5 ก.ค. 2021 เวลา 06:25 • เพลง & ซีรีส์ เกาหลี
“ถ้าไม่มีอำนาจอยู่ในมือ เราก็สู้ไม่ได้”
Chief of Staff (2019) - Netflix
รีวิวซีรี่ส์การเมืองเกาหลี หักเหลี่ยมเฉือนคม แทงข้างหลัง แทงข้างหน้า ตาต่อตาฟันต่อฟัน ลุ้นกันตลอดทั้ง 10 ตอนกับการต่อกรระหว่างนักการเมืองน้ำดี ที่ต่อสู้กับกลุ่มนักการเมืองเฒ่าอสรพิษร้ายผู้มีอำนาจล้นมือ
ในช่วงที่ดูหนังรักก็ไม่มีความสุข ก็แนะนำหนังที่ตีแผ่เบื้องลึกของการเมืองอันเน่าเฟะที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและนายทุน ซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ช่วงนี้ ที่มันคับข้องใจไปหมด ในชีวิตจริงดูเหมือนว่าการเอาชนะผู้มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ในวงการเมืองมันยากเข็ญใจ ก็ขอมานั่งลุ้นการฝ่าฟันรบรากับกลุ่มคนตัวเล็กในจอก็แล้วกันที่ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง
Chief of Staff (2019) - Netflix
มีทั้งหมด 2 ซีซั่น แต่ละซีซั่นมี 10 ตอน ขอบอกว่าลุ้นท้องเกร็งทุกตอน แทบจะไม่รู้เลยว่าเรื่องจะพลิกไปทางไหนบ้าง
พระเอกของเรื่องจบจากโรงเรียนตำรวจด้วยคะแนนเกียรตินิยม ออกมาเป็นตำรวจอยู่ไม่นานแต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ได้อิงอยู่ข้างความเดือดร้อนของประชาชน จึงออกมาลงสู่สนามการเมืองเพราะต้องการเปลี่ยนโลกในเชิงนโยบาย โดยเริ่มงานเป็นทีมงานของส.ส.นักการเมืองน้ำดีคนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ย้ายมาทำงานให้กับนักการเมืองที่มีอำนาจมากกว่าแต่ก็สกปรกโสโครกเกินบรรยาย หนังทำให้เราสงสัย และตั้งคำถามว่าพระเอกของเรากำลังวางแผนอะไรตั้งแต่ต้นเรื่อง
และต่อไปนี้คือ 10 Short Note ที่อยากบันทึกไว้หลังดูจบ (พยายามจะไม่เปิดเผยเนื้อหาหลัก)
1. ก่อนอื่นต้องบอกว่า ในระหว่างที่ดูจนถึงดูจบ ก็ดูสิ้นหวังกับวงการละครไทยไปเลย เพราะดูจากละครไทยที่ออนแอร์อยู่ทั้งที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ เราไม่มีทางตามเกาหลีทันแน่ ๆ ทั้งบทที่ลึกซึ้งลงรายละเอียด แม้เนื้อเรื่องจะต่อสู้กันด้วยข้อมูลคอรัปชั่นต่าง ๆ ที่ดูซับซ้อนยิบยับ แต่คนเขียนบทและผู้กำกับก็ทำให้เราสนุกและรู้เรื่องโดยไม่ต้องรู้เรื่องก็ได้ เปเปอร์มหาศาล ข้อมูลตัวเลขต่าง ๆ ออกมาจากปากนักแสดงถี่ ๆ รัว ๆ แต่ไม่น่าเบื่อเลย แถมยังลุ้นอยากรู้อยู่ตลอดเวลาแม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม เราไม่มีทางเห็นอะไรแบบนี้ในละครไทยเลย
2. นักการเมืองที่ไต่เต้าจนได้รับตำแหน่งสูง ๆ เกิดจากมือขวาที่เก่งรอบด้าน ในเรื่องจะเห็นคนที่วางแผน แก้ไข เดินเกมส์ก็คือเหล่าคนทำงานเบื้องหลังที่อดตาหลับขับตานอน หาจุดบอดฝ่ายตรงข้าม หาจุดแข็งฝ่ายตนเอง ทุกอย่างต้องถูกที่ถูกเวลา และทันท่วงที พร้อมรองรับอารมณ์เจ้านาย ซึ่งหลายคนก็ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว (อย่างเช่นพระเอกของเรา) และหลายคนก็ทุ่มเททำเพราะอุดมการณ์เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม

3. การเขียนบทที่ตื่นเต้นเร้าใจ ทำให้แทบเดาไม่ได้ว่าพระเอกซึ่งเปรียบเป็นมวยวัด จะไปต่อกรกับจิ้งจองเฒ่าเจ้าเล่ห์แต่ละตัวได้อย่างไร หลายครั้งผู้กำกับให้ความหวังด้วยข้อมูลบางอย่างในมือพระเอกที่น่าจะเอาชนะได้ แต่ก็จะมีสถานการณ์บางอย่างทำให้กลับมาเป็นรองได้ทุกครั้งไป แล้วผู้กำกับก็ให้ความหวังเราต่อ สถานการณ์พลิกไปพลิกมา เกือบ ๆ จะชนะก็แพ้อีกแล้ว วนเวียนอยู่อย่างนี้จนอึดอัดใจแค้นใจแต่ก็ยังลุ้นเผื่อจะชนะได้

4. “จะเป็นแสงสว่างในความมืด” คือเป้าหมายที่พระเอกตั้งมั่นไว้ แม้ในบางครั้งเขาเองก็เกือบจะถูกความมืดครอบงำจนมองไม่เห็นทาง และใกล้อยู่รอมร่อที่จะถูกความมืดกลืนกิน นอกจากจะมาลุ้นให้พระเอกต่อสู้กับฝ่ายอธรรม ก็ต้องมาลุ้นไม่ให้พระเอกแพ้ใจตัวเองอีกเช่นกัน
5. อีกจุดหนึ่งที่เนื้อเรื่องย้ำอยู่เสมอว่า “ถ้าไม่แก้ที่โครงสร้าง ก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้” ส่งผลให้น้ำหนักกับประโยคต่อมาคือ “ถ้าไม่มีอำนาจอยู่ในมือ เราก็ทำอะไรไม่ได้” หลายครั้งที่พระเอกต้องยอมทิ้งศักดิ์ศรี ยอมกลืนเลือด ยอมมือเปื้อนโคลน เพื่อที่จะได้เข้าไปกุมอำนาจบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางจะขึ้นสังเวียนไปต่อสู้กับอีกฝ่ายที่ทั้งแข็งแกร่งและอาวุธครบมือได้เลย
6. การเมืองเกาหลีน่าสนใจตรงที่ แม้จะอยู่พรรคเดียวกันแต่การต่อสู้ในพรรคก็โคตรเข้มข้น มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน ในเรื่องที่ไม่โปร่งใส มีสื่อมวลชนเข้าถ่ายทอดสดได้ แม้จะเป็นวิธีทางการเมืองที่เอาไว้ต่อสู้กัน แต่มันเป็นระบบที่น่าสนใจทีเดียว ในเรื่องจะเห็นการยื่นเรื่องสอบสวนกันอยู่ตลอดเวลา เอะอะ ตั้งคณะกรรมการกันอีกแล้ว ซึ่งสอบสวนกันจริงจังรวดเร็วด้วยนะ (ไม่รู้ของจริงเป็นไง แต่ในเรื่องมันรวดเร็วมาก ต้องชิงไหวชิงพริบในเรื่องตั้งคณะกรรมการอะไรนี่อยู่เสมอ ซึ่งก็เป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายต่ออำนาจและตำแหน่งในมือ)

7. ไม่มีมิตรและศัตรูที่ถาวรจริง ๆ เรื่องนี้เราก็ได้เห็นในการเมืองบ้านเราอยู่เหมือนกัน แต่ในเรื่องจะวางบทปูเนื้อหาให้เราเห็นว่าเหตุใดสองสามฝ่ายที่เกลียดกันห้ำหั่นกันอยู่ตลอด บางครั้งก็กลับมาจับมือกัน และต่อมาก็หันมาแทงข้างหลังกัน ไม่มีทางวางใจหรือเชื่อใจใครได้เลย ต้องพร้อมจะเป็นมิตร และพร้อมจะทำลาย ประโยค “ความเกลียดก็เป็นความรักอย่างหนึ่ง” ถูกเอ่ยออกมาหลายครั้ง ทำให้เราคิดตีความประโยคนี้อยู่ไม่จบไม่สิ้น
8. วัฒนธรรมด้านอาหาร ของซีรี่ส์เกาหลีถูกใช้ในทุกเรื่อง (คาดว่าเป็นนโยบายของประเทศ) เรื่องนี้ก็ไม่เว้น เพราะมีฉากที่ตัวละครนัดกันมาพบพูดคุยต่อรองในร้านอาหารตลอดเกือบทุกตอน มีการสอดแทรกความรู้เรื่องอาหารเข้าไปแบบกลืนไปกับเนื้อเรื่อง การกิน การเคี้ยวที่ดูเอร็ดอร่อย ภาพการซูมไปที่อาหารที่สวยงามน่ากินแต่ละจาน แม้แต่ผักดองยังดูน่ากินเลย เป็นความฉลาดในการเผยแพร่วัฒนธรรมที่บอกได้เลยว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม 

9. ในสนามการเมือง ไม่มีใครที่มือสะอาด แม้แต่ฝ่ายคุณธรรมของเรื่องก็ยังด่างพร้อย คนที่คิดว่าดีจริง ๆ ดีมาก ๆ ถูกปูเนื้อหามาตลอดว่าเป็นคนดีศรีกรุงโซล สุดท้ายก็ยังมีรอยเปื้อน ยิ่งทำให้เนื้อหาของเรื่องมันดูจริงดูเรียลเข้าไปอีก 

10. สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือนางเอกของเรื่องเป็น ส.ส.หญิงที่แต่งตัวได้สวยงามและเท่ในทุกชุด ส่งเสริมทั้งความอ่อนหวานและความแข็งแกร่งในตัวเธอเอง เสื้อผ้าเนี้ยบ ออกมาแต่ละฉากก็คอยดูว่านางจะใส่ชุดอะไร ไม่มี Accessories ที่ไม่จำเป็นอะไรเลย เรียบ ๆ แต่หรูและดูดีมาก ข้ามเรื่องการแสดงไปนะ เพราะทั้งเรื่องไม่ว่าตัวเอก ตัวร้าย ตัวประกอบ ทุกคนแสดงโคตรดีหมดอ่ะ

11. แถมอีกข้อก็คือ ตัวร้ายต่าง ๆ ในเรื่องมีความร้ายกาจ และน่าขยะแขยงแบบที่ไม่อยากจะทนดู แต่ก็มีความฉลาดเป็นกรดในเชิงวางแผนซับซ้อนชั่วร้าย ทำให้การต่อสู้สนุกมาก เพราะพระเอกนั้นเรารู้ว่าฉลาดมาก แต่ตัวร้ายบางทีฉลาดกว่ามีความเก๋าเกมส์มีเส้นสายโยงใยหยุบหยับหนุนหลัง ซึ่งบทก็ไม่ใจร้ายนักเพราะพระเอกก็จะมีตัวละครลับคอยช่วยเหลือให้ข้อมูลเช่นกัน สรุปว่าในเรื่องการต่อสู้เชิงกลยุทธ์นั้นสูสีและลุ้นมันมาก
สรุปว่าถ้าชอบซีรี่ส์ดราม่า ลุ้นระทึก ชิงไหวชิงพริบ ต้องไม่พลาดเรื่องนี้และควรจัดสรรเวลาก่อนดูให้ดีเพราะถ้าเริ่มแล้วมันจะไม่อยากหยุด ส่วนตัวผู้เขียนนั้นมีเวลาไม่มากนัก เวลาดูก็จะเร่งความเร็วเป็น 1.5x ซึ่งบางทีก็ทำให้บีบหัวใจเข้าไปอีก เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วมากพลิกไปพลิกมา
ขอให้สนุกค่ะ 😊

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา