30 มิ.ย. 2021 เวลา 01:21 • หุ้น & เศรษฐกิจ
รีวิวกองทุน K-CHANGE การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกเพื่อโลกของเรา
[รีวิวกองทุน Positive Impact Theme ลงทุนใน Baillie Gifford WW Positive Change Fund]
🌱เราสามารถหาบริษัทที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มค่าพร้อมกับสังคมได้ประโยชน์จากมันได้ไหม?
🌱ประโยคนี้จุดประกายผู้จัดการกองทุน อย่าง Kate Fox หัวหน้าทีม Baillie Gifford Worldwide Positive Change Fund ซึ่งประกอบเป็นทีมขนาดเล็ก และมีประสบการณ์หลากหลายมารวมตัวกัน ตั้งเป้าเฟ้นหาหุ้นเติบโต มีความสามารถในการแข่งขันสูง สร้างธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ หรือการบริการ ที่ช่วยให้โลกของเราดีขึ้น หรือเป็นที่มาของคำว่า Positive Change ที่สอดคล้องกับเป้าหมาย
1. ทำผลตอบแทนให้มากกว่า average global investment 2% (MSCI ACWI +2%) และ
2. สร้างผลกระทบเชิงบวก ช่วยให้โลกมีความยั่งยืนมากขึ้น
🌱โดยทีมได้เน้นการเข้าถึง 4 ความท้าทาย หรือ 4 Impact Theme ในเรื่องดังต่อไปนี้
1. ความเท่าเทียมกันทางสังคม
2. สิ่งแวดล้อมและทรัพยากร
3. สุขภาพและคุณภาพชีวิต
4. การเข้าถึงเทคโนโลยีด้วยความเท่าเทียม ได้ทุกระดับชั้น
การคัดเลือกหุ้นและจัดพอร์ทการลงทุน เริ่มจากทีมได้คัดเลือกหุ้นที่มี ทีม analyst เดียวกับทีม Long Term Global Growth ทีมนำหุ้นมาสกรีน และทำการวิเคราะห์หุ้นแบบ Bottom Up เพื่อเฟ้นหุ้นรายตัว รวบรวมไอเดียมาวิเคราะห์ต่อโดยผู้เชี่ยวชาญ
⭐จากนั้นใช้ 6 framework ในการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ว่าหุ้นหรือบริษัทที่เลือกมานั้นมีพื้นฐานดี ตรงกับวัตถุประสงค์หรือไม่
1. บริษัทนี้กำลังแก้ความท้าทายในเรื่องอะไร
2. บริษัทนี้สามารถหาทางออกที่ยั่งยื่น หรือดีกว่าบริษัทอื่นอย่างไร หรือเป็นไม่เกิดความแตกต่างเลย
3. มีทีมบริหารที่ตั้งใจและมุ่งมั่นหรือไม่
4. บริษัทมีการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไร
5. มีโอกาสเยอะแค่ไหนที่บริษัทจะสร้างกำไรและคงความได้เปรียบอยู่ได้
6. ธุรกิจที่กำลังทำอยู่จะให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดหรือไม่
⭐ต่อจากนั้น หุ้นที่ผ่านการกรองจะทำไปวิเคราะห์ Impact Analysis ในมุม Intent, Business Practice และ Product Impact ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ให้ scoring บริษัทที่ผ่านการกรองเข้ามาว่าสามารถตอบโจทย์ Positive Change ได้หรือไม่
⭐ทีมของ Kate Fox จะรวบรวมข้อมูล และสรุปกับทีมงานว่าหุ้นตัวไหนควรอยู่ใน Port ออกมาเป็นพอร์ทกองทุน High Conviction ที่มีหุ้นเพียง 25-30 ตัว เพื่อให้แสดงผลงาน positive impact ได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามการจัดกองทุนในลักษณะนี้ถือว่าไม่ได้มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีสักเท่าไหร่นัก แต่สำหรับ Thematic fund ต้องการสร้างผลตอบแทนเหลือตลาดให้ได้ เวลาคือเครื่องพิสูจน์ Positive Change Strategy นี้เอง
