ผมไม่ได้หวังจะเรียกร้องอะไรนะ แต่ผมขอแค่…….
จากอุบัติเหตุเมื่อวันอาทิตย์หลังจากส่งคนเจ็บเข้ารักษาตัวก็ถึงเวลาคุยเรื่องค่าเสียหาย ก่อนคุยกันตำรวจได้บอกกับพ่อเด็กด้วยประโยคให้เขาฉุดคิดว่า ลูกของคุณผิดนะปั่นจักรยานตัดหน้ารถ แค่กฎหมายให้คุณเป็นฝ่ายถูกจะเรียกค่าเสียหายอะไรก็คิดหน่อย
เริ่มต้นก็อยู่ในสถานะการณ์ไม่มีใครกว่าเรียกร้องตามความต้องการของตัวเอง ผมจึงเริ่มเปิดบทสนทนาด้วย “ทางพ่อกับแม่น้องมีข้อเสนอยังไงไหมครับ” ประโยคแรกที่ออกจากปากของพ่อเด็กพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ชัดถ่อยชัดคำว่า “ผมไม่ได้จะเรียกร้องอะไร แต่ผมขอแค่รถจักรยานคันใหม่ราคา3500เเละค่าทำขวัญให้น้องแค่นั้น”
ความสงสัยเกิดขึ้นในหัวของผมทันทีว่า เขาไม่เข้าใจจริงๆหรือว่าลูกเขาผิด หรือถ้าเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าลูกเขาผิด แล้วทำไมเขากล้ายังเรียกร้องค่าเสียมากมายได้ขนาดนี้
ผมจึงเริ่มการต่อรองด้วยการทบทวนให้พ่อและแม่ของเด็กฟังอีกรอบอย่าใจเย็นว่า ตามความเป็นจริงแล้วน้องผิดที่ปั่นจักรยานข้ามถนนไม่ระวังรถ แต่กฎหมายบังคับให้ฝ่ายผมผิดเท่านั้นเอง ฝ่ายคุณเลยไม่ต้องรับผิดใดๆ และในวันเกิดเหตุเรายอมรับผิดเพื่อให้น้องได้รับการรักษาและไม่เสียค่าใช้จ่ายจากพรบ.ในราคาหนึ่งหมื่นสามพันบาทไปแล้วเราเยี่ยวยาให้ฝ่ายคุณทั้งๆที่ไม่ใช่ความประมาทของเราและก็ไม่ใช่ความผิดของเรา
ผมได้เสนอทางออกที่คิดว่าเหมาะสมกับเหตุการครั้งนี้และขอความเห็นใจด้วยการเสนอให้นำค่าเสียหายทั้งหมดมาคำนวณแล้วแบ่งกันชดใช้ค่าเสียหายคนละครึ่งด้วยเหตุผลว่า ความผิดมาจากเด็กคุณก็ควรมีความรับผิดชอบในเรื่องด้วยเช่นกัน แต่กฎหมายเข้าข้างคุณเราก็ยกผลประโยชน์ตรงนี้ให้ด้วยการจ่ายเองอีกครึ่งนึง
พ่อและแม่ของเด็กหันหน้าปรึษากันอย่างตึงเครียดจนได้ตอบผมกลับมา”เนื่องจากค่าซ่อมรถมีราคาสูงกว่าจักรยานมากอาจจะไม่คุ้มเสียที่จะรับผิดชอบค่าเสียหายคนละครึ่ง และลูกของเราก็เจ็บตัวแบบนี้ผมรับข้อเสนอนี้ไม่ได้” สถานะการณ์เริ่มตึงเครียดกว่าเดิมแต่ผมจึงตอบกลับไปว่า”ทางเราก็มีคนเจ็บเหมือนกันและก็ไม่ใช่ความผิดของเรา”พร้อมยังยืนยังข้อเสนอเดิมคือชดใช่ค่าเสียหายคนละครึ่งตามที่กล่าวไปก่อนนั้น
ไม่นานนั้นมีตำรวจนายหนึ่งอายุประมาณห้าปีผมสั้นสีขาวพุงยืด ซึ่งไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแค่ออกมาสูบบุหรี่ ได้เข้ามาสอดแทรกการสนทนาของผมเเละคู่กรณีว่า”ใครผิดก็ต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย จะมาต่อรองทำไมใครถูกก็เรียกค่าเสียหายตามสมควรได้เลย ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็คงต้องให้ศาสพิจารณา แต่เด็กกับผู้ใหญ่ยังไงศาลก็เข้าข้างเด็ก เด็กทำอะไรไม่ค่อยผิดหรอก” ผมจึงบอกตำรวจนายนี้ไปว่าเราขอคุยเป็นการส่วนตัวนะครับ เขาจึงเดินถอยไป
ทันใดนั้นชายผู้เป็นพ่อที่พูดไม่ชัดถ่อยชัดคำและดูสุภาพในทีเเรกนั้นได้หายไป กลายเป็นชายที่มีความมั่นใจและท่าทีใส่อารมณ์แสดงความก้าวร้าวผ่านน้ำเสียงออกมาว่า “ผมไม่ได้หวังจะเรียกอะไรมากหรอกนะ แค่ชดใช้จักรยานให้ลูกผมและค่าทำขวัญแค่นี่เอง!! ”
ผมคิดอยู่ในหัวว่า ทั้งๆที่เขารู้อยู่แก่ใจว่าลูกชายของเขานั้นผิด แต่ทำไมชายคนนี้ยังกล้าเรียกร้องให้ผมชดใช้อยู่อีก เขาขาดสามัญนึกหรือขาดความรับผิดชอบ และที่พูดว่าไม่ได้หวังอะไร แต่เรียกร้องผมได้มากมายอย่าไม่ละอายใจ เพียงแค่กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเข้าข้างเขาแค่นั้นหรือ
ดูจากสถาะการณ์ยิ่งแย่ลงกว่าเก่า ผมยังคงท่าทีใจเย็นแล้วต่อรองไปอีกครั้ง ว่า”เราต่างคนต่างรับผิดชอบของตน แล้วจบกันแค่นี้ ผมรับผิดชอบในความผิดที่ฝ่ายผมไม่ได้เป็นต้นเหตุได้แค่นี่จริงๆ”
แม่ของเด็กจึงได้เดินออกไปโทรศัพย์ปรึกษาญาติที่เป็นตำรวจซึ่งได้คำตอบกลับมา เหมือนที่ตำรวจเจ้าของคดีได้กล่าวไว้ว่า ลูกชายเขานั้นผิด แค่กฎหมายให้ถูก จะเรียกร้องอะไรคิดก่อน
ในขณะที่ผมกับพ่อของเด็กยังคงตกลงกันได้ไม่ลงตัวผมเสนอให้หนึ่งพันบาทเป็นค่าขนมให้เด็กชายแต่ไม่ชดใช้ซื้อจักรยานให้ แม่ของเด็กชายเดินกลับมาพร้อมกับแม่ของผมพร้อมกับได้ข้อตกลงจึงสรุปได้ว่า เราต่างรับผิดชอบค่าทำขวัญนั้นนำไปจ่ายค่าปรับข้อหาขับรถโดยประมาทเพื่อแลกกับค่ารับษาพยาบาล ที่พ่อและแม่เด็กชายไม่ต้องเสีย
ชายผู้เป็นพ่อคงเสียหน้าเป็นอย่างมากที่ข้อเรียกร้องของตัวเองถูกปัดตกไปและไม่ได้รับค่าชดเชยตามที่เขาคิดไว้ตั้งแต่แรก และเดินกลับไปขึ้นรถกระบะของเขาด้วยท่าทีหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
หลังจากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมได้เห็นพฤติกรรมของมนุษย์ที่พยายามฉาบหน้าว่าตัวเองเป็นคนดีไม่ได้หวังจะเรียกร้องอะไร รับรู้ความเป็นจริงอยู่เต็มอก แต่การกระทำกลับสวนทางกับสิ่งที่เขาพูดออกมา ผมตอบข้อสงสัยกับตัวเองได้ในทันทีว่าชายคนนี้ ขาดสามัญสำนึกพื้นฐาน ขาดความรับผิดชอบ และปัดปัญหาที่ลูกชายของเขานั้นกระทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนได้อย่างไม่ละอาย เพียงเพราะมีแรงสนับสนุน หวังว่าลูกชายของเขาจะโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีกว่าเขาในอนาคต