21 ส.ค. 2021 เวลา 06:25 • ไลฟ์สไตล์
เมื่อเปรียบเทียบ สิ่งที่กระตุ้นได้ง่ายเป็นสัตว์ร้ายและเหตุผลเป็นครูฝึก
"พลังสมาธิ" เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ต้องการเวลาทำกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน การอ่านหนังสือ หรือการใช้ชีวิต แต่ทว่าพลังสมาธิของเรานั้นไม่ได้เกิดขึ้นได้ตามที่ใจเราต้องการ บางครั้งเกิดแต่เกิดเพียงนิดเดียว หรือก็ไม่เกิดขึ้นเลย
แล้วพลังส่วนที่เหลือละเอาไปทำอะไร คงไม่ได้ลงเอยด้วยการผัดวันประกันพรุ่ง เล่นเกม ดูหนัง หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่งานของเราก็ยังทำไม่เสร็จใช่ไหม ?
ตัวผมเองก็เจอปัญหากับเรื่องนี้เหมือนกันในช่วงที่ต้องทำงานที่บ้าน มันมีสิ่งยั่วยุเต็มไปหมด
ก่อนที่จะเริ่มคำถามว่า แล้วเราจะเพิ่มพลังสมาธิอย่างไร ก็อยากให้มาดูแก่นแท้ของความสามารถด้านสมาธิกันก่อน ว่าจริง ๆ แล้วจิตใจของมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร
ข้อมูลที่ผมจะมาบอกเล่าในบทความนี้นำมาจากหนังสือเรื่องพลังสมองของคนทำเรื่องยากได้ ทำเรื่องง่ายเร็ว เขียนโดย ยู ซึซึกิ หากใครสนใจสามารถหาซื้อมาอ่านได้ครับ
สัตว์ร้ายเปรียบเสมือน ส่วนของจิตใจที่ถูกกระตุ้นได้ง่ายแต่มีอำนาจมากมาย
สิ่งที่กระตุ้นได้ง่าย
จริง ๆ แล้วถ้าว่าในเรื่องของประสาทวิทยา สัตว์ร้ายคือระบบลิมบิก เป็นส่วนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของการพัฒนา ซึ่งควบคุมความต้องการทางสัญชาตญาณ เช่น การรับประทานอาหารหรือเซ็กซ์
สัตว์ร้ายที่อยู่ในตัวของคุณมีลักษณะนิสัยที่แบ่งออกได้เป็น 3 ข้อ
1. เกลียดการทำอะไรยาก ๆ
มีงานวิจัยที่น่าสนใจอย่างนึงที่บ่งบอกว่า "สมองของเราชอบทำอะไรที่ง่าย ๆ " ทีมวิจัยได้นำรายชื่อคนจำนวนมากให้กับนักเรียนหลายร้อยคนและถามพวกเขาว่า "คุณรู้สึกชื่นชอบคนไหน" โดยให้บอกความรู้สึกที่ไม่ขึ้นอยู่กับ รูปร่างหน้าตาหรือการแต่งตัว
ปรากฎว่าผลลัพธ์ที่ได้ ชื่อที่มีคนชื่นชอบคือชื่อที่อ่านง่าย ๆ เขายกตัวอย่างคือ Sherman (เชอร์แมน) ได้รับความนิยมกว่า Vougiouklakis (โวกิวคลาคิส) เป็นไงบ้างครับ มีใครอ่านถูกตั้งแรกหรือเปล่าครับ ฮ่า ๆ
จากงานวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เรามักจะเลือกสิ่งที่เข้าใจง่าย เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทที่แค่เจอความยากของชื่อที่อ่านก็สามารถตัดสินความชอบหรือความเกลียดได้แล้ว
ทำให้เราเข้าใจว่า สัตว์ร้ายเกลียดอะไรยาก ๆ เป็นเพราะมันไม่ต้องการให้ตัวเองสูญเสียพลังงานยังไงละครับ
2. ตอบสนองต่อทุกแรงกระตุ้น
สมองของเราอ่อนแอ่ต่อสิ่งยั่วยุ ซึ่งองค์ประกอบที่กวนใจเราไม่ใช่แค่สมาร์ทโฟน หรือขนมหวานที่เกิดจากปัจจัยภายนอกเท่านั้น แต่ยังเกิดจากปัจจัยภายในอย่างอารมณ์ความวิตกกังวล ถ้าพรุ่งนี้จะไปสัมภาษณ์งานจะออกมาดีมั้ย หรือความรู้สึกภายในที่จู่ ๆ ก็คันเนื้อคันตัวขณะทำงาน
