8 ก.ค. 2021 เวลา 13:27 • ประวัติศาสตร์
เรื่องเพศน่ารู้ในยุควิกตอเรีย
ยุควิกตอเรีย (Victorian era) คือการจัดช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ของอังกฤษช่วงที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงครองราชบัลลังก์ คือตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ปี 1837 จนถึงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 22 มกราคม ปี 1901
มีเรื่องเพศน่ารู้มากมายที่นำมาเล่าสู่กันอ่านในวันนี้ เพราะในยุคนี้มีชื่อเสียงในแง่ความเจ้าระเบียบและการจัดระเบียบเรื่องเพศอย่างเข้มงวด และหลายเรื่องเกี่ยวข้องกับสมาชิกในราชวงศ์และองค์สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
1
(Image: Metro)
1. ในทางการ ผู้คนในยุคนั้นถูกพร่ำเตือนให้จำกัดเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ให้อยู่แต่ในขอบเขตเพื่อวัตถุประสงค์เพื่อการมีบุตร ความเชื่อในเวลานั้นมองว่าหากมีเพศสัมพันธ์มากเกินไปจะทำให้เสียสติหรือตาบอดได้ ดังนั้นคู่สามีภรรยาจึงไม่ควรมีเพศสัมพันธ์มากกว่าเดือนละครั้ง เพราะถ้าทำมากกว่านั้นจะทำให้อวัยวะภายในได้รับความเสียหาย จึงควรให้เวลาอวัยวะฟื้นตัว และถ้าหากทำกิจกรรมทางเพศหลังมื้ออาหารก็จะทำให้เกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลันได้
สำหรับคนยุควิกตอเรีย ท่าร่วมเพศแบบมิชชันนารีเป็นท่าที่ดีที่สุดในการทำลูก และเป็นท่าที่ยอมรับว่าถูกต้องเหมาะสม แต่ท่าร่วมรักอื่น ๆ เช่นท่ายืนหรือท่าคุกเข่าเป็นท่าที่ไม่พึงปรารถนาและเชื่อกันว่าเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง
มีผู้วิเคราะห์สาเหตุที่นำมาซึ่งการจำกัดเรื่องทางเพศในยุควิกตอเรียนั้นน่าจะมาจากเหตุผล 2 ประการ
…หนึ่ง โรคซิฟิลิสระบาดอย่างหนักโดยเฉพาะช่วงกลางทศวรรษที่ 1800 และเป็นโรคที่รักษาไม่หาย สิ่งที่ตามมาโดยทั่วไปคือโรคนี้ทำให้เกิดการผิดรูปหรือเสียโฉม เกิดภาวะจิตวิปลาส และเสียชีวิต อีกทั้งส่งต่อความผิดปกติไปยังลูกได้ โรคติดต่อถูกมองว่าเป็นการลงโทษต่อการมีศีลธรรมที่หละหลวม
…สอง อัตราการเสียชีวิตของผู้หญิงในระหว่างการคลอดบุตรนั้นมีสูงมาก ในยุคนั้น ผู้หญิงอังกฤษทุก ๆ 200 คนจะมี 1 คนที่เสียชีวิตจากการคลอดบุตรหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
ต้นแบบครอบครัวพ่อแม่ลูกในอุดมคติของยุควิคตอเรีย คือครอบครัวของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Image: Wikipedia)
2. ในทางปฏิบัติดูจะสวนทางกับในทางการ เพราะการขายบริการทางเพศนั้นเป็นสิ่งที่แพร่หลายมากในยุคนี้ แม้จะถูกตราหน้าว่าเป็น “สิ่งชั่วร้ายทางสังคมอย่างที่สุด” แต่กิจกรรมนี้เฟื่องฟูมากในยุคนั้น หญิงยากจนมีทางเลือกอันน้อยนิดในการประกอบอาชีพหาเลี้ยงตน แถมทางเลือกนั้นยังไม่น่าพึงประสงค์เลย ผู้หญิงบางคนใช้เรือนร่างตนอันเป็นสินค้าเดียวที่ขายได้เพื่อแลกกับการไม่ต้องอยู่อย่างอดอยาก และผู้หญิงจำนวนมากกลายมาเป็นโสเภณีเพราะติดสุราและสิ้นหวังในชีวิต
ตามเมืองใหญ่ ๆ ของอังกฤษอย่างลอนดอนและลิเวอร์พูล ซึ่งประมาณการณ์ว่าเฉพาะในทศวรรษที่ 1890 มีโสเภณีในลอนดอนเกือบ 80,000 คน ซึ่งในขณะนั้นมีพลเมืองในลอนดอนอยู่ 5.5 ล้านคน สมมติคร่าว ๆ ว่าสัดส่วนผู้ชายต่อผู้หญิงตอนนั้นมี 50:50 เท่ากับว่ามีโสเภณี 1 คนต่อผู้ชายทุก ๆ 34 คนในกรุงลอนดอน
แผนที่เมืองลิเวอร์พูลในยุควิกตอเรีย เส้นแดง ๆ นั้นคือแหล่งที่ตั้งของซ่อง (Image: Whores of Yore)
3. เมื่อปี 1855 โรงงานของบริษัท Goodyear ได้เริ่มผลิตถุงยางอนามัยที่ทำมาจากยางแล้ว แต่ถุงยางอนามัยในสมัยวิกตอเรียที่ใช้กันส่วนใหญ่นั้นทำมาจากลำไส้ของสัตว์และกระเพาะปัสสาวะของแกะ ซึ่งง่ายต่อการฉีกขาด ในตอนแรก ๆ นั้นรู้จักกันด้วยชื่อเรียกว่า “เกราะ-armour”
ถุงยางอนามัยในยุคนั้นไม่ได้ถูกทำขึ้นมาเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ แต่ทำมาเพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าสุภาพบุรุษติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองใน และด้วยเหตุแต่แรกเริ่มที่มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อการคุมกำเนิด ดังนั้นถุงยางอนามัยจึงแทบไม่ได้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในคู่สามีภรรยาที่เป็นที่นับหน้าถือตา
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือคู่ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียกับเจ้าชายอัลเบิร์ต ทั้ง ๆ ที่องค์ราชินีเกลียดการตั้งครรภ์และไม่ชอบเด็กเล็ก แต่พระองค์ทรงให้กำเนิดพระโอรสและพระธิดาถึง 9 องค์
ถุงยางอนามัยในยุควิกตอเรีย (Image: SSPL/Getty Images/Metro)
4. สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียมักถูกทึกทักเอาไปใช้เป็นต้นแบบของความอดทนอดกลั้นทางเพศ มีคำกล่าวที่เชื่อว่าเป็นคำแนะนำของพระองค์ต่อบรรดาศรีภรรยาชาวอังกฤษเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับสามีว่า “จงหลับตาของพวกเจ้าลงและนึกถึงอังกฤษเข้าไว้” แต่แท้จริงแล้วคำกล่าวนี้ปรากฏหลักฐานที่ถูกบันทึกไว้นั้นมาจากวารสารหนึ่งในปี 1912 หลังพระองค์สิ้นพระชนม์
มีการโต้แย้งว่าในความเป็นจริงนั้นองค์ราชินีไม่ได้เจ้าระเบียบเรื่องเพศหรือไร้อารมณ์ขันดังที่ถูกบอกต่อ ๆ กันมา แต่แท้จริงแล้วพระองค์กระตือรือร้นกับเรื่องเพศสัมพันธ์มาก แถมพระองค์ยังมีความต้องการทางเพศสูงอีกด้วย ดูจากข้อเท็จจริงก็ได้ว่าพระองค์มีพระโอรสและพระธิดาถึง 9 องค์ภายในระยะเวลาการครองคู่กันมา 21 ปี แถมพระองค์ยังเขียนบันทึกคืนเข้าห้องหอที่ออกแนวอีโรติกไว้ เช่นว่า
- “การบดริมฝีปากของฉันไปยังริมฝีปากของเขานั้นช่างเป็นความสุขอันล้นพ้นเหมือนได้ขึ้นสวรรค์”
- หรือเล่าถึงประสบการณ์ในคืนแต่งงานนั้นว่า “มันช่างเป็นประสบการณ์ที่สับสนงงงวยแต่ปลื้มปริ่มมาก ฉันไม่เค้ยไม่เคยใช้ชีวิตยามค่ำทำแบบนี้มาก่อน”
- หรือบรรยายการแสดงความรักระหว่างทั้งสองพระองค์ว่า “เขาโอบฉันไว้ในอ้อมแขนของเขา แล้วเราก็จุมพิตกันและกันครั้งแล้วครั้งเล่า”
1
องค์ราชินียังสั่งการให้ศิลปินชื่อว่าฟรานซ์ เซเวียร์ วินเทอร์ฮอลเตอร์ (Franz Xaver Winterhalter) วาดภาพเหมือนของพระองค์ในลักษณาการที่ออกจะส่วนตัวจนน่าตกใจสำหรับมาตรฐานทางศีลธรรมในยุคนั้น รูปนี้ถูกเรียกว่า The Secret Picture ซึ่งถ้าให้เปรียบเทียบภาพนี้ก็เหมือนการส่งรูปเซ็กซี่ให้กันทางโทรศัพท์นั่นเอง
2
ภาพเซ็กซี่ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียที่สำหรับมาตรฐานยุคนั้นแล้วดูยั่วยวนจนน่าตกใจมาก (Image: Royal Collection Trust)
5. ภาพลามกมีแพร่หลายในยุควิกตอเรีย ถนนโฮลีเวลล์ (Holywell Street) ในกลางกรุงลอนดอนขึ้นชื่อเรื่องมีร้านหนังสือที่จำหน่ายภาพโป๊ จนหนังสือพิมพ์ The Times เรียกถนนสายนี้ว่าเป็น “ถนนที่เลวทรามต่ำช้าที่สุดในโลกที่มีอารยะนี้) ถนนนี้เป็นศูนย์กลางของสื่อ สิ่งตีพิมพ์และสิ่งลามกอนาจารทุกอย่างมายาวนานก่อนที่ต่อมาจะค่อยมีแหล่งเช่นนี้ที่ถนนโซโหเกิดขึ้น
ในปี 1834 มีร้านขายของโป๊อยู่ที่ถนนโฮลีเวลล์นี้ถึง 57 ร้าน ลูกค้าของถนนสายนี้มีทั้งชายและหญิง แม้จะมีกฎหมายเกี่ยวกับการตีพิมพ์สิ่งลามกเมื่อปี 1857 แต่ก็ทำอะไรแทบไม่ได้กับธุรกิจนี้ อย่างมากก็แค่ทำให้หนังสือลามกลงไปอยู่ใต้ดิน งานวรรณกรรมที่เกี่ยวกับเรื่องเพศในตอนนั้นแบ่งออกเป็น 2 แบบ
…แบบแรกคืองานเขียนที่ซ่อนเรื่องความปรารถนาทางเพศไว้เป็นนัย ๆ ดังเช่นงานของ Oscar Wilde กับ Dickens
…แบบที่สองคืองานโจ่งแจ้งที่เป็นหนังสือโป๊เหมือนทุกวันนี้ ซึ่งมีรูปเปลือยกาย และรูปภาพที่มีมากกว่าการเปลือยกาย
ภาพถนนโฮลีเวลล์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 (Image: Publicdomainreview.org)
6. มีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาเกี่ยวกับการบำบัดอาการของโรคฮิสทีเรียที่ผู้หญิงเป็นในยุควิกตอเรียที่คนปัจจุบันรับรู้แล้วคงรู้สึกแปลกประหลาด กล่าวกันว่าแพทย์จะเป็นผู้บำบัดอาการให้โดยใช้มือถูอวัยวะส่วนตัวนั้นจนกระทั่งผู้ป่วยถึงจุดสุดยอด แต่การรักษาเช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล แพทย์จึงบ่นวิธีการรักษานี้ว่าน่าเบื่อ เหนื่อยและเมื่อย แถมยังทำให้ปวดข้อมือด้วย ซึ่งก็มีการโต้แย้งว่าเรื่องนี้ไม่จริง เป็นเรื่องแต่งที่เล่าต่อ ๆ กันมา
จากเรื่องเล่านี้ สิ่งที่ตามมาคือการประดิษฐ์ไวเบรเตอร์ ซึ่งในยุควิกตอเรียนั้นพวกมันถูกใช้เพื่อเป็นอุปกรณ์บำบัดโรคทางเพศในช่วงศตวรรษที่ 19 เช่นการรักษาโรคฮิสทีเรียก็มีการใช้ไวเบรเตอร์เข้ามาเป็นตัวช่วย กล่าวกันว่าไวเบรเตอร์ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อรักษาอาการนี้โดยเฉพาะ
1
นอกจากนี้ สตรีในยุควิกตอเรียบางคนยังเป็นเจ้าของสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าเป็น ‘เพื่อนคู่ใจของสตรี’ ดังภาพประกอบ
ภาพที่เชื่อว่าเป็นการรักษาโรคฮิสทีเรียโดยแพทย์ (Image: Literary Hub)
อุปกรณ์ที่ถูกเรียกว่าเป็น ‘เพื่อนคู่ใจของสตรี’ ของชิ้นนี้ระบุว่าเป็นของยุควิกตอเรีย (Image: The Guardian)
7. กล่าวกันว่ายุควิกตอเรียนั้นหมกมุ่นกับการจัดระเบียบเรื่องเพศจนแม้กระทั่งขาโต๊ะก็ยังไม่เว้น เพราะเห็นว่ารูปทรงและลักษณะของมันดูละม้ายคล้ายบางสิ่งที่อุจาดตามากเกินไป คนในยุคนั้นเลยคลุมแม้กระทั่งขาโต๊ะ
แต่มีการโต้แย้งว่าความเชื่อนี้ไม่จริง คนในยุคนั้นไม่ได้เป็นถึงขั้นนี้ เหตุเกิดมาจากการที่หนุ่มอังกฤษชื่อว่าเฟรเดอริก แมรี่แอท (Frederick Marryat) เดินทางไปอเมริกาในปี 1837 เพื่อไปร่วมงานสัมมนาที่น้ำตกไนแองการ่าที่มีผู้ร่วมงานเป็นบรรดาสาวน้อย พอไปถึงเขาต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าขาเปียโนมีการนำเอาปลอกกางเกงมาใส่ไว้ เขาถูกแกล้งจากมักคุเทศก์ท้องถิ่นโดยอำเขาว่าที่ใส่ปลอกขาเปียโนไว้เพื่อไม่ให้สาว ๆ เห็นขาเปียโนที่เสมือนสิ่งบริสุทธิ์อย่างหนึ่ง และในอีกวาระหนึ่งเขาโดนอำว่าคนอเมริกันจะไม่ใช้คำว่า leg เพราะมันฟังดูลามกอนาจาร แต่จะใช้คำว่า limb แทน
1
ชายชาวอังกฤษผู้นี้ก็พาซื่อ เขียนบันทึกเล่าประสบการณ์นี้ในไดอารี แล้วเมื่อกลับอังกฤษก็นำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อว่า Diary in America พอชาวอังกฤษในยุควิกตอเรียได้อ่านก็พากันทำตามเพียงเพราะไม่อยากดูล้าสมัยเท่านั้นเอง กลายเป็นเรื่องที่ทำให้เชื่อกันต่อมาไปเสีย
2
ส่วนต้นเหตุที่มีการเอาปลอกกางเกงมาใส่ขาเปียโนน่าจะเพราะกันฝุ่นหรือรอยขีดข่วน
