🇮🇹 ความสวยงามในเกมรุกอิตาลี ซึ่งจากนี้อาจลำบากเมื่อต้องขาด สปินัซโซล่า
ชัยชนะด้วยสกอร์ 2-1 ในรอบก่อนรองชนะเลิศที่อิตาลีมีเหนือเบลเยียมอาจมาจากการเล่นเกมรับที่เหนียวแน่นตามแบบฉบับพวกเขาในช่วงท้ายเกม แต่สิ่งที่นำพามาถึงจุดนี้ได้ก็คือเกมรุกที่ไหลลื่น
ทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ซัดประตูไปแล้ว 11 ลูก จากการลงสนาม 5 เกมแรกใน ยูโร 2020 แม้ว่าจะมีอยู่ 2 ลูกที่มาเกิดขึ้นในช่วงต่อเวลาพิเศษก็ตาม ในเกมชนะออสเตรียรอบน็อคเอาต์ก่อนหน้านั้น เมื่อมองกันดี ๆ แล้ว เกมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาถือว่าเป็นหนึ่งในการเล่นเกมรุกที่น่าประทับใจที่สุดของพวกเขาเลยก็ว่าได้ อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้เบลเยียมก็เพิ่งเสียประตูแค่ลูกเดียวเท่านั้นจาก 4 แมตช์ในทัวร์นาเม้นต์ แถมยังโชว์ฟอร์มเยี่ยมเหนือทีมของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในรอบ 16 ทีม ด้วย
แต่อิตาลีก็กลายเป็นของที่แข็งเกินไปสำหรับทีมของ โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ
กุญแจสำคัญของเกมรุกอิตาลีนั้นก็คือผู้เล่นในแดนหน้า 5 คนที่ประสานงานกันอย่างทรงประสิทธิภาพ จากระบบการยืนต้นเกม 4-3-3 เลโอนาร์โด้ สปินัซโซล่า จะคอยโอเวอร์แลปจากตำแหน่งแบ็คซ้าย เพื่อเปิดทางให้ ลอเรนโซ่ อินซิเญ่ วิ่งตัดเข้าใน ขณะที่อีกฝั่งของสนาม เฟเดริโก้ เคียซ่า ซึ่งลงสนามแทนที่ โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ จะคอยยืนทางกว้างเอาไว้ เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับ นิโกโล่ บาเรลล่า ด้าน ชิโร่ อิมโมบิเล่ จะยืนปักหลังในบทบาทศูนย์หน้าตัวเป้า แม้ว่าเขาจะแทบไม่มีอิทธิพลอะไรกับเกมเลยก็ตาม
อย่างไรก็ตาม อีก 4 คนที่เหลือถือว่าทำผลงานได้ในระดับประสิทธิภาพสูง ยิ่งคุณได้ดูอิตาลีเล่นมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเข้าใจว่าพวกเขากำลังพยายามทำอะไรกันอยู่ จังหวะการเคลื่อนที่ของพวกเขาในครึ่งแรกอาจจะดูแปลกๆ ไปหน่อย แต่ทุกอย่างก็เป็นการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบของตัวรุก 5 ตัว ตอนที่ สปินัซโซล่า เลี้ยงบอลขึ้นหน้าไปหาเพื่อนร่วมทีมของเขา คุณจะรู้เลยว่ามันเป็นเพราะเขาต้องการให้ อินซิเญ่ วิ่งอ้อมหลังเขาเพื่อตัดเข้าในทางฝั่งซ้ายนั่นเอง
จากนั้นไม่นานนัก การเล่นของตัวรุก 5 คนก็เห็นชัดเจนขึ้น ผู้เล่นที่ยืนริมสุดอย่าง สปินัซโซล่า และ เคียซ่า จะคอยเปิดพื้นที่ให้กับ อินซิเญ่ ในเวลาที่ได้บอล และ บาเรลล่า ก็จะคอยวิ่งหาช่องด้วย
บาเรลล่า นั้นมีฤดูกาล 2020/21 ที่ยอดเยี่ยมกับ อินเตอร์ มิลาน เขามีบทบาทสำคัญอย่างมากในทีมชุดคว้าแชมป์ของ อันโตนิโอ คอนเต้ ด้วยการวิ่งเติมจังหวะสุดท้ายจากด้านขวาของแผงมิดฟิลด์ 3 คน
บทบาทของเขากับอิตาลีก็ค่อนข้างจะคล้ายกัน ในขณะที่ สปินัซโซล่า เล่นอย่างดุดันทางฝั่งซ้าย บาเรลล่า ก็จะเป็นตัวที่เติมเข้ามาคนสุดท้ายอยู่เสมอ ๆ จากตัวรุกทั้งหมด 5 คน
นี่คือตัวอย่างหนึ่ง นักเตะ 4 คนที่เหลือต่างก็อยู่ในตำแหน่งของตัวเองหมดแล้ว แต่ในจังหวะที่ มาร์โก แวร์รัตติ กำลังถ่ายบอลออกไปทางแนวขวาง คุณจะรู้ได้เลยว่าผู้เล่นที่เติมขึ้นมารับบอลทางฝั่งขวาก็คือ บาเรลล่า
ซึ่งการวิ่งของ บาเรลล่า นี่แหละที่มีส่วนสำคัญในประตูขึ้นนำของ อิตาลี
จังหวะนี้มาจากการจ่ายบอลขึ้นหน้าตรง ๆ ไปให้ อิมโมบิเล่ ซึ่งถูกกดดันจาก โธมัส แฟร์มาเล่น ตัวรุกอีก 4 คนที่เหลือต่างก็อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำลงไป แต่สุดท้ายแล้วก็เป็น บาเรลล่า ที่เติมขึ้นหน้าเพื่อมาช่วยเพื่อนร่วมทีมรายนี้ และหลังจากที่อิตาลีได้กลับมาครองบอลอีกครั้ง ก็เป็น บาเรลล่า ที่ฝ่าวงล้อมกองหลังไปซัดผ่านมือ ติโบต์ กูร์กตัวส์ เสียบเสาไกลอย่างสวยงาม
การเล่นครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของการเติมขึ้นมาฝั่งขวาด้านในของ บาเรลล่า และอีกประตูของอิตาลีในค่ำคืนนั้นก็แสดงให้เห็นถึงการเติมขึ้นมาฝั่งซ้ายด้านในของ อินซิเญ่ เช่นกัน
เป็นอีกครั้งที่ สปินัซโซล่า โอเวอร์แลปขึ้นมารบกวน โธมัส มูนิเยร์ บังคับให้เขาต้องถ่างออกมาด้านข้าง นั่นหมายความว่า ยูริ ตีเลอมันส์ ต้องวิ่งออกมามากขึ้นเพื่อประกบ อินซิเญ่
และเนื่องจากว่าเขาได้รับใบเหลืองไปแล้ว จึงทำให้เขาพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะ อินซิเญ่ จึงถูกปล่อยให้เลี้ยงตัดเข้าใน และเขาก็จัดการปั่นโค้งสุดสวยเสียบมุมประตู ซึ่งท่วงท่าการยิงแบบนี้เขาได้ทำครั้งแล้วครั้งเล่ามาตลอดหลายปีกับ นาโปลี และก็พยายามยิงมาหลายครั้งด้วยในทัวร์นาเม้นต์ครั้งนี้ ผู้รักษาประตู กูร์กตัวส์ เองก็คาดเดาได้ถึงจังหวะนี้ แต่ด้วยคุณภาพของลูกยิงก็ทำให้เขาไม่สามารถป้องกันได้เลย
สกอร์ขยับเป็น 2-0 หลังจากนั้นก็เป็น 2-1 ซึ่งน่าประหลาดใจมากที่อิตาลียังคงเดินหน้าเปิดเกมบุก เมื่อพิจารณาจากพื้นที่ว่างที่พวกเขาปล่อยให้เบลเยียมมีโอกาสโจมตี
ซึ่งการเล่นเกมบุกของพวกเขาก็ยังทำได้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะในแง่ของการวิ่งเปิดพื้นที่ให้กับผู้เล่นคนอื่น
จังหวะนี้ โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ จ่ายบอลมาให้กับ บาเรลล่า ขณะที่ อิมโมบิเล่ ก็วิ่งทำทางเพื่อดึง แฟร์มาเล่น และ เคียซ่า ยังยืนอยู่ริมเส้นเพื่อให้ แยน แฟร์ทองเก้น ถ่างออกมาไกลที่สุด หมายความว่า บาเรลล่า จะมีพื้นที่ให้เติมขึ้นไปเยอะมาก และเขาก็ตวัดบอลต่อให้กับ เคียซ่า ซึ่งเติมขึ้นมาครอสบอลเข้ากรอบเขตโทษ
เคียซ่า สร้างผลงานน่าประทับใจใน ยูโร เกมก่อน ๆ ในฐานะซูเปอร์ซับ และคราวนี้เขาก็มีอิทธิพลต่อเกมอีกครั้งในครึ่งหลัง จึงอาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นนักเตะที่เหมาะอย่างยิ่งกับช่วงท้าย ๆ ของเกม
นี่คืออีกตัวอย่างของการเคลื่อนที่ที่แสดงให้เห็นว่าพวกตัวรุกอิตาลีล้วนแล้วแต่รู้เสมอว่าอีกคนจะอยู่ตำแหน่งไหน บอลจาก แวร์รัตติ ถูกจ่ายมาให้ บาเรลล่า อย่างที่ได้เห็นกันไปในครึ่งแรก จากนั้น บาเรลล่า ก็จ่ายมาให้กับ เคียซ่า ที่วิ่งสอดขึ้นมาจังหวะสุดท้ายทางฝั่งขวา
อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ดีที่สุดในเกมรุกของอิตาลีมักเกิดขึ้นทางฝั่งซ้าย เพราะมีการสลับตำแหน่งกันบ่อยครั้งระหว่าง อินซิเญ่ กับ สปินัซโซล่า
ยกตัวอย่างจากครึ่งแรก อินซิเญ่ ถอยลงมาต่ำมาก และตักบอลขึ้นหน้าให้ สปินัซโซล่า วิ่งสปรินต์ไปครอสบอลเข้ากรอบเขตโทษ ซึ่งกลายมาเป็นโอกาสยิงครั้งแรกของ อิมโมบิเล่
ผ่านมาครึ่งทางในครึ่งหลัง เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ เริ่มเกมบุกด้วยการวางบอลข้ามฟากไปให้ สปินัซโซล่า ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็วิ่งหาพื้นที่เพื่อรับลูกจ่ายที่ยอดเยี่ยมของ อินซิเญ่ อีกที แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถเอาชนะ กูร์กตัวส์ ได้
สปินัซโซล่า ยังมีจังหวะสำคัญด้วยการบล็อคลูกยิงของ โรเมลู ลูกากู เขาสถาปนาตัวเองเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในทัวร์นาเม้นต์ไปแล้ว กระทั่งมาโชคร้ายได้รับบาดเจ็บเอ็นร้อยหวายในช่วงท้ายเกม เขาจะไม่ได้ลงสนามในทัวร์นาเม้นต์นี้อีกแล้ว ซึ่งยังต้องรวมถึงอีกหลายเดือนในฤดูกาลฟุตบอลสโมสรด้วย นี่เป็นอาการบาดเจ็บที่ทำให้ มันชินี่ ต้องปวดหัวอย่างมากก่อนเกมรอบตัดเชือกกับสเปนคืนวันอังคารนี้
เอแมร์ซอน คือตัวแทนในตำแหน่งของเขา และถึงแม้ว่าแบ็คซ้ายจาก เชลซี จะทำผลงานได้คงเส้นคงวาให้กับ มันชินี่ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่น่าที่จะขับเคลื่อนเกมรุกได้เหมือนกับ สปินัซโซล่า
แน่นอนว่านั่นจะส่งผลกระทบต่อเกมของ อินซิเญ่ เพราะความสวยงามในเกมรุกของอิตาลีนั้นมาจากการประสานงานร่วมกัน การเชื่อมเข้าด้วยกัน และความเข้าใจกัน
หากว่าขาดชิ้นส่วนใดไป ส่วนที่เหลือก็จะลำบากตามไปด้วย
(เรียบเรียงจากบทความ The beauty of Italy’s attack is its cohesion – without Spinazzola it will suffer
เขียนโดย ไมเคิล ค็อกซ์ ลงในเว็บไซต์ theathletic.com เมื่อ 3 กรกฎาคม 2021
เรียบเรียงโดย ณัฐดนัย เลิศชัยฤทธิ์)
#EURO2020
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