ที่เป็นเช่นนี้เพราะ สัตว์ร้ายเก่งกาจเรื่องการประมวลผลข้อมูลแบบขนาน(พร้อม ๆ กัน) ถ้าสัตว์ร้ายไม่มีความสามารถในการประมวลผลข้อมูล มนุษย์ในอดีตก็คงใช้ชีวิตมาถึงทุกวันนี้ไม่ได้
ยกตัวอย่าง ถ้าเราเจอผู้คนใหม่ ๆ ในสถานที่ต่าง ๆ สมองของเราก็จะประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ อย่างรวดเร็วเช่น การแสดงออกทางหน้าตา น้ำเสียง หรือคิดว่าเราเคยรู้จักกับคน ๆ นี้มาด้วยหรือเปล่า หรือคน ๆ นี้มีนิสัยยังไงนะ
แต่ถ้าเราต้องประมวลผลข้อมูลทุกอย่างโดยใช้สติรับรู้แทน กว่าจะได้คุยกับใครต้องต้องใช้เวลา เผลอ ๆ เลือกที่จะไม่คุยด้วยซ้ำ
แต่ปัจจุบันของเราความสามารถเหล่านี้เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อ "พลังสมาธิ"
พลังสัตว์ร้ายอาจจะมีประโยชน์กับคนในยุคบรรพกาลที่ต้องตอบสนองไว ๆ เพื่อที่จะได้มีชีวิตรอด แต่ตอนนี้ปัจจุบันของเราการมีสมาธิ จะทำให้เราอยู่รอดและพัฒนาโลกไปได้ไกลกว่าด้วยซ้ำ
การมีสมาธิอาจเป็นทักษะที่ต้องจำเป็นกับโลกยุคนี้และยุคต่อ ๆ ไปก็ว่าได้ ธรรมชาติอาจจำเป็นต้องแก้ไขทักษะเหล่านี้ให้กับพวกเรา เพราะการเปลี่ยนแปลงไปสู่หนทางที่ดีก็ต้องสร้างสิ่งที่มีค่าและละทิ้งสิ่งที่เก่าไป ถึงแม้มันจะช่วยให้เรารอดตายได้ในอดีต แต่ถ้ามองไปในอนาคตอีกสัก 100 ล้านปี คนยุคนั้นคงมีข้อมูลที่บอกว่า การมีสมาธิ คือสัญชาตญาณที่คนยุคเรามีไว้เพื่อความอยู่รอดกว่าก็เป็นได้
3. มีพลังอำนาจมหาศาล
สัตว์ร้ายนั้นประมวลผลข้อมูลถึง 11 ล้านเรื่องต่อวินาที และมีพลังที่จะเข้ามาควบคุมร่างกายของคุณภายในชั่วพริบตา
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณเห็นสเต๊กเนื้อพึ่งออกมาจากเตาร้อน ๆ มีกลิ่นของเนื้อและพริกไทยอย่างลงตัว หรืออาหารที่น่ากินมาก ๆ สัตว์ร้ายจะมีความอยากอาหารมาก ๆ ทำให้โดนช่วงชิงการรับรู้ของเราไปภายในเวลา 0.01 วินาที เร็วจนไม่มีทางจะใช้สติยับยั้งการกระทำของเจ้าสัตว์ร้ายได้เลย
ครูฝึก เปรียบเสมือน ส่วนการใช้เหตุผล
ครูฝึกคือการใช้เหตุผล
ครูฝึกจะมีคุณสมบัติตรงกันข้ามกับสัตว์ร้ายอย่างสิ้นเชิง คือ
1. ต่อสู้โดยใช้ตรรกศาสตร์เป็นอาวุธ
ครูฝึกจะเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายโดยใช้ ความคิดและเหตุผล
แต่ทว่าครูฝึกนั้นมีพลังที่น้อยมาก ทำให้สู้กับสัตว์ร้ายได้ยาก
ถ้าสัตว์ร้ายประมวลผลข้อมูลแบบขนาน ครูฝึกจะประมวลผลข้อมูลแบบอนุกรม ซึ่งจะประมวลไปเป็นลำดับเป็นขั้นเป็นตอน
ยกตัวอย่าง ถ้าเราจะต้องส่งงานภายใน 2 วัน ซึ่งการทำเสร็จให้เร็วที่สุดน่าจะเป็นการดีกว่าเผื่อว่าจะสามารถเช็คงานหรือแก้ไขได้ แต่เมื่อเราเห็นวิดีโอหรือขนม หรืออะไรก็ตามที่คุณเสพติด สัตว์ร้ายก็จะเข้ามาวงการคุณทันที (ภายใน 0.01 วิ ! )
และครูฝึกก็จะเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายโดยการคิดแบบเหตุผล ถ้าฉันทำงานไม่เสร็จละจะเกิดอะไรขึ้น หัวหน้าจะว่าหรือไม่ หรือ เราจะได้เลื่อนขั้นหรือเปล่า
ซึ่งกระบวนการนี้ทำให้สัตว์ร้ายอ่อนแรงลงและกลับมาเข้าสู้สภาวะมีสมาธิมากขึ้น
