุ่มโรงไฟฟ้า) โดยในหนังสือระบุว่าเพราะมีวิธีการแจ้งงบการเงินที่แตกต่างจากหุ้นทั่วไป (ผู้เขียนคิดว่าเนื่องจากกำไรหลักของกลุ่ม Finance มาจากส่วนต่างดอกเบี้ย และไม่มี Fixed Assets ที่สูงมากนัก และในส่วนสาเหตุของกลุ่มสาธารณูปโภคนั้นคงเป็นเพราะเรื่องของค่าเสื่อมที่สูงมาก)
1
3. คำนวณหาผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทจากสูตร [EBIT ÷ (Net Fixed Assets + Working Capital)] แล้วจัดเรียงลำดับมากที่สุดไปน้อยที่สุด โดยมากที่สุดได้ลำดับที่ 1
4. คำนวณหาผลตอบแทนต่อหุ้นจากสูตร (EBIT ÷ Enterprise Value) แล้วจัดเรียงลำดับมากที่สุดไปน้อยที่สุด โดยมากที่สุดได้ลำดับที่ 1
5. นำลำดับที่ได้ในข้อที่ 3 และ 4 มารวมกัน แล้วเลือกซื้อหุ้นที่มีลำดับบนสุด (น้อยสุด) จำนวน 20 - 30 ตัวแรก โดยในครั้งแรกลงทุนหุ้น 5 - 7 ตัวแรกด้วยเงินลงทุน 20% - 33% ของงบลงทุนทั้งปี
6. ซื้อหุ้นลำดับถัดไป ทุกๆ 2 - 3 เดือน จนกระทั่งมีหุ้นในพอร์ตครบ 20 - 30 ตัว (7 ตัว ทุก 3 เดือน หรือ 5 - 6 ตัว ทุก 2 เดือน)
7. ขายหุ้นที่ถือมาครบ 1 ปี (ในหนังสือมีการพูดถึงการเสียภาษีจากหุ้นที่ได้กำไร ซึ่งไม่มีสำหรับหุ้นไทย) และทำการปรับพอร์ต เลือกซื้อหุ้นกลับเข้าไปใหม่ คือทำซ้ำตามขั้นตอนข้อ 1 - 6
8. ลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อย 3 - 5 ปี (หรือ 10 ปี)
สรุป Magic formula
1️⃣ ซื้อหุ้นที่ดีจากสูตร
[EBIT ÷ (Net Fixed Assets + Working Capital)]
2️⃣ ซื้อหุ้นถูกจากสูตร
(EBIT ÷ Enterprise Value)
3️⃣ จัดเรียงลำดับหุ้นที่ได้จาก 1️⃣ และ 2️⃣ แล้วเลือกซื้อ 20 - 30 หุ้นลำดับแรก และปรับพอร์ตปีละ 1 ครั้ง
การปรับใช้ Magic formula กับหุ้นไทย
การใช้สูตร [EBIT ÷ (Net Fixed Assets + Working Capital)] อาจมีความยุ่งยากอยู่บ้างสำหรับบางคนที่มีข้อจำกัดในการดึงข้อมูลทั้งหมดพร้อมกันมาคำนวณและเรียงลำดับทั้งตลาด นักลงทุนจึงอาจปรับใช้ ROE (หรือ ROA) สำหรับการเลือกหุ้นที่ดีได้
สำหรับการซื้อหุ้นถูกจากสูตร (EBIT ÷ Enterprise Value) อาจใช้ P/E ได้เช่นกัน แต่ตัวผู้เขียนเอง เลือกใช้ (EV ÷ EBITDA) เพราะมีการบวกกลับของค่าเสื่อม ที่คิดว่าสามารถตัดข้อจำกัดของการเลือกหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคที่เป็นหุ้นไทยส่วนใหญ่เข้ามาในพอร์ตได้
นอกจากเรื่อง Market cap. แล้ว คิดว่าเรื่อง % การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (% Free float) ก็สำคัญสำหรับหุ้นไทยเช่นกัน เพื่อป้องกันความเสี่ยงในเรื่องสภาพคล่อง
ได้ทดลองใช้ Magic Formula เลือกหุ้น 20 ตัวโดยกำหนด Market Cap. > 30,000 ล้านบาท และ % Free float > 25% แล้วใช้ ROE ของ 2021Q1 และ EV/EBITDA วันที่ 28 June 2021 ได้ผลออกมาตามตาราง
โดยนักลงทุนอาจมีการปรับใช้เงื่อนไขอื่นๆ เช่นใช้ ROE เฉลี่ยย้อนหลังหลายๆ ไตรมาสหรือหลายปีในการคัดกรองหุ้นได้เช่นกัน
งานวิจัยของ รศ.ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา http://www.shenqigongshi.com/pub_pdfs/Shenqigongshi.com.Value.Investingin.Thailand.the.Test.of.Basic.Screening.Rules.pdf
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
ข้อมูลที่แสดงเป็นความเห็นส่วนบุคคล ใช้เพื่อการศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ แต่ไม่ขอยืนยันความถูกต้องของข้อมูล และไม่ได้มีเจตนาชักชวนการลงทุนในหลักทรัพย์ที่แสดงตัวใดตัวหนึ่ง
โฆษณา