8 ก.ค. 2021 เวลา 12:30 • นิยาย เรื่องสั้น
“เรื่องพวกนี้เราทำใจปล่อยวางซะไม่ได้หรือลุง”
ผมถามหลังลุงวิชญ์เล่าอดีตอันแสนสาหัสของตัวเองโดยแกตั้งใจเอาไปเทียบกับอดีตของพ่อแม่ผมเพื่อให้ผมยอมตามใจท่านทั้งสองด้วยการเดินหน้าคบหาอัจฉรียาธรต่อ
“วางยังไง” ลุงวิชญ์งง
“ก็ประมาณให้อภัยไม่คิดอาฆาตพยาบาท” ผมว่า
“คุณว่าที่ผมยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อหาอุปกรณ์ในการทำกินให้ลูกโดยส่งพวกเขาเรียนโรงเรียนฝรั่งทั้งที่มีแค่ 2 มือเปล่าๆไม่มีเงินสำรองไม่มีงานประจำไม่มีเงินเดือนกินมันคือการล้างแค้นผู้ใหญ่ฝ่ายผมหรือ” ลุงถาม
“แล้วลุงว่าไม่ใช่หรือ” ผมถามย้อน
“ไม่” ลุงตอบ “ที่ผมถูกกระทำมันคือเครื่องเตือนใจว่าอย่าให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับครอบครัวตัวเอง”
“เตือนใจยังไง”
“เด็กเกิดมาต้องได้รับการดูแลจากผู้ให้กำเนิด” ลุงวิชญ์ว่า “ใม่ใช่ทำให้เขาเกิดแล้วทิ้งส่ง ปล่อยให้โตเอง เพราะจะเท่ากับฆ่าเด็กให้ตายทั้งเป็น”
“ตายทั้งเป็นยังไง” ผมถามเพราะไม่รู้จริงๆ
“มนุษย์ไม่เหมือนสัตว์อื่นที่พอออกจากท้องแม่ก็วิ่งหาอาหารกินเองได้” ลุงตอบ “คนต้องได้รับการอนุ บาลเลี้ยงดูยาวนาน ไม่งั้นเด็กจะดิ้นรนเอาตัวรอดจนเกิดการบาดเจ็บทั้งกายใจ และการบาดเจ็บนั้นจะมีผลต่อชุดความคิดที่ส่งผ่านออกมาเป็นการกระทำของคนคนนั้น ฆาตกรส่วนใหญ่จะถูกทำร้ายและถูกทอดทิ้งในวัยเด็ก”
“สรุปลุงอภัยให้ไม่ได้”
“ได้” ลุงตอบหน้าตาเฉย “ผมอภัยไปแล้ว ตอนนี้เกือบไม่เหลืออะไรติดค้างในใจอีก”
“ห๋า” ผมงง “ทำได้ไง ตั้งแต่ตอนไหน”
“หลังได้ไปลอนดอน” ลุงตอบ “ก็ไม่นานมานี้แหละ ความคับข้องใจ ความรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่ามาแต่เล็กแต่น้อยมันลบเลือนไปเกือบหมด แม้จะแค่ “เกือบๆ” แต่ก็ยังดีกว่าไม่ลดลงเลย”
“แค่ได้ไปลอนดอนก็ลดลงได้แล้วหรือ” ผมงง “จะเชื่อดีมั้ย แต่ชั่งเถอะ มาเอาตรงนี้ดีกว่า คือผมข้องใจที่ลุงว่า “อย่าให้เรื่องแบบนั้นเกิดกับครอบครัวตัวเอง” สรุปลุงจะให้ผมตามใจพ่อแม่ให้ได้ใช่มั้ย”
“ผมไม่ได้บังคับนะ” ลุงวิชญ์ร้องเสียงสูง “แค่แนะแนวทาง ขึ้นกับคุณภูมิว่าจะตัดสินใจยังไง”
“อังกฤษ หรือ สหราชอาณาจักร หรือ united kingdom เป็นเจ้าของภาษาที่ใช้สื่อสารกันทั่วโลก” ลุงวิชญ์เริ่มจ้อ หน้าตาแจ่มใส แสดงถึงอาการชื่นชมในสิ่งที่กำลังพูดถึง “แม้จำนวนคนพูดอังกฤษจะไม่มากเท่าพวกที่พูดจีนหรือสเปนแต่ก็ใช้กันกว้างขวาง แค่ประเด็นนี้ประเด็นเดียวก็น่าทึ่งแล้วใช่มั้ยว่าพวกอังกฤษเขาทำกันได้ยังไง”
“แล้วเขาทำได้ยังไง” ผมถาม
“ช่วงศตวรรษที่ 18 อันเป็นยุคล่าอาณานิคม” ลุงวิชญ์ว่า “อังกฤษแผ่อิทธิพลไปครอบครองประเทศต่างๆ พร้อมนำ ภาษา เศรษฐกิจ การเมือง การทหาร วิทยาการ วัฒนธรรมไปเผยแพร่ ทำให้ประ เทศต่างๆใช้ภาษาอัง กฤษเป็นภาษาทางการกันมากมาย บางประเทศใช้เป็นภาษาที่สอง แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของแผ่นดินที่ชื่ออังกฤษ และเป็นธรรมดาที่ใครๆก็อยากสัมผัสอะไรที่มหึมาเกรียงไกรใช่มั้ย ซึ่งทางเดียวที่จะทำได้คือไปให้ถึงประเทศนั้นๆ อังกฤษจึงอยู่ในความคิดผมมาตลอด”
“ลุงประทับใจเรื่องภาษาอย่างเดียวหรือ” ผมถาม
“คำว่า“ผู้ดีอังกฤษ”ด้วย” ลุงว่า “ซึ่งเกี่ยวข้องกับคำว่าป้อมปราการอันแสดงถึงความบึกบึนน่าเกรงขาม ปราสาทราชวังที่สวยงามราวกับอยู่ในเทพนิยาย ผมอยากไปเห็นว่าผู้ดีอังกฤษเป็นยังไง พวกเขาแต่งตัวหรูหราเดินกรีดกรายในป้อมปราการปราสาทราชวังตามที่เราเห็นในหนังใช่มั้ย”
“ตอนไปเรียนโทอังกฤษ” ผมหัวเราะก๊าก “ผมไม่เคยเจอใครแต่งตัวแบบที่ลุงว่าเดินในป้อมปราการหรือปราสาทราชวังเลยเว้นตอนเขามีงานโบราณราชประเพณี”
“แค่เทียบให้ฟัง” ลุงวิชญ์หัวเราะตาม “เท่าที่พิเคราะห์ดู คำว่าผู้ดีอังกฤษน่าจะแยกเป็น 2 อย่าง หนึ่งการแต่งกายแบบโบราณราชประเพณี รวมระเบียบปฏิบัติต่างๆที่เรียก วัฒนธรรม เช่นวัฒนธรรมการแต่งกายที่มีขั้นตอนมากมาย วัฒนธรรมการเดิน การกิน เช่นการเสิร์ฟอาหารแบบมีพิธีรีตอง วัฒนธรรมการดื่มชา กินขนม อย่างที่สอง การวางตัว เช่นความเป็นระเบียบเรียบร้อย พูดจาดี ขอโทษและขอบคุณจนเป็นนิสัย ตรงต่อเวลา ไม่ซอกแซกเรื่องคนอื่น ทั้งหมดคือคุณสมบัติของผู้ดีอังกฤษที่ทั้งหรูหรา มีระเบียบวินัย และเป็นสากล ซึ่งถ้าชาติไหนทำตามได้จะถือว่าเป็นผู้ดี สรุปคือผมอยากไปเห็นคนอังกฤษ”
“ผมก็ชอบคนอังกฤษ” ผมพูด “แล้วลุงประทับใจอะไรอีก”
“รูปร่างหน้าตาที่สวยงามราวเทพบุตรนางฟ้าของมนุษย์สายพันธุ์คอเคเซียนของคนประเทศนี้” ลุงวิชญ์ว่า “หนูณัฏฐาชนเผ่ามองโกลอยแบบเดียวกับเราที่ว่าสวยนักหนายังเทียบแหม่มคอเคเซียนที่หน้าตาธรรมดาๆไม่ ได้ พวกนี้หน้าตาดีจนผมคิดว่าชาติหน้าขอไปเกิดเป็นมนุษย์สายพันธุ์คอเคซอยบ้างเหอะ จะได้หล่อๆกะเขามั่ง ”
“ขอให้สมมาดปรารถนา” ผมอวยพร “แล้วป้อมปราการปราสาทราชวังอะไรไม่อยากเห็นบ้างหรือ”
“อยาก” ลุงวิชญ์ตอบ ตาเป็นประกายอย่างชื่นชม “มันแสดงถึงประวัติศาสตร์การสู้รบการสร้างชาติอันยาวนานของประเทศนี้ ยังไงต้องไปเห็นกับตาไปจับไปต้องด้วยมือตัวเองให้ได้ ไม่ใช่เห็นแค่ในภาพ”
“หลังไปสัมผัสประเทศนี้” ผมพูด “ลุงว่าทุกอย่างยิ่งใหญ่จริงตามที่ลุงคิดฝันไว้มั้ย”
“แล้วคุณภูมิคิดว่าไง” ลุงวิชญ์ย้อนถาม “คุณเคยไปมาแล้วนี่”
“ผมว่าลุงต้องฝันค้างแน่ๆ” ผมตอบ “ไม่มีอะไรในโลกที่ดีพร้อมหรือเป็นตามที่เราคิดฝันและดิ้นรนที่จะไปเห็นให้ได้ด้วยตาตัวเองแบบเป๊ะๆ”
ลุงวิชญ์เงียบ แสดงว่าคงไปเจออะไรที่ทำให้ฝันแกสลาย สิ่งที่แกคาดหมายไม่ได้ดีวิเศษเลิศเลอจริง
ซึ่งทำให้ผมมีกำลังใจ เพราะมันหมายถึงสิ่งที่พ่อแม่ใฝ่ฝัน อาจไม่ได้ perfect อย่างที่ท่านคิด อัจฉรียาธรอาจไม่ใช่คนที่จะมาช่วยให้กิจการพ่อยิ่งใหญ่อย่างที่ท่านคาดหมาย
ซึ่งทั้งพ่อและแม่ควรตระหนักถึงความเป็นไปได้ตรงนี้ให้มากๆ
“การไปอังกฤษเป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิต” ลุงวิชญ์พูด สีหน้าและน้ำเสียงแสดงว่าทั้งตื่นเต้น ภาคภูมิใจ “ผมไม่เคยมีหนังสือเดินทาง คำว่า passport ในความคิดผมมันคือของวิเศษที่ตลอดชีวิตของคนที่ปราศจากความสำคัญเป็นเหมือนส่วนเกินของสังคมเพราะถือกำเนิดท่ามกลางความยากจนค่นแค้นอย่างผมคงไม่มีโอกาสได้แตะต้องหรือเป็นเจ้าของครอบครอง”
“คำว่าส่วนเกินของสังคมที่ลุงเคยคิดว่าลุงเป็น” ผมพูด “ลุงรู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนั้นจริงๆหรือ”
“จริง” ลุงวิชญ์ตอบ
“มันเกิดจากการถูกคนเลี้ยงทำร้ายและถูกทิ้งให้เผชิญความอดอยากหวาดกลัวตอนเด็กใช่มั้ยลุงถึงมองตัวเองว่าแย่ได้ขนาดนี้” ผมถาม
ขณะถาม ใจผมคิดถึงพ่อ ท่านถูกบาปเคราะห์กระหน่ำจนต้องสูญเสียปู่ย่าที่เป็นหลักชัยในชีวิตไปแบบไม่ทันตั้งตัว พ่อคงมองโลกแง่ร้าย มองว่าตัวเองไร้ค่า ขาดความมั่นใจในตัวเองเหมือนที่ลุงวิชญ์เคยเป็น
“ประมาณนั้น” ลุงว่า แล้วเล่าต่อ “การไปเมืองนอก สิ่งแรกที่ต้องมีคือหนังสือเดินทาง ลุงก็เตรียมเอก สารที่จะใช้ทำพาสปอร์ตประเภทบุคคลทั่วไปที่มีสัญชาติไทยซึ่งเป็นหนังสือเดินทางปกสีแดงเลือดหมู อายุ 5 ปี ต่ออายุไม่ได้ หมดแล้วต้องทำเล่มใหม่ เอกสารที่ว่าก็มี บัตรประชาชน ถ้าเปลี่ยนชื่อนามสกุลวันเดือนปีเกิดหรือข้อมูลอื่น ก็เอาเอกสารการเปลี่ยนไปด้วย แล้วก็ค่าธรรมเนียม 1,000 บาท จากนั้นก็..”
“ไปกรมการกงสุล” ผมช่วยเล่าเพราะคุ้นเคยกับขั้นตอนนี้
“ไม่” ลุงวิชญ์ค้านหน้าตาเฉย “ต้องอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน ใส่รองเท้าแบบใส่ง่ายถอดง่ายเพราะต้องวัดส่วนสูงจะได้ถอดเข้าออกสะดวก แล้วไปกรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ หลักสี่ เปิดให้บริการวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08:30- 16:30 น.”
“ไปถึงก็รับบัตรคิว ยื่นบัตรประชาชน พร้อมเอกสารต่างๆ รวมทะเบียนสมรส แล้วไปวัดส่วนสูง เก็บลายนิ้วมือ นิ้วชี้ซ้าย นิ้วชี้ขวา ด้วยเครื่องสแกนเนอร์ ถ่ายรูปหน้า” ผมพยายามจะช่วยเล่าอีกเพราะเคยทำเรื่องนี้
“ถูกต้อง” คราวนี้ลุงวิชญ์ไม่ค้าน “จากนั้นก็แจ้งเขาว่าจะมารับเล่มเองหรือให้ใครรับแทน หรือจะให้ส่งทางไปรษณีย์ จากนั้นชำระค่าธรรมเนียม 1,000 บาท รับใบเสร็จฯ แล้วรับใบนัดมารับเล่ม”
“ช่วงตื่นเต้นมาถึงแล้ว” ผมว่า
 
“ใช่” ลุงวิชญ์พูด “ ก่อนถึงวันรับเล่มผมกระวนกระวายกินไม่ได้นอนไม่หลับ นี่เป็นด่านแรกของการไปเมืองนอก มันจะมีปัญหาอะไรมั้ย”
“แล้วมีหรือเปล่า” ผมถาม
“ไม่มี” ลุงวิชญ์ตอบ “ถึงวันนัด ผมมารับเล่ม ซึ่งได้ตามปกติ ผมดีใจมากๆๆ พอรับเล่มเสร็จก็มานั่งจ้องหนังสือเดินทางปกสีแดงเลือดหมู พลิกดูภาพและชื่อตัวเองข้างใน ตื้นตันจนแน่นในอก ผมเป็นส่วนหนึ่งของสัง คมนี้และกำลังหลุดพ้นจากคำว่าต่ำต้อยด้อยค่า รัฐบาลออกเอกสารยืนยันแล้วว่าผมเดินทางไปเมืองนอกได้ในฐา นะคนไทยที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีเท่าเทียมคนไทยทุกคน ไม่ใช่พวกกระจอกงอกง่อยที่ไม่มีค่าอะไรเลยอีกต่อ ไป”
“มี “แต่” มั้ย” ผมถาม โดยเชื่อว่าต้องมี ลุงแกชอบเล่าอะไรที่มีการหักมุมเล็กๆน้อยๆ รวมทั้งเพื่อเป็นการตัดบทไม่ให้แกพูดถึงอดีตที่โหดร้ายที่ทำให้แกคิดว่าตัวเองไร้ค่าซ้ำซากด้วย ฟังบ่อยๆมันหดหู่
“มี” ลุงวิชญ์ตอบรับตามคาด “ทันใดผมก็สลดวูบเมื่อนึกว่านี่มันแค่ passport เท่านั้น หนังสือเดินทางไม่ ใช่วีซ่า visa คือเอกสารที่ประเทศปลายทางออกให้เพื่อบอกว่าผมจะเข้าประเทศนั้นๆได้มั้ย ผมจะไปอังกฤษ และเท่าที่รู้ ถ้าฐานะการเงินไม่แกร่งพอเขาจะไม่ให้เข้าประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกซัมเหมาไปสร้างความเดือด ร้อนให้คนของเขา เช่น ไปเป็นแรงงานเถื่อน เป็นพวกเร่ร่อน ขอทาน เป็นโจร แล้วผมไม่มีอะไรเลย ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีทรัพย์สินใดๆ ไม่มีเงินฝากธนาคาร ทั้งเนื้อทั้งตัวมี 0 บาท แล้วผมจะเสนอหน้าเข้าประเทศอังกฤษเมืองที่วีซ่าผ่านยากอันดับต้นๆของโลกได้ยังไง เท่ากับหนังสือเดินทางที่เพิ่งได้รับจะเป็นได้แค่เอกสารเล่มเล็กๆที่หน้าปกมีตราครุฑที่ผมเอาไว้นั่งกอดนอนกอดให้ครึ้มใจเล่นว่าผมก็มีหนังสือเดินทางกับเขาเหมือนกันเท่านั้น”
***************************
โฆษณา