อนึ่ง การปรับพอร์ทของ Baillie Gifford Worldwide Positive Change นั้นจะทำไม่เกิน 20% ของมูลค่าพอร์ททั้งหมดในรอบ 1 ปี คือไม่มีการสับหุ้นเข้าออกบ่อยนั้นเอง (Portfoilo Turnover <20%)
🌱ผลลัพธ์ที่ได้จากการเฟ้นหุ้น คือพอร์ทที่กระจายไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม Health Care, IT, Consumer Discretionary และ Materials กว่าสิบประเทศทั่วโลก
🎯ผลตอบแทนของกองทุนในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ทำได้ 79.3% เทียบกับ MSCI ACWI TRI ที่ 39.6% (ช่วงเวลา 31/3/20-31/3/21) ซึ่งทำได้ดีทีเดียว สูงกว่าเป้าที่วางไว้ คือเอาชนะ MSCI ACWI ได้ปีละ 2% (42.4%)
กองทุนนี้เป็นกองทุนหลักของ K-CHANGE-A(A)
และรูปแบบกองทุนลดหย่อนภาษี K-CHANGE-SSF และ K-CHANGE-RMF
บริหารงานโดย บลจ.กสิกรไทย
⭐ความเห็นของ #เด็กการเงิน เนื่องจากเราศึกษาและติดตามกองทุนนี้เป็นอย่างดี เรามีความชอบในการลงทุนระยะยาว และแนวคิดของทีม Positive Change ว่าธุรกิจกับโลก สามารถไปด้วยกันได้ โดยแนะนำให้เป็น Satellite Portfolio มี สัดส่วน Thematic Fund 10-20% โดยกองทุนมีความคล้ายคลึงกับกลุ่ม Health Technology และ Disruption Technology
 
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของความเสี่ยง กองทุนมีความผันผวน จากความที่เป็น High Conviction Portfolio มีความกระจุกตัว ประกอบด้วยหุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็ก-กลาง เป็นจำนวนมาก จึงไม่เหมาะกับการลงทุนระยะสั้นเพื่อเก็งกำไร และแนะนำให้ถือกองทุนอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป และติดตามการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเดือนละ 1 ครั้ง
❤เราขอปิดท้ายด้วยบทความจาก INVESTING FOR A POSITIVE IMPACT ที่จะทำให้คุณเข้าใจกองทุน Positive Change มากขึ้นนะ
“ตั้งแต่ทำงานดูแลเรื่องการลงทุนมา กองทุน Positive Change นี่สนุกที่สุดแล้ว” Kate Fox กล่าว เราไม่ใช่เพียงช่วยให้คนลงทุนให้เงินงอกเงยแต่ยังทำให้เงินมันลงทุนในสิ่งที่รับผิดชอบ ให้นวัตกรรม แก้ปัญหาและทำให้โลกยั่งยืนได้อีกด้วย
"เราสามารถหาบริษัทที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มค่าพร้อมกับสังคมได้ประโยชน์จากมันได้ไหม?" คำตอบอาจจะถูกซ่อนอยู่ในสองเป้าหมายของ Baillie Gifford’s Positive Change Fund ซึ่งตั้งเป้าทำผลตอบแทนให้มากกว่า average global investment 2% (MSCI ACWI +2%) และยังช่วยให้โลกมีความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งสองเป้าหมายมีความสำคัญพอๆกัน
Kate Fox กล่าวว่า เป้าหมายของ Positive Change คือการวิเคราะห์และติดตามผลของ Impact (ผลกระทบเชิงบวกและลบของสิ่งที่ลงทุนไป) ซึ่งเรารู้ดีว่าไม่มีบริษัทไหนที่ perfect 100%
"สมมติว่าเราเลือกบริษัทแฟชั่นที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะทำให้เกิดโอกาสในการลงทุนได้อย่างมากมาย" แต่การทำเสื้อใหม่ 1 ตัวนั้น มันทำให้ต้องใช้น้ำ และสร้างมลภาวะกับโลกมากกว่าอุตสาหกรรมการบินและเรือเสียอีก "บริษัทนั้นจะต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต้องเสื้อผ้า ออกแบบให้มันอยู่ได้นานขึ้น คิดว่ามันรีไซเคิลได้ และต้องบอกลูกค้าให้ทำแบบนั้นด้วย" Fox เสริมด้วยว่า กองทุนจะไม่ลงทุนกับอุตสาหกรรมที่ทำลายสิ่งแวดล้อมเด็ดขาด
"เราต้องการกระบวนการวิเคราะห์ Positive Impact ที่ใช้กับบริษัทที่ต่างๆกันได้ แม้ว่ากระบวนการจะทำให้ออกมาจับต้องได้ยาก แต่เราต้องให้ความสำคัญ เพราะว่ากองทุนนี้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะติดตามการเปลี่ยนแปลงได้จริง (real change) และดึงดูดให้คนมาลงทุนแบบ Impact Investing มากขึ้น" (คือลงทุนแล้วช่วยสังคมไปได้ด้วย)
การลงทุนที่มีเรื่องของธุรกิจและมีส่วนช่วยโลก หลายๆคนอาจจะนึกถึง solar power "โอ้ มันใช่เลย ให้ประโยชน์ในสิ่งแวดล้อมด้วย แต่เราไม่สามารถหาบริษัทไหนเลยที่สามารถให้ความสามารถในการแข่งขันที่สูงพอ และให้กำไรอย่างสม่ำเสมอได้"
""เรามองหาธุรกิจที่ให้ศักยภาพเติบโตเป็นสองเท่าในห้าปี และมีโอกาสต่อจากนั้นอีก และเราก็นำเรื่องของ product มาพิจารณาต่อไปอีก 2-3 ด้าน คือ พวกเค้ามีความปรารถนาที่จะทำให้เกิด positive change จริงไหม และวิธีการจัดการธุรกิจก็เป็นเช่นนั้นต่อไปได้หรือไม่
ในอุตสาหกรรมHealthcare Fox ได้พูดถึง บ. DexCom ที่เปลี่ยนชีวิตของคนที่เป็นโรคเบาหวานโดนการติดตามผ่าน fingerstick tests คือทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งโรคเบาหวานเป็นเรื่องใหญ่และกำลังหนักขึ้นทุกวัน คนกว่า 460 ล้านคนทั่วโลกทุกข์ทนกับโรคดังกล่าว สำหรับบริษัทที่ผ่านการพิจารณา Positive Change แล้ว ไม่ใช่เพียงแต่ Mission Statement ของบริษัท แต่ต้องไปดูถึงการกระทำและโครงสร้างบริษัทว่าเป็นไปได้หรือไม่ เช่น Dexcom ยังคงทำ R&D ต่อไปและมุ่งมั่นที่จะทำให้ product เข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
1
อีกหลายตัวอย่างที่เป็น Impact Investing คือ Tesla ที่ไม่ได้ลงทุนเพื่อให้ทุกอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ยังมุ่งเน้นทำให้สินค้ามีต้นทุนถูกลง พร้อมกับความท้าทายในเรื่องแหล่งกักเก็บพลังงานและเปิด patent ให้กับอุตสาหกรรมทำตามได้มากขึ้น
เจ้าของGoogle และ Youtube อย่าง Alphabet ลดความเหลื่อมล้ำของคนทั่วไปอย่างมหาศาลแล้วยังมุ่งเน้นทำให้ชีวิตคนนับล้านสะดวกสบายขึ้นอีกด้วย
Kate Fox กล่าวว่า "นักวิเคราะห์ของ Baillie Gifford อาจจะใช้เวลาส่วนมากในการวิเคราะห์หุ้น superstar อย่าง Amazon และ Tesla ซึ่งมันก็ใช่นะ เพราะงานของพวกเค้าต้องการรู้ว่าบริษัทอะไรบ้างจะประสบความสำเร็จ
ซึ่งรายชื่อของบริษัทที่จะประสบความสำเร็จเหล่านี้ นำข้อมูลไปใช้ต่อกับทีม Positive Change ซึ่งนำไปวิเคราะห์ในเชิง Impact เป็นหลัก ซึ่งเราใช้เวลากับมันมากกว่านั้นมาก ซึ่งอาจจะเป็นเดือน หรือบางทีเป็นปีเลยนะ (กว่าจะได้หุ้นสัก 1 ตัว ที่เหมาะสม)"
1
Reference:
-Positive Change Strategy Philosophy and Process
-INVESTING FOR A POSITIVE IMPACT
from Baillie Gifford Fund Website
โฆษณา