แต่ทว่าเราไม่สามารถทำแบบนี้ได้บ่อย ๆ ในเวลาเดียวกันเพราะอย่างที่บอกว่าเจ้าสัตว์ร้ายนั้นมีพลังงานที่มหาศาล ทำให้บางครั้งครูฝึกก็พ่ายแพ้ได้
2. บริโภคพลังงานมาก
ข้อเสียเปรียบอีกข้อของครูฝึกคือ ใช้พลังงานมากกว่าสัตว์ร้าย
การที่จะเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายได้นั้น จำเป็นต้องประมวลผลอย่างหนักในการเอาชนะมัน ขนมน่าอร่อย → จะกินจริงเหรอ → ทำให้อ้วนได้ → อดทน
ส่วนสัตว์ร้าย ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานหรือใช้น้อยมาก ๆ ในการประมวล
ยกตัวอย่าง ขนมมมม!! วิ่งไปกิน
ข้อมูลที่สำคัญของครูฝึกคือ การทำงานของครูฝึกจำเป็นต้องใช้ "ความจำใช้งาน " (Working Memory) เป็นความจำที่จำสิ่งต่าง ๆ ไว้ชั่วขณะเพื่อนำไปใช้งานทันที พอใช้งานเสร็จก็จะหายไป
ยกตัวอย่างความจำใช้งาน การบวก ลบเลข 26 + 7 ได้เท่าไหร่ เราจำเป็นต้องเก็บตัวทดไว้ในใจหรือใน working Memory ไว้เมื่อทำการบวกเลข 6 กับ 7 และนำเลขทดที่เก็บไว้นั้นไปบวกกับเลข 2 พอเราบวกเสร็จ ความจำนั้นก็หายไปถือว่าภารกิจลุล่วงแล้ว
การที่ประมวลผลข้อมูล ต้องมีหาเหตุผลหลาย ๆ ข้อและนำมาเชื่อมโยงกันให้เกิดภาพและเหตุผลขึ้นมา เพื่อที่จะเอาชนะสัตว์ร้ายให้ได้
3. มีพลังอำนาจเพียงน้อยนิด
ครูฝึกไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ทันทีเพราะจำเป็นต้องใช้พลังงานไปกับการคิดวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผลและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และต้องต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่มีพลังงานมหาศาลในการตอบสนองต่อแรงกระตุ้น อาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็มีแต่ดาบแห่งตรรกะอันเปาะบาง ถือว่าเป็นความท้าทายของมนุษย์ปัจจุบันจริง ๆ ครับ
พอจะทำความเข้าใจกับเจ้าสัตว์ร้ายกับครูฝึกได้ไหมครับว่ามันทำงานอย่างไร พอเราเข้าใจแล้ว เราก็จะไม่โทษตัวเองที่ว่า ทำไมฉันเป็นไม่มีสมาธิเลย ทำอะไรนาน ๆ ก็ไม่ได้ ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ก็มีการกล่าวถึงการโทษตัวเองที่จะนำไปสู่การทำร้ายสมองอีกด้วย
ไม่ต้องโทษตัวเองเลยครับ สิ่งที่เกิดขึ้นคือธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ถึงแม้ปัจจุบันเราจะไม่พึ่งพาเจ้าสัตว์ร้ายแล้ว แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเจ้านี่ก็คือคนที่ช่วยให้เรารอดจากยุคบรรพกาลมาแล้วจนถึงตอนนี้
สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ดีขึ้นในมนุษย์คือ "การมีสมาธิ" ให้มากขึ้น และทำความเข้าใจเจ้าสัตว์ให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
ถ้าเมื่อก่อนเจ้าสัตว์ร้ายจะมีบทบาทสำคัญ แต่ตอนนี้ พลังงานสมาธิถือว่าสำคัญกว่าในยุคนี้และยุคถัด ๆ ไปในการพัฒนาเทคโนโลยี เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และดำรงชีวิตอย่างมีสติ
มาทำให้เรายุคนี้เป็นยุคที่ "พลังสมาธิ" มีบทบาทในความก้าวหน้าของมนุษย์กันครับ
ช่องทางการติดตาม
โฆษณา