“นี่คือข้อสรุปสำหรับผม นัฏฐา แล้วก็พ่อแม่หรือเปล่าลุง” ผมถาม “คือผมต้องตามใจพ่อแม่ เพราะท่านเคยผิดหวังเคยลำบากทุกข์ยาก ท่านควรจะสมหวัง”
“จะว่าใช่ก็ได้” ลุงวิชญ์ตอบง่ายๆ ซึ่งทำเอาผมถึงกับห่อเหี่ยว “แต่ถ้ายังเคลือบแคลงสงสัย ไม่แน่ใจ ไม่ชัดเจน คุณอยากฟังต่อ ผมก็ยินดีเล่า”
“ที่จริงมันก็ชัดอยู่” ผมว่า “แต่ถ้าเรื่องลุงมีอีก ผมก็อยากฟังให้จบ จะได้ตัดสินใจไม่ผิดพลาด”
ลุงวิชญ์พยักหน้า แล้วกระแอมกระไอ จากนั้นก็ร่ายยาว
“แรงผลักดันทั้งหลาย มันทำให้เราอยากเจอคนดีๆที่คอยชี้นำทางที่ถูกที่ควรให้” ลุงวิชญ์เล่า “อยากร่ำรวยสุขสบาย มีบ้าน มีรถ มีแฟน อยากมีทุกอย่างทัดหน้าเทียมตาคนอื่น อยากได้ขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวประเทศที่ในหนังสือบอกว่าเป็นประเทศที่เจริญแล้วผู้คนเป็นผู้ดีมีความรู้และร่ำรวยสวยสง่า เช่นอังกฤษ อเมริกา โดยเฉพาะอังกฤษที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ตะวันไม่ตกดิน ความอยากนี้มันท่วมท้นล้นอก แต่จำต้องสะกดเก็บไว้เพราะไม่รู้ต้องทำอย่างไรถึงจะมีทุกอย่างตามที่ใจปรารถนาได้ ผมชดเชยความใฝ่ฝันลมๆแล้งๆที่ไม่มีวันเป็นจริงด้วยการเรียนและเรียน อย่างน้อยคะแนนดีๆก็ช่วยชดเชยความอ่อนด้อยและขาดแคลนทุกอย่างลงได้บ้าง”
“การเรียนเป็นเรื่องดีลุง” ผมออกความเห็น “ยังไงลุงก็จะไม่เหนื่อยเปล่า”
“ใช่ มันดีแน่” ลุงวิชญ์ตอบ “ผมจบม.ต้นจากต่างจังหวัดด้วยอาการทุลักทุเล จากนั้นก็กระเซอะกระเซิงเข้ากรุงเทพฯ มาอาศัยญาติคนนั้นคนนี้ หางานทำพร้อมกับเรียนกวดวิชาชั้นม.ปลาย การอาศัยคนอื่นมันคือการเบียดเบียน แต่ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ทนฟังเขาด่าพ่อแม่ผมข้ามหัว ว่ามาสร้างความเดือดร้อนให้เขา ซึ่งมันจริงทุกอย่าง ผมพยายามสอบเทียบม.ปลายโดยไม่เข้าเรียนที่ไหน พอสอบได้ผมก็หลุดเข้าไปเป็นพนักงานหน่วยงานของรัฐ ทำงานเป็นกะ พอได้เงินเดือนเดือนแรก ผมก็ไปเช่าบ้านที่สลัมบ่อนไก่ นอนในดงน้ำครำ ไม่มีทางเลือกเพราะห้องดีๆแพงๆผมไม่มีปัญญาจ่าย จากนั้นก็ไปสนามหลวง ซื้อตำราแนะแนวการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทำงานไปอ่านตำราไป ในที่สุดก็สอบเข้าเรียนภาคค่ำมหาวิทยาลัยแถวสามย่านได้ แล้วทำงานพร้อมกับเรียน แต่ละวันแทบไม่ได้นอน สภาพความเหนื่อยล้าช่วงนี้มันตามหลอกหลอนผมเป็นสิบปี ถ้าคุณภูมิอดนอนและต้องทำงานตลอดเวลาซ้ำๆๆๆ ปีแล้วปีเล่า คุณจะเข้าใจถึงความทุกข์ทรมาน”
“ผมเข้าใจ” ผมรีบยืนยันเพราะปัจจุบันผมลุยงานจนบางครั้งไม่ได้นอนหลายวัน