ห้องจำลองแบบตามยุควิคตอเรีย ซึ่งคนสมัยนั้นไม่ได้ปกปิดขาโต๊ะดังที่เล่าต่อกันมา (Image: Atlas Obscura)
8. มีเรื่องเล่าว่าในยุคนั้นผู้ชายจะมี ‘แหวนแต่งตัว-dressing ring’ เอาไว้สวมตรงจุดสำคัญเพราะแฟชั่นกางเกงในยุคนั้นรัดรึงจนแน่นมากเกินไป จึงต้องมีตัวช่วยเช่นนี้เพื่อให้ท่านชายหายใจหายคอได้สะดวกไม่ต้องอึดอัดมาก
1
สิ่งที่เรียกว่า Dressing rings นั้นมีอยู่จริง และถูกใช้โดยช่างตัดชุดยุคเก่าเวลาจะใช้ถามบรรดาท่านชายว่าจะ “แต่ง” แบบไหนตอนวัดตัวตัดกางเกง
ต่อมา เกิดความเชื่อแพร่หลายว่าเจ้าชายอัลเบิร์ตเจาะอวัยวะเพศของพระองค์ในช่วงพระชันษาที่ 20 เพื่อสวม’สิ่งนี้’ ที่ ‘ตรงนั้น’ ด้วย บ้างก็อ้างว่าเหตุเพื่อจะทำให้อวัยวะส่วนนี้ของพระองค์นั้นห้อยอย่างมีสุนทรีย์ภายใต้กางเกงที่เป้าแน่นเปรี๊ยะ แต่บ้างก็ว่าพระองค์มีความผิดปกติในอวัยวะนั้นจึงต้องเจาะเพื่อให้มันตรง จนวัตถุนี้ถูกเรียกตามชื่อพระองค์ในช่วงทศวรรษที่ 1970 เป็นต้นมา ซึ่งไม่มีหลักฐานว่าพระองค์ทำเช่นนั้นจริง แต่ความเชื่อนี้แพร่กระจายมาจนปัจจุบันและวัตถุที่ใส่เข้าไปตรงนั้นก็ถูกเรียกว่า ‘Prince Albert’ เป็นต้นมา
ตัวอย่างหน้าตาของแหวนที่นำมาสวมในอวัยวะเพศชายที่ถูกเจาะ และถูกเรียกชื่อว่า Prince Albert (Image: 2021 Vini Cast)
9. เจ้าชายแห่งเวลส์ทรงมีเก้าอี้ระเริงรัก
เจ้าชายเบอร์ตี้ว่าที่กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 7 (Edward VII) มีความประพฤติเสเพลเสียจนกระทั่งเจ้าชายอัลเบิร์ตพระบิดาบอกว่า ‘พ่อรู้ว่าเจ้านั้นไร้ความคิดและอ่อนแอ แต่พ่อไม่นึกว่าเจ้าจะเลวทรามได้ขนาดนี้’
1
เจ้าชายเบอร์ตี้แม้จะแต่งงานแล้วกับเจ้าหญิงอเล็กซานดรา (Princess Alexandra) แต่พระองค์ก็ยังคงเกี่ยวพันกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา ชื่อเสียงของเจ้าชายเบอร์ตี้ด้านกามารมณ์นั้นโด่งดังมาก โดยเฉพาะการที่พระองค์สั่งทำเก้าอี้พิเศษเพื่อเอาไว้ประกอบกามกิจโดยเฉพาะ ซึ่งพระองค์เก็บไว้ที่ซ่องโปรดของพระองค์ที่ชื่อว่า Le Chabanais ที่อยู่ในปารีส
ณ ซ่องแห่งนี้คือที่แวะเวียนประจำของเจ้าชายเบอร์ตี้ พระองค์มีห้องส่วนพระองค์ มีเตียงบรรทมที่มีตราประจำตัว มีอ่างอาบน้ำ และเก้าอี้ระเริงรักที่สั่งทำพิเศษ อ่างอาบน้ำนี้เติมด้วยแชมเปญแล้วมีบรรดาหญิงโสเภณีมารุมอาบน้ำให้พระองค์ ส่วนเก้าอี้ระเริงรักนั้นทรงใช้สำหรับกิจกรรมแบบเราสามคน
ด้านซ้ายเป็นเก้าอี้ระเริงรักส่วนด้านขวาเป็นอ่างอาบน้ำของกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 7 ในซ่องประจำของพระองค์ (Image: messynessychic.com)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา