29 มิ.ย. 2021 เวลา 16:36 • นิยาย เรื่องสั้น
“เหล่ากงกงหรือปู่ของปู่ผมเป็นคนจีน” ลุงวิชญ์เล่า “ท่านพาลูกชายหรืออากงหรือก๋งหรือปู่ผม อพยพจากเมืองจีนมาเป็นพ่อค้าและชาวสวนที่จังหวัดหนึ่งในภาคกลาง ปู่หรือก๋งแต่งงานกับย่าผมที่เป็นคนไทย มีลูกหลายคน คนสุดท้องคือพ่อผม พ่อแต่งงานกับแม่ที่เป็นคนไทย อันเป็นเหมือนธรรมเนียมปฏิบัติของพวกลูกจีนอพยพ พ่อแม่ผมทำ 3 อาชีพ คือขายของชำ ตัดเย็บเสื้อผ้า ทำสวน ท่านมีลูก 7 คน ผมเป็นคนที่ 6 แล้วทันใดพ่อก็ทิ้งไปมีเมียใหม่ ไปมีลูกอีกมากมาย”
“ทิ้งแบบไปๆมาๆแบบพวกเสี่ยที่ชอบมี 2 บ้านน่ะหรือ” ผมถาม
“ไม่” ลุงวิชญ์ตอบ หน้าแกซีดสลดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต “ทิ้งแบบตายจาก ไม่ให้เงิน ไม่ส่งเสียเลี้ยงดู ไม่ปกป้องคุ้มครอง ไม่ชี้แนะแนวทางใดๆ ไม่สนใจใยดี แถมไม่มาให้เห็นหน้าทั้งที่อยู่ไม่ไกลกัน”
“จริงหรือ” ผมถามพลางจ้องหน้าลุงวิชญ์เขม็งเพื่อจับพิรุธว่าแกโกหกหรือเปล่า เพราะไม่น่าจะมีพ่อคนไหนในโลกทำแบบที่แกว่าได้ ยกเว้นพ่อคนนั้นตาย หรือสติวิปลาสฟั่นเฟือน
“จริง” ลุงวิชญ์ตอบหนักแน่น หน้าแกยังซีดด้วยความรู้สึกปั่นป่วน “คุณคิดดู ลูก 7 คน แล้วแม่ที่เป็นผู้หญิงธรรมดาไม่ใช่วอนเดอร์วูแมน ที่มีอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้าขายกับเช่าสวนญาติทำ มีรายได้นอกจากรับจ้างเย็บผ้าก็มีแค่ตัดใบตองกับเก็บมะพร้าวส่งตลาด คอยเลี้ยงดู สภาพจะเละเทะน่าสังเวชขนาดไหน”
“โห” ผมคราง พูดอะไรแทบไม่ออก “พ่อลุงนี่ใจเด็ด”
“ใช่ เด็ดขนาดนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอันดับที่ 8 ที่ 9 ได้เลย” ลุงวิชญ์พูดประชด “ลูกๆ 7 คนตกนรกโดยพร้อมเพรียงกัน สามคนแรกที่พ่อแม่ส่งเรียนยังพอมีทางขยับขยายไปทำมาหากิน แต่ 4 คนหลังซึ่งรวมทั้งผม พ่อทิ้งแบบเด็ดขาด ปล่อยให้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดกันเอง ตอนนั้นผมทำทุกอย่างเพื่อให้มีกิน ทั้งจับปลาในคลองมาทำกับข้าว เก็บดอกโสนไปขาย รับจ้างแบกหามงานก่อสร้างได้ค่าแรงวันละ 10 บาท เพื่อให้มีเงินไปเรียน ส่วนค่าเทอม 40 บาทที่ได้จากการตัดใบตองขายก็ติดค้างเขาซ้ำซาก ของใช้ล้ำสมัยยุคนั้นอย่าได้ฝัน แม้แต่แปรงสีฟันยาสีฟันยังต้องอาศัยคนรู้จักกันบริจาคให้ ทั้งหมดนั่นเป็นนรกทางกาย แต่ยังมีนรกทางใจ”
“ห๋า” ผมร้อง “มีนรกทางใจด้วยหรือ”
“ใช่ มี” ลุงวิชญ์ตอบ “ซึ่งมันก่อให้เกิดทั้งผลดี ผลร้าย ปกติแม่ผมเป็นคนเจ้าอารมณ์ในระดับพอทนได้ แต่ช่วงหลังจะหนักขึ้น ซึ่งต้องเข้าใจด้วยว่าใครที่ถูกสามีทิ้ง ปล่อยให้เลี้ยงลูกหลายคนตามลำพัง เมื่อเหนื่อยก็ต้องกราดเกรี้ยวเป็นของธรรมดา และผมเป็นคนเดียวที่อยู่กับแม่ พี่น้องคนอื่นกระจัดกระจายไปพึ่งญาติคนนั้นทีญาติคนนี้ทีเพราะแม่เลี้ยงไม่ไหว ทีนี้เวลาไม่พอใจอะไรแม่จะทุบตีผมประจำ ผลร้ายที่เกิดคือ ผมจะหนีจากบ้านก็ไม่ได้เพราะไม่รู้จะไปไหนเพราะไม่มีใครชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิตให้ แถมตัวก็นิดเดียว แค่ 6-7 ขวบ ครั้นอยู่ก็ถูกทุบตีทำร้าย มันจึงเหมือนตกนรก อารมณ์ความรู้สึกตอนนั้น คุณดูหนังเรื่อง psycho แล้วจะเข้าใจ”
“โฮ้” ผมร้อง “หนัง ไซโค แบบจะฆ่าแม่ตัวเองน่ะหรือลุง”
“ฮ้ายย” ลุงวิชญ์สะดุ้ง พลางร้อง “ม่ายช้ายย ใครจะเสียสติฆ่าแม่ตัวเอง ผมหมายถึงคนที่ถูกทุบตีตอนเด็ก มีแววว่าโตขึ้นอาจเป็นฆาตกรแบบตัวละครในหนังเรื่องไซโค โดยทำลงไปแบบลืมตัว ช่วงนั้นใครทำร้ายผม หรือทำร้ายเด็ก ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ วูบหนึ่งผมอยากโดดถีบ แต่โชคดีที่ผมเป็นคนขี้ขลาด ผมกลัวติดคุกติดตะราง กลัวถูกจับไปขัง กลัวไม่ได้มีชีวิตที่ดีตามที่แอบวาดฝันไว้ ผมจึงหาทางหลีกเลี่ยงเวลาใครมาหาเรื่อง และคอยสะกดเก็บความรู้สึกที่ตัวเองเหมือนคนด้อยค่าไว้ในใจ เลยรอดมาได้ แต่ก็อึดอัดอย่างที่สุด”
“ตรงนี้ผมชักงง” ผมพูด “ด้อยค่ายังไง เอางี้ ข้ามไปตรง “ผลดี” เลยเหอะ กระเซอะกระเซิงซะขนาดนั้นมันมีคำว่า “เรื่องดี” แทรกอยู่ด้วยหรือ”
“มี” ลุงวิชญ์ตอบ “และตรงนี้แหละที่เกี่ยวโยงถึงคุณ ถึงหนูนัฏฐา และคุณพ่อคุณ”
“ฮ้า จริงหรือ” ผมแทบช็อค อยู่ๆก็จะได้คำตอบเรื่องนัฏฐา “เกี่ยวยังไง”
“ยิ่งลำบากยากแค้น อดมื้อกินมื้อ และถูกทุบตีทำร้าย มากขนาดไหน” ลุงวิชญ์ว่า “คนเราก็ยิ่งอยากหนีให้พ้นสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น นี่คือ “ผลดี” ที่ผมพูดถึง มันคือแรงผลักดันที่ทำให้เรามีแรงในการเสาะหาสิ่งดีๆให้ตัวเอง หาความเจริญก้าวหน้าให้ครอบครัว ให้ธุรกิจของตัว
ผมฟังนิ่งอึ้ง พอจะมองเห็นคำตอบลางๆเกี่ยวกับณัฏฐากับผมแล้ว ว่าควรลงเอยอย่างไร
“นี่คือข้อสรุปสำหรับผม นัฏฐา แล้วก็พ่อแม่หรือเปล่าลุง” ผมถาม “คือผมต้องตามใจพ่อแม่ เพราะท่านเคยผิดหวังเคยลำบากทุกข์ยาก ท่านควรจะสมหวัง”
“จะว่าใช่ก็ได้” ลุงวิชญ์ตอบง่ายๆ ซึ่งทำเอาผมถึงกับห่อเหี่ยว “แต่ถ้ายังเคลือบแคลงสงสัย ไม่แน่ใจ ไม่ชัดเจน คุณอยากฟังต่อ ผมก็ยินดีเล่า”
“ที่จริงมันก็ชัดอยู่” ผมว่า “แต่ถ้าเรื่องลุงมีอีก ผมก็อยากฟังให้จบ จะได้ตัดสินใจไม่ผิดพลาด”
ลุงวิชญ์พยักหน้า แล้วกระแอมกระไอ จากนั้นก็ร่ายยาว
“แรงผลักดันทั้งหลาย มันทำให้เราอยากเจอคนดีๆที่คอยชี้นำทางที่ถูกที่ควรให้” ลุงวิชญ์เล่า “อยากร่ำรวยสุขสบาย มีบ้าน มีรถ มีแฟน อยากมีทุกอย่างทัดหน้าเทียมตาคนอื่น อยากได้ขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวประเทศที่ในหนังสือบอกว่าเป็นประเทศที่เจริญแล้วผู้คนเป็นผู้ดีมีความรู้และร่ำรวยสวยสง่า เช่นอังกฤษ อเมริกา โดยเฉพาะอังกฤษที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ตะวันไม่ตกดิน ความอยากนี้มันท่วมท้นล้นอก แต่จำต้องสะกดเก็บไว้เพราะไม่รู้ต้องทำอย่างไรถึงจะมีทุกอย่างตามที่ใจปรารถนาได้ ผมชดเชยความใฝ่ฝันลมๆแล้งๆที่ไม่มีวันเป็นจริงด้วยการเรียนและเรียน อย่างน้อยคะแนนดีๆก็ช่วยชดเชยความอ่อนด้อยและขาดแคลนทุกอย่างลงได้บ้าง”
“การเรียนเป็นเรื่องดีลุง” ผมออกความเห็น “ยังไงลุงก็จะไม่เหนื่อยเปล่า”
“ใช่ มันดีแน่” ลุงวิชญ์ตอบ “ผมจบม.ต้นจากต่างจังหวัดด้วยอาการทุลักทุเล จากนั้นก็กระเซอะกระเซิงเข้ากรุงเทพฯ มาอาศัยญาติคนนั้นคนนี้ หางานทำพร้อมกับเรียนกวดวิชาชั้นม.ปลาย การอาศัยคนอื่นมันคือการเบียดเบียน แต่ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ทนฟังเขาด่าพ่อแม่ผมข้ามหัว ว่ามาสร้างความเดือดร้อนให้เขา ซึ่งมันจริงทุกอย่าง ผมพยายามสอบเทียบม.ปลายโดยไม่เข้าเรียนที่ไหน พอสอบได้ผมก็หลุดเข้าไปเป็นพนักงานหน่วยงานของรัฐ ทำงานเป็นกะ พอได้เงินเดือนเดือนแรก ผมก็ไปเช่าบ้านที่สลัมบ่อนไก่ นอนในดงน้ำครำ ไม่มีทางเลือกเพราะห้องดีๆแพงๆผมไม่มีปัญญาจ่าย จากนั้นก็ไปสนามหลวง ซื้อตำราแนะแนวการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทำงานไปอ่านตำราไป ในที่สุดก็สอบเข้าเรียนภาคค่ำมหาวิทยาลัยแถวสามย่านได้ แล้วทำงานพร้อมกับเรียน แต่ละวันแทบไม่ได้นอน สภาพความเหนื่อยล้าช่วงนี้มันตามหลอกหลอนผมเป็นสิบปี ถ้าคุณภูมิอดนอนและต้องทำงานตลอดเวลาซ้ำๆๆๆ ปีแล้วปีเล่า คุณจะเข้าใจถึงความทุกข์ทรมาน”
“ผมเข้าใจ” ผมรีบยืนยันเพราะปัจจุบันผมลุยงานจนบางครั้งไม่ได้นอนหลายวัน
“หลังเรียนจบ” ลุงเล่าต่อ “ผมย้ายมาทำอีกแห่ง เป็นหน่วยงานของรัฐเหมือนกัน แต่ในที่สุดก็ลาออก ไปทำงานอิสระ เพราะผมมีความสามารถพิเศษในงานชนิดหนึ่งซึ่งทำเงินได้มากกว่าเงินเดือนที่เดิม 8 เท่า และทันทีที่ทดสอบว่างานอิสระที่ผมลาออกมาทำ ผู้ว่าจ้างสามารถยืนหยัดเป็นแหล่งรายรับระยะยาวให้ได้ ผมก็ซื้อบ้าน และแต่งงาน มีลูก 2 คน พอมีลูก ภาพความทุกข์ยากสมัยเด็กก็ผุดขึ้น ผมตัดสินใจตัดวงจรอุบาทว์อันเกิดจากการเห็นแก่ตัวของหัวหน้าครอบครัว ผมจะไม่ยอมให้ลูกๆต้องมีชีวิตที่เดือดร้อนซมซานเหมือนผม พวกเขาต้องยืนหยัดทำมาหากินช่วยตัวเองได้อย่างมั่นคง และทั้งหมดจะเกิดได้ พวกเขาต้องมีอุปกรณ์ในการทำกิน และด้วย 2 มือเปล่าๆ ไม่มีงานประจำ ไม่มีเงินเดือน มีแต่ทักษะในงานอาชีพชนิดหนึ่งคล้ายพวกช่างฝีมือ ผมตัดสินใจ ทุ่มเทรายได้ทั้งหมด เดือนละแสนห้าถึงแสนแปด ส่งลูก 2 เรียนโรงเรียนนานาชาติ”
“ฮ้าย” ผมร้องลั่น “ลุงสติดีหรือเปล่า ลุงบังคับตัวเองที่มีอยู่แรงเดียวให้หาเงินเดือนละเกือบ 2 แสนต่อเนื่องเป็นปีๆ ลุงทำไปได้ยังไง พลาดท่าเส้นประสาทแตกตาย ลูกๆลุงตกนรกเดือดร้อนกันทั้งบ้านเลยนะนั่น”
“ผมทั้งยอมเอาอนาคตลูกๆมาเสี่ยง” ลุงวิชญ์พูด “โดยมีตัวบ่งชี้อย่างเดียวว่าทุกอย่างจะสำเร็จ คือความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง และทั้งยอมสละได้แม้ชีวิต เพราะการหาเงินเดือนละขนาดนั้น ยาวเป็นสิบปี มันคือการฆ่าตัวตายจริงอย่างคุณว่า ทั้งหมดก็เพื่อยุติวงจรอุบาทว์ที่มีแต่การดิ้นรนและความยากไร้อันมีสาเหตุมาจากความเห็นแก่ตัวของหัวหน้าครอบครัวลงให้หมดสิ้น สิ่งเลวร้ายต้องจบที่รุ่นผม ลูกๆต้องไม่เจออย่างผม”
“แล้วถ้าทั้งมุ่งมั่นและตั้งใจจริง แล้วมันก็ยังไม่สำเร็จล่ะ”
“ก็ให้ลูกมาเรียนระบบปกติ” ลุงวิชญ์ตอบ “อาจมีขลุกขลัก แต่การให้เรียนระบบปกติที่พอจบได้เงินเดือนพอเฉพาะค่ากินไม่พอผ่อนบ้านผ่อนรถ กับการให้ออกจากโรงเรียนนานาชาติเพื่อมาเข้าระบบปกติ ชีวิตมันสาหัสพอกัน แต่ถ้าเสี่ยงโดยเอาชีวิตผมเป็นเดิมพัน โอกาสรอดเพื่อไปเจออนาคตที่ราบรื่นมันมีทางเป็นไปได้”
ผมพูดไม่ออก เหตุการณ์เลวร้ายในอดีตมีผลต่อการตัดสินใจของลุงวิชญ์สูงมากและอาจมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของพ่อผมด้วย
“ลุงทำเพื่อลบภาพความยากลำบาก” ผมถามในที่สุด “กับเพื่อให้ชีวิตที่ดีกับลูก สองอย่างเท่านี้หรือ”
“ใช่”
“แล้วลุงเจออะไรบ้าง”
“สิ่งที่โถมเข้าใส่ผม” ลุงวิชญ์พูด “จากที่เมื่อก่อนผมเคยโกรธพ่อที่ทิ้งครอบครัวไป การณ์กลายเป็นว่ามันกลับทำให้ผมเห็นใจคนเป็นพ่อที่ทิ้งครอบครัวไปแสวงหาความสุขใส่ตัวตามลำพัง”
“ฮื้อย” ผมผวาเฮือก จ้องหน้า “ตกลงยังไง จะแค้นหรือจะเห็นใจ เอาให้แน่ ผมงง”
“การจะมีรายรับเดือนละแสนห้าแสนแปด” ลุงวิชญ์ต่อ “สำหรับมือรับจ้างที่ทำงานเป็นชิ้นแบบผมต้องโหมงานทั้งวันทั้งคืน ทุกวัน ไม่มีวันหยุด ทำจนฟุบหลับคางาน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมเงินเป็นแสนๆที่รับมาไม่มีโอกาสได้ใช้เพราะต้องจ่ายค่าเรียนลูกหมด ในฐานะมนุษย์ปุถุชนที่มีเหนื่อยมีล้าแต่หยุดไม่ได้ ในฐานะคนธรรมดาที่มีกิเลสตัณหาต้องการสำเริงสำราญกับเงินที่หามาอย่างเหนื่อยยากแต่ทำไม่ได้ คุณคิดว่ามันหนักเกินเหตุไปมั้ย”
“เกิน” ผมตอบ “ปีสองปียังพอไหว แต่ยาวเป็นสิบปี อย่างที่ผมบอก ต้องคนสติไม่ดีเท่านั้น”
“ผมถึงได้บอกว่าเห็นใจคนเป็นพ่อทุกคนที่ทิ้งครอบครัว” ลุงวิชญ์พูด ฟังดูก็รู้ว่ากำลังประชด “เพราะมันยากลำบากชนิดที่ผมไม่แนะนำให้หัวหน้าครอบครัวคนไหนในโลกเสียสละบ้าเลือดแบบผม”
“แล้วในที่สุดลูกๆลุงเรียนกันจบมั้ย”
“จบ” ลุงวิชญ์ตอบ “แม้ไม่สมบูรณ์แบบเพราะผมหมดแรงเสียก่อน แต่ลูกๆเขาสู้กันต่อ จนเรียนจบทั้งคู่ วันที่ลูกรับปริญญา ผมแอบไปยืนจุกในอกที่ข้างอาคารรับปริญญา มันเป็นอาการจุกที่เกิดจากความปลาบปลื้ม”
“เป็นใครก็ต้องปลื้ม” ผมว่า “ถึงไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็นับว่าลุงเจ๋งมาก”
“ตอนแรกผมคิดว่าวันรับปริญญาของลูกเป็นวันที่ผมดีใจที่สุด” ลุงวิชญ์พูด “แต่ยังมีวันที่ผมดีใจยิ่งกว่านั้น นั่นคือวันที่ลูกคนโตได้ไปอังกฤษ”
“ฮ้า” ผมร้อง “ประเทศที่ลุงใฝ่ฝันถึงน่ะหรือ”
“ใช่ ผมตื่นเต้นจนสั่น ไม่อยากเชื่อว่าครอบครัวกระจอกงอกง่อยอย่างเราจะได้ไปถึงประเทศที่เจริญที่สุดในโลก แถมค่าครองชีพสูงที่สุด ต่อมาลูกชายได้ไปเรียนปริญญาโทอีกคน ผมยิ่งสั่นหนัก มันยิ่งกว่าฝันไป”
“เจ๋งมาก เจ๋งสุดๆ”
“แต่ทั้งหมด ยังแพ้วันที่ผมรู้ว่าผมจะได้ไปประเทศอังกฤษกับเขาบ้าง”
“โฮ้ จริงหรือลุง”
“จริ๊ง” ลุงวิชญ์ยิ้มปลื้ม ร่องรอยความยินดีปรีดากับเหตุการณ์ในอดีต ปรากฏชัดเจน “มันคือความสมหวังชนิดที่ผมเกือบลืมเรื่องความเลวร้ายช่วงวัยเด็กจนหมด และผมเชื่อว่าคุณพ่อคุณก็จะสามารถลบภาพการสูญเสียในวันก่อนๆได้เช่นกัน หากกิจการท่านเจริญก้าวหน้าตามที่ท่านตั้งความหวังไว้”
ผมนิ่งอึ้ง ถึงลุงวิชญ์ไม่บอกตรงๆแต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่า ลุงแกกำลังแนะให้ผมเลิกกับนัฏฐา
ผมจะทำได้ยังไง ในเมื่อผมเพิ่งบอกณัฏฐาว่าผมชอบเธอ
*********************
โฆษณา