“หลังเรียนจบ” ลุงเล่าต่อ “ผมย้ายมาทำอีกแห่ง เป็นหน่วยงานของรัฐเหมือนกัน แต่ในที่สุดก็ลาออก ไปทำงานอิสระ เพราะผมมีความสามารถพิเศษในงานชนิดหนึ่งซึ่งทำเงินได้มากกว่าเงินเดือนที่เดิม 8 เท่า และทันทีที่ทดสอบว่างานอิสระที่ผมลาออกมาทำ ผู้ว่าจ้างสามารถยืนหยัดเป็นแหล่งรายรับระยะยาวให้ได้ ผมก็ซื้อบ้าน และแต่งงาน มีลูก 2 คน พอมีลูก ภาพความทุกข์ยากสมัยเด็กก็ผุดขึ้น ผมตัดสินใจตัดวงจรอุบาทว์อันเกิดจากการเห็นแก่ตัวของหัวหน้าครอบครัว ผมจะไม่ยอมให้ลูกๆต้องมีชีวิตที่เดือดร้อนซมซานเหมือนผม พวกเขาต้องยืนหยัดทำมาหากินช่วยตัวเองได้อย่างมั่นคง และทั้งหมดจะเกิดได้ พวกเขาต้องมีอุปกรณ์ในการทำกิน และด้วย 2 มือเปล่าๆ ไม่มีงานประจำ ไม่มีเงินเดือน มีแต่ทักษะในงานอาชีพชนิดหนึ่งคล้ายพวกช่างฝีมือ ผมตัดสินใจ ทุ่มเทรายได้ทั้งหมด เดือนละแสนห้าถึงแสนแปด ส่งลูก 2 เรียนโรงเรียนนานาชาติ”
“ฮ้าย” ผมร้องลั่น “ลุงสติดีหรือเปล่า ลุงบังคับตัวเองที่มีอยู่แรงเดียวให้หาเงินเดือนละเกือบ 2 แสนต่อเนื่องเป็นปีๆ ลุงทำไปได้ยังไง พลาดท่าเส้นประสาทแตกตาย ลูกๆลุงตกนรกเดือดร้อนกันทั้งบ้านเลยนะนั่น”
“ผมทั้งยอมเอาอนาคตลูกๆมาเสี่ยง” ลุงวิชญ์พูด “โดยมีตัวบ่งชี้อย่างเดียวว่าทุกอย่างจะสำเร็จ คือความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง และทั้งยอมสละได้แม้ชีวิต เพราะการหาเงินเดือนละขนาดนั้น ยาวเป็นสิบปี มันคือการฆ่าตัวตายจริงอย่างคุณว่า ทั้งหมดก็เพื่อยุติวงจรอุบาทว์ที่มีแต่การดิ้นรนและความยากไร้อันมีสาเหตุมาจากความเห็นแก่ตัวของหัวหน้าครอบครัวลงให้หมดสิ้น สิ่งเลวร้ายต้องจบที่รุ่นผม ลูกๆต้องไม่เจออย่างผม”
“แล้วถ้าทั้งมุ่งมั่นและตั้งใจจริง แล้วมันก็ยังไม่สำเร็จล่ะ”
“ก็ให้ลูกมาเรียนระบบปกติ” ลุงวิชญ์ตอบ “อาจมีขลุกขลัก แต่การให้เรียนระบบปกติที่พอจบได้เงินเดือนพอเฉพาะค่ากินไม่พอผ่อนบ้านผ่อนรถ กับการให้ออกจากโรงเรียนนานาชาติเพื่อมาเข้าระบบปกติ ชีวิตมันสาหัสพอกัน แต่ถ้าเสี่ยงโดยเอาชีวิตผมเป็นเดิมพัน โอกาสรอดเพื่อไปเจออนาคตที่ราบรื่นมันมีทางเป็นไปได้”
ผมพูดไม่ออก เหตุการณ์เลวร้ายในอดีตมีผลต่อการตัดสินใจของลุงวิชญ์สูงมากและอาจมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของพ่อผมด้วย
“ลุงทำเพื่อลบภาพความยากลำบาก” ผมถามในที่สุด “กับเพื่อให้ชีวิตที่ดีกับลูก สองอย่างเท่านี้หรือ”
“ใช่”
“แล้วลุงเจออะไรบ้าง”
“สิ่งที่โถมเข้าใส่ผม” ลุงวิชญ์พูด “จากที่เมื่อก่อนผมเคยโกรธพ่อที่ทิ้งครอบครัวไป การณ์กลายเป็นว่ามันกลับทำให้ผมเห็นใจคนเป็นพ่อที่ทิ้งครอบครัวไปแสวงหาความสุขใส่ตัวตามลำพัง”
