"ไทยเอ็นวีดีอาร์" ชื่อนี้คือใครกัน ?
คิดว่านักลงทุนหลายๆท่าน โดยเฉพาะนักลงทุนมือใหม่ คงเคยมีประสบการณ์ของการเข้าไปดูข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่กันมาบ้าง
และคงจะมีไม่น้อยที่บริษัทฯที่เราสนใจส่วนใหญ่ก็จะมีชื่อบริษัทหนึ่งอยู่เป็นรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรกเสมอ ที่ชื่อว่า“บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด”
ซึ่งก็คงจะอดสงสัยไม่ได้เลยว่าบริษัทฯนี้ทำอะไร ? ทำไมถึงมีชื่ออยู่ในผู้ถือหุ้นรายใหญ่เยอะขนาดนี้กัน ?
วันนี้เราจะไปทำความเข้าใจกันไปพร้อมๆกัน
บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด หรืออีกชื่อที่คนส่วนใหญ่ใช้เรียกกันคือ “NVDR” เป็นบริษัทที่จัดตั้งโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีจุดประสงค์หลักคือ เพื่อกระตุ้นการลงทุนและเป็นอีกหนึ่งช่องทางการลงทุนให้กับนักลงทุนต่างชาติที่สนใจจะลงทุนหุ้นในประเทศไทย
NVDR มีชื่อเต็มๆว่า "Non-Voting Depository Receipt" แปลตรงๆว่า ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงให้กับผู้ลงทุน (อ้างอิงข้อมูล จาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)
ยกตัวอย่างแบบง่ายๆ คือ ถ้านักลงทุนชาวต่างชาติอยากซื้อหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหุ้นของไทย บริษัทฯก็จะเป็นคนออกตราสารให้ก่อนแล้วจึงจะเข้าไปซื้อและถือหุ้นตัวนั้นๆต่ออีกที
โดยที่เขาจะมีสิทธิในการได้รับผลประโยชน์จากหุ้นที่ซื้อไปเหมือนกับเวลาที่พวกเรานักลงทุนทำการซื้อ-ขายหุ้นกันปกติในตลาดหลักทรัพย์ เช่น กำไรส่วนต่างของราคา เงินปันผล หรือสิทธิในการซื้อหุ้นที่มีการเพิ่มทุน เป็นต้น
แต่จะมีข้อแตกต่างกันตรงที่ สิทธิของ NVDR นั้นจะไม่มีสิทธิในการออกเสียงหรือลงคะแนนใดๆในการประชุมผู้ถือหุ้น
อย่างไรก็ตาม การลงทุนผ่านเอ็นวีดีอาร์ ก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นักลงทุนชาวต่างชาติเท่านั้น ซึ่งพวกเราที่เป็นนักลงทุนชาวไทยเองก็สามารถเข้าไปลงทุนได้เช่นกัน แต่ก็จะไม่ได้สิทธิในการออกเสียงเหมือนกับทางนักลงทุนต่างชาตินั้นเอง
และก็คงจะมีคนไม่น้อยที่อาจสงสัยว่า แล้วทำไมนักลงทุนต่างชาติถึงไม่เข้ามาซื้อหุ้นเองเลยละ ?
คำตอบคือ เพราะในกฎหมายไทยมีการระบุและควบคุมสัดส่วนสิทธิการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติเอาไว้ ที่เรียกกันว่า “Foreign Limit” เช่น ในกรณีของหุ้นกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินนั้น นักลงทุนต่างชาติจะสามารถมีสัดส่วนของการถือหุ้นได้ไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
ภาพตัวอย่าง รายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับ หุ้น KBANK (ที่มา finnomena.com)
ซึ่งในมุมมองของนักลงทุนภายในประเทศเองก็คงถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้สามารถควบคุมระดับความเสียหายของตลาดหุ้นได้ในระดับหนึ่ง ที่จะไม่เกิดความผันผวนมากจนเกินไปจนไม่สามารถควบคุมได้ ที่จะมีให้เห็นกัน ในเวลาเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่นักลงทุนต่างชาติจะถอนการลงทุนออกไปนั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูล จาก set.or.th
-กดติดตาม รู้ก่อนลงทุน-
อัพเดทบทความน่ารู้เกี่ยวกับการลงทุนในทุกวัน
- 1
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