“ฮื้อย” ผมผวาเฮือก จ้องหน้า “ตกลงยังไง จะแค้นหรือจะเห็นใจ เอาให้แน่ ผมงง”
“การจะมีรายรับเดือนละแสนห้าแสนแปด” ลุงวิชญ์ต่อ “สำหรับมือรับจ้างที่ทำงานเป็นชิ้นแบบผมต้องโหมงานทั้งวันทั้งคืน ทุกวัน ไม่มีวันหยุด ทำจนฟุบหลับคางาน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมเงินเป็นแสนๆที่รับมาไม่มีโอกาสได้ใช้เพราะต้องจ่ายค่าเรียนลูกหมด ในฐานะมนุษย์ปุถุชนที่มีเหนื่อยมีล้าแต่หยุดไม่ได้ ในฐานะคนธรรมดาที่มีกิเลสตัณหาต้องการสำเริงสำราญกับเงินที่หามาอย่างเหนื่อยยากแต่ทำไม่ได้ คุณคิดว่ามันหนักเกินเหตุไปมั้ย”
“เกิน” ผมตอบ “ปีสองปียังพอไหว แต่ยาวเป็นสิบปี อย่างที่ผมบอก ต้องคนสติไม่ดีเท่านั้น”
“ผมถึงได้บอกว่าเห็นใจคนเป็นพ่อทุกคนที่ทิ้งครอบครัว” ลุงวิชญ์พูด ฟังดูก็รู้ว่ากำลังประชด “เพราะมันยากลำบากชนิดที่ผมไม่แนะนำให้หัวหน้าครอบครัวคนไหนในโลกเสียสละบ้าเลือดแบบผม”
“แล้วในที่สุดลูกๆลุงเรียนกันจบมั้ย”
“จบ” ลุงวิชญ์ตอบ “แม้ไม่สมบูรณ์แบบเพราะผมหมดแรงเสียก่อน แต่ลูกๆเขาสู้กันต่อ จนเรียนจบทั้งคู่ วันที่ลูกรับปริญญา ผมแอบไปยืนจุกในอกที่ข้างอาคารรับปริญญา มันเป็นอาการจุกที่เกิดจากความปลาบปลื้ม”
“เป็นใครก็ต้องปลื้ม” ผมว่า “ถึงไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็นับว่าลุงเจ๋งมาก”
“ตอนแรกผมคิดว่าวันรับปริญญาของลูกเป็นวันที่ผมดีใจที่สุด” ลุงวิชญ์พูด “แต่ยังมีวันที่ผมดีใจยิ่งกว่านั้น นั่นคือวันที่ลูกคนโตได้ไปอังกฤษ”
“ฮ้า” ผมร้อง “ประเทศที่ลุงใฝ่ฝันถึงน่ะหรือ”
“ใช่ ผมตื่นเต้นจนสั่น ไม่อยากเชื่อว่าครอบครัวกระจอกงอกง่อยอย่างเราจะได้ไปถึงประเทศที่เจริญที่สุดในโลก แถมค่าครองชีพสูงที่สุด ต่อมาลูกชายได้ไปเรียนปริญญาโทอีกคน ผมยิ่งสั่นหนัก มันยิ่งกว่าฝันไป”
“เจ๋งมาก เจ๋งสุดๆ”
“แต่ทั้งหมด ยังแพ้วันที่ผมรู้ว่าผมจะได้ไปประเทศอังกฤษกับเขาบ้าง”
“โฮ้ จริงหรือลุง”
“จริ๊ง” ลุงวิชญ์ยิ้มปลื้ม ร่องรอยความยินดีปรีดากับเหตุการณ์ในอดีต ปรากฏชัดเจน “มันคือความสมหวังชนิดที่ผมเกือบลืมเรื่องความเลวร้ายช่วงวัยเด็กจนหมด และผมเชื่อว่าคุณพ่อคุณก็จะสามารถลบภาพการสูญเสียในวันก่อนๆได้เช่นกัน หากกิจการท่านเจริญก้าวหน้าตามที่ท่านตั้งความหวังไว้”
ผมนิ่งอึ้ง ถึงลุงวิชญ์ไม่บอกตรงๆแต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่า ลุงแกกำลังแนะให้ผมเลิกกับนัฏฐา
ผมจะทำได้ยังไง ในเมื่อผมเพิ่งบอกณัฏฐาว่าผมชอบเธอ
